Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มกราคม 2531








 
นิตยสารผู้จัดการ มกราคม 2531
"ณรงค์ ศรีสอ้าน มร. โคลัมบัส แบงก์กสิกรไทย"             
โดย สมชัย วงศาภาคย์
 

 
Charts & Figures

ตารางการลงทุนส่วนตัวของณรงค์ ศรีสอ้านในธุรกิจอื่นๆ


   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารกสิกรไทย

   
search resources

ธนาคารกสิกรไทย, บมจ.
ณรงค์ ศรีสอ้าน
Banking and Finance
ธนาคารกสิกรไทย




เขาเป็นคนนอกล่ำซำคนเดียวที่มีอำนาจมากที่สุดในแบงก์ กล่าวกันว่า เบื้องหลังความสำเร็จของเขาอยู่ที่การเป็นนักบุกเบิกสินเชื่อใหม่ ๆ ที่มีผลในแง่ความผิดพลาดน้อยครั้งมาก บวกกับบุคลิกส่วนตัวที่ไม่เป็นคนที่มีความทะเยอทะยานเกินขอบเขต เส้นทางชีวิตในอาชีพจะยังคงยืนเคียงข้างไปกับพวกคนในล่ำซำต่อไป ในฐานะนักสร้างสรรค์ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของธุรกิจในเครือข่ายของตระกูลล่ำซำ…

คนระดับคณะกรรมการการจัดการชั้นสูงสุดในแบงก์กสิกรไทย นอกเหนือจากชนะ รุ่งแสง ยศชั้น EXECUTIVE VICE PRESIDENT ณรงค์นี่แหละที่มีตำแหน่ง, ยศชั้นสูงที่สุดที่คนในตระกูลล่ำซำให้ความเชื่อถือและเกรงอกเกรงใจ จนมีบางคนให้ข้อสังเกตถึงฐานะภาพของณรงค์ ที่มีถึงวันนี้ว่าเป็นเพราะณรงค์เป็นคนมีทั้งความสามารถและบารมีที่สามารถประสานบุคลิกภาพส่วนตัวที่สุขุมเยือกเย็นไม่ทะเยอทะยานจนเลยขอบเขต เข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิมของคนในตระกูลล่ำซำได้อย่างกลมกลืน

เมื่อล่ำซำก็คือแบงก์กสิกรไทย หรือแบงก์กสิกรไทยก็คือล่ำซำ…!!! จึงไม่แปลกที่คนอย่างณรงค์ที่มีทั้งความสามารถและบารมีอีกทั้งไม่มีความทะเยอทะยานเกินขอบเขต จะมีฐานะภาพในอำนาจในแบงก์กสิกรไทยที่สืบเนื่องในการเติบโตจนยืนยาวมาถึงวันนี้ได้คือ เขาเป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดอันดับ 3 รองจากบัญชาและบรรยงค์ ล่ำซำเท่านั้น แต่เขา…ณรงค์ ศรีสอ้าน คือคนนอกล่ำซำที่มีอำนาจสูงสุดอันดับ 1 ที่บรรดาลูกค้าทั่วประเทศและเจ้าหน้าที่ระดับ VICE PRESIDENT ของแบงก์ต่างประเทศทั่วโลกรู้จักมากที่สุด นับตั้งแต่ใช้ชีวิตการทำงานในแบงก์แห่งนี้มานานถึง 33 ปี เดินทางมาแล้วทั่วโลก 40 ประเทศ จนวิโรจน์ นวลแข กรรมการผู้อำนวยการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ ที่อดีตเคยเป็นลูกน้องทำงานใกล้ชิดกับณรงค์มาตั้งแต่สมัยทำงานอยู่แบงก์กสิกรไทย สังกัดฝ่ายการธนาคารต่างประเทศเมื่อหลายปีก่อน ปรารภให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า "คุณณรงค์เวลาเดินทางไปต่างประเทศจะมีบุคคลทั้งพ่อค้าและนายแบงก์ที่แกรู้จักอยู่เต็มไปหมดทุกเมืองที่แวะ"

การชอบเดินทางของณรงค์และการเป็นคนที่รู้จักบุคคลต่าง ๆ มาก โดยเนื้อแท้แล้วคือกลวิธีที่นำมาให้ณรงค์ได้มีโอกาสพัฒนาความรู้ความสามารถในการทำงานในฐานะเป็นแบงเกอร์ได้มีประสิทธิภาพมาก ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจเป็นเพราะณรงค์ตระหนักกับตัวเองอยู่เสมอว่า มีพื้นฐานการศึกษาไม่มากนัก เพียงแค่เตรียมจุฬาและได้มีโอกาสไปเรียนและฝึกอบรมด้านการธนาคารต่างประเทศหรือ INTERNATIONAL BANKING BUSINESS ที่ STANDARD CHARTER BANK กรุงลอนดอน 2 ปีเท่านั้นก็เป็นได้

อย่างไรก็ดีสำหรับชีวิตในลอนดอน 2 ปีของณรงค์ กล่าวกันว่าเป็นจุดหักเหสำคัญที่สุดของชีวิต กล่าวคือ หนึ่ง-ณรงค์ได้รับความรู้ธุรกิจธนาคารต่างประเทศเป็นครั้งแรก หลังจากที่มีจินตนาการใฝ่ฝันมานานจากประสบการณ์ที่ได้ทำงานมานานก่อนหน้านี้ 5 ปี ที่หอการค้าไทย (2490-2495) ซึ่งทำให้ณรงค์มีความรู้ในการทำธุรกิจการค้าส่งออกและนำเข้าจากพ่อค้านักธุรกิจสมัยนั้น สอง-ณรงค์ได้รู้จักบรรยงค์ ล่ำซำ เป็นครั้งแรกและรับรู้ว่าบรรยงค์ก็คือหลานชายแท้ ๆ ของจุลินทร์ ล่ำซำ ซึ่งเป็นทั้งนายเก่าของณรงค์ช่วงที่ทำงานอยู่หอการค้าไทย และเพื่อนสนิทของ สง่า วรรณดิษฐ์ ที่เป็นลูกคนน้องปู่ณรงค์ ที่ณรงค์ให้ความเคารพในฐานะเป็นปู่นั้นเอง

ความจริงแล้ว พื้นฐานชีวิตส่วนตัวของณรงค์ ในถิ่นกำเนิดที่ท่าสะอ้าน อ. บางปะกง จ. ฉะเชิงเทรา ไม่ใช่หรูหราอะไรนักหนาเหมือนพวกล่ำซำ พ่อของณรงค์ที่ชื่อนิพนธ์ (สกุลแซ่กิม) หรือ "เฮียอึ่น" ที่คนในละแวกนั้นเรียกขานกันอย่างคุ้นเคย และแม่ที่ชื่อแม้น ซึ่งได้รับการกล่าวขานในเชิงยกย่องว่าเป็นคนพูดจาอ่อนหวานมาก บุพการีทั้ง 2 ท่านของณรงค์ก็ไม่ได้ทำมาหากินอะไรที่ใหญ่โต มีที่นาเพาะปลูกข้าวบ้างเล็กน้อย ค้าขายพืชไร่บ้างนิดหน่อย ขณะเดียวกันก็ขายกาแฟควบคู่กันไปด้วย ฐานะในอาชีพอยู่ในขั้นปานกลางที่ใช้ความขยันหมั่นเพียร เป็นพลังปรุงแต่งฐานะของครอบครัว จนลักษณะวิถีชีวิตของบุพการีเช่นนี้เองที่ถ่ายทอดมาสู่ณรงค์ ในฐานะลูกชายคนโตอย่างลึกซึ้ง

ด้วยเหตุนี้การที่ลูกบ้านนอกคนหนึ่ง ได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตและศึกษาการทำธนาคารในลอนดอน จึงเป็นช่วงชีวิตและโอกาสที่หาได้ยากนักสำหรับคนทั่วไปที่มีพื้นฐานไม่ร่ำรวยอะไรอย่าง ณรงค์ ศรีสอ้าน

"ผมเป็นหนี้บุญคุณสง่า วรรณดิษฐ์ ที่มีศักดิ์เป็นปู่ผมอย่างมาก ท่านให้การสนับสนุนและช่วยเหลือให้ผมไปฝึกและเรียนรู้การทำธุรกิจธนาคารต่างประเทศที่ลอนดอน" ณรงค์เล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังถึงที่มาของจุดหักเหในชีวิต

แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับณรงค์เล่าให้ฟังว่า สง่า วรรณดิษฐ์ คือเจ้าของบริษัทก่อสร้างและค้าไม้ที่ใหญ่มากชื่อ บริษัท ศรีสง่าพาณิชย์ จำกัด ในสมัยก่อนและหลังสงครามเล็กน้อย บริษัทของสง่าจัดว่าอยู่ในเกรด TOP-FIVE ด้านธุรกิจก่อสร้างของประเทศ เทียบเท่าบริษัทคริสเตียนนี่แอนด์เนลสัน บริษัทก่อสร้างชาติเดนมาร์กรายแรกที่เข้ามาทำธุรกิจในไทยเลยทีเดียว "ตึกห้องแถวริมถนนราชดำเนินกลาง ส่วนใหญ่บริษัทของสง่าเป็นผู้สร้างทั้งนั้น" แหล่งข่าวเน้น

ที่ณรงค์เข้าไปผูกพันกับสง่าในสมัยก่อนไปอังกฤษ ก็เชื่อมผ่านมาจากคุณอาของณรงค์ที่ในสมัยนั้น (ช่วงระหว่างปี 2489-2495) นั่งทำงานเป็นเสมียนอาวุโสกับสง่า ประกอบกับบุคลิกส่วนตัวของสง่าเป็นคนใจกว้าง โอบอ้อมอารี และชอบช่วยเหลือเด็กที่ขยันขันแข็ง เมื่อสง่าพบกับณรงค์จึงรู้สึกประทับใจ ขณะเดียวกันณรงค์เองก็มีฐานะเป็นเลขาคู่ใจของจุลินทร์ ล่ำซำ ที่หอการค้าไทยด้วย ณรงค์จึงโชคดีที่ได้แรงหนุนหลายทางให้ชะตาชีวิตของเขาถูกผลักดันไปข้างหน้าอย่างชนิดที่น้อยคนนักที่มีภูมิหลังอย่างเขาจะมีโอกาส

เมื่อณรงค์กลับจากลอนดอนพร้อมความรู้เต็มเปี่ยมด้านธุรกิจธนาคารต่างประเทศ ไฟอยากเป็นแบงเกอร์พวยพุ่งอย่างขีดสุดอย่างไม่มีอะไรมาดับมอด จุลินทร์ ล่ำซำ นายเก่าของเขา จึงชวนมาทำงานที่แบงก์กสิกรไทยทันทีเมื่อปี 2497 ณรงค์จับงานแบงก์ที่เขาใฝ่ฝันมานานแล้วด้านการธนาคารต่างประเทศทันที ในสมัยนั้นแบงก์กสิกรไทยเพิ่งตั้งมาได้เพียง 9 ปีเท่านั้น เกษม ล่ำซำ น้องชายของ โชติ ล่ำซำ พ่อของบัญชา ล่ำซำ เป็นประธานแบงก์สืบต่อจากพี่ชายของเขาซึ่งเสียชีวิตลงหลังก่อตั้งแบงก์ได้เพียง 3 ปี

ช่วงที่ณรงค์เริ่มเข้ามาทำงานในแบงก์กสิกรไทย สาขาของธนาคารมีอยู่เพียง 30 กว่าสาขาเท่านั้น เงินทุนจดทะเบียนมีอยู่ประมาณ 10 ล้านบาท มีเงินฝากประมาณ 200 กว่าล้านบาท

กล่าวกันว่า จุดสตาร์ทของณรงค์ในแบงก์คือเจ้าหน้าที่ด้าน EXPORT-IMPORT FINANCING ซึ่งเขาได้ใช้วิทยายุทธจากสำนัก STANDARD CHARTER BANK ลอนดอนที่ได้ฝึกปรือมาอย่างเต็มที่ในการให้บริการลูกค้า

"ผมเห็นณรงค์บ่อย ๆ เขามาที่แบงก์ชาติเพื่อขออนุญาตให้แบงก์ชาติทำ EXCHANGE CONTROL ให้ลูกค้า" ประสิทธิ์ ณ พัทลุง อดีตเจ้าหน้าที่แบงก์ชาติวัย 75 ปี ย้อนอดีตให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

งานด้าน EXPORT-IMPORT FINANCING ที่ณรงค์ทำในสมัยนั้น ส่วนใหญ่สินค้าที่ค้าขายกับต่างประเทศของลูกค้าแบงก์เป็นพวกสินค้าเกษตรหลัก เช่น ข้าว ข้าวโพด ยางพารา ไม้สัก ซึ่งณรงค์มีความสันทัดอยู่แล้วตั้งแต่สมัยทำงานอยู่หอการค้าไทย จึงทราบดีว่าขั้นตอนต่าง ๆ ในกระบวนการทางการค้าสินค้าเหล่านี้เป็นเช่นไร อีกประการหนึ่งณรงค์รู้จักพ่อค้าส่งออก-นำเข้าหลายคน จึงไม่ยากนักที่ณรงค์จะอาศัยความรู้จักมักคุ้นชักชวนให้มาใช้บริการกับแบงก์

กล่าวกันว่า งานบริหารธุรกิจ EXPORT-IMPORT FINANCING ของแบงก์กสิกรไทยสมัยนั้นขยายตัวไปมาก สามารถ SHARE OF MARKET ส่วนหนึ่งมาจากธนาคารกรุงเทพและศรีนครซึ่งเป็นเจ้ายุทธจักรอยู่ในสมัยนั้นได้พอสมควร จนแหล่งเงินทุนในธนาคารที่มีอยู่ในขณะนั้นไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้เงิน ณรงค์จึงเสนอให้ผู้ใหญ่ของแบงก์สมัยนั้นใช้วิธีดึงเงินทุนจากแบงก์ในต่างประเทศที่ธนาคารมี CREDIT LINE อยู่มาเปลี่ยนอีกต่อหนึ่ง "สมัยนั้นฐานสาขาของแบงก์ยังเล็ก เงินทุนจดทะเบียนก็ไม่มาก เงินฝากก็ไม่กี่ร้อยล้านบาท ที่สำคัญแบงก์ชาติสมัยนั้นยังไม่มีระบบบริการเงิน REPURCHASE ขณะที่ตลาดต้องการใช้เงินมาก" ณรงค์ย้อนความหลังให้ "ผู้จัดการ" ฟังถึงเหตุผลที่แบงก์กสิกรโดย "เขา" ต้องวิ่งเต้นหาเงินจากต่างประเทศเป็นช่องทางแหล่งระดมเงินทุนมาเปลี่ยนให้ลูกค้าในประเทศอีกต่อหนึ่ง

ขณะเดียวกันด้วยความที่ณรงค์เป็นคนชอบเดินทางในทุกหนทุกแห่งเพื่อเก็บข้อมูลวิธีการทำมาหากินของคนในที่ต่าง ๆ ผู้ใหญ่ในแบงก์จึงให้เขาทำหน้าที่ด้านสินเชื่อในประเทศด้วย ณรงค์บุกไปทุกแห่งในชนบทต่างจังหวัด เพื่อแสวงหาลู่ทางใหม่ ๆ ในการอำนวยสินเชื่อ ผลพวงประการหนึ่งจากการเป็นคนที่ชอบเดินทางและมีคนรู้จักมาก ณรงค์เป็นคนแรกในวงการแบงเกอร์เมืองไทยสมัยนั้นที่เปิดบริการสินเชื่อ STOCK FINANCING ให้กับพ่อค้าพืชผลเกษตร

"ตอนนั้นผมเห็นว่าสินค้าในโกดังน่าจะเป็นหลักทรัพย์ที่ดีอันหนึ่งที่น่าจะมาค้ำประกันสินเชื่อโดยแบงก์แทบจะไม่มีความเสี่ยงเพราะเป็น SHORT TERM FINANCE ซึ่งผู้ใหญ่ก็เห็นด้วย ปรากฏว่ามีพ่อค้ามาใช้บริการกันมาก" ณรงค์เล่า

ว่ากันว่าแนวคิด STOCK FINANCING ของณรงค์ชิ้นนี้ ณรงค์ได้ไอเดียมาจากเพื่อนชาวสิงคโปร์คนหนึ่งที่เป็นแบงเกอร์ของ OVERSEA BANK OF UNION (OBU) ของสิงคโปร์ชื่อ มร. ออยัง ปัจจุบันอายุเกือบ 90 ปีแล้ว เคยเป็นท่านทูตสิงคโปร์ประจำประเทศไทยมาก่อน

บทบาทในหน้าที่การงานของณรงค์ส่อแววอนาคตการเป็นแบงเกอร์ดาวรุ่งในแบงก์กสิกรไทย ในฐานะคนนอกตระกูลล่ำซำได้แจ่มชัดมาก ควบคู่ไปกับการขยายตัวในทุกด้านของแบงก์กสิกรไทยในปลายยุคเกษม ล่ำซำ เมื่อต้นทศวรรษที่ 60 กล่าวคือฐานะของแบงก์ที่มีสาขากระจายไปทั่วประเทศ 42 สาขา เงินทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท เงินฝากเกือบ 800 ล้านบาท มีขนาดของเงินฝากอยู่ในอันดับ 7 ของระบบธนาคารสมัยนั้น

แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เกษม ล่ำซำ ประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกเสียชีวิตในปี 2506 เสียก่อน กระนั้นก็ตามตระกูลล่ำซำก็ยังไม่สิ้นคนดีคนเก่งมีความสามารถที่จะนำพาแบงก์ให้เจริญเติบโตก้าวหน้าต่อไป เมื่อบัญชา ล่ำซำ ลูกชายคนโตของโชติ ล่ำซำ และหลานชายของเกษม ล่ำซำ ได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งหัวเรือใหญ่ในฐานะประธานฯ และกรรมการผู้จัดการใหญ่สืบแทนอาเมื่อปี 2506 ขณะเดียวกันกับที่บรรยงค์ ล่ำซำ น้องชายของบัญชา ยังคงทำงานมีบทบาทเคียงคู่กับณรงค์ในสายงานธุรกิจการธนาคารต่างประเทศและสินเชื่อในประเทศ ในระดับยศชั้นสูงกว่าคือกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ขณะที่ณรงค์มีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นอาวุโส

แบงก์กสิกรไทยยุคสมัยบัญชา ล่ำซำ กล่าวกันว่า เป็นยุคการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของแบงก์อย่างมีระบบและแบบแผน พร้อมรองรับกับโครงสร้างการบริหารที่ทันสมัย สนองตอบอย่างเหมาะสมกับพัฒนาการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่เริ่มปรับตัวจากระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพิงสินค้าเกษตรหลักเพียงไม่กี่ชนิดค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปสู่ทิศทางระบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาการผลิตทางอุตสาหกรรมทดแทนการนำเข้าและส่งออกเป็นลำดับ

การลงทุนทางอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรขั้นปฐม เริ่มวางหน่อและออกดอกผลในต่างจังหวัดมากขึ้น พร้อม ๆ กับแบงก์กสิกรไทยก็เริ่มทะยานออกสู่ต่างจังหวัดในรูปการเปิดสาขา เพื่อรองรับการอัดฉีดเงินทุนเข้าสู่ระบบการผลิตทางอุตสาหกรรมเกษตรเป็นจุดหนัก

กล่าวกันว่า ปรากฏการณ์เช่นนี้คือยุคเศรษฐกิจใหม่ของไทย…และเช่นกันก็คือยุคใหม่ของแบงก์กสิกรไทยด้วย!!

ณรงค์ในยุคสมัยบัญชา บุกเบิกลู่ทางสินเชื่อเกษตรในลักษณะ PROJECT LOAN อย่างหนัก เขาตระเวนไปทั่วทุกแหล่งผลิตในชนบทอย่างต่อเนื่อง เพื่อศึกษาเก็บข้อมูลความเป็นไปได้ในการแสวงหาลู่ทางอำนวยสินเชื่ออุตสาหกรรมเกษตรใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับการเติบโตทางเศรษฐกิจไทย

เหตุเพราะณรงค์ตระหนักดีว่า จากประสบการณ์ความรู้ที่เขาได้รับจากการคลี่คลายขยายตัวการทำธุรกิจอำนวยสินเชื่อของแบงก์ในอังกฤษและญี่ปุ่นที่มักจะเริ่มต้นที่แหล่งการค้าแล้วค่อย ๆ ปรับมาที่แหล่งอุตสาหกรรม และแหล่งทางเกษตรเป็นลำดับ ซึ่งในเมืองไทมยก็ไม่มีอะไรน่าจะแตกต่างกันในทิศทางการทำธุรกิจสินเชื่อของแบงก์กสิกรไทย "ผมไปเห็นที่อังกฤษและญี่ปุ่น เริ่มต้นทำแบงก์เขาก็เน้นด้านการค้ามาก่อนแล้วมาจับสินเชื่ออุตสาหกรรมและเกษตรตามลำดับ ทิศทางการทำธุรกิจสินเชื่อมันเป็นแบบนี้เสมอ" ณรงค์กล่าว

ปี 2510 ณรงค์ได้รับการโปรโมทขึ้นเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการธนาคารต่างประเทศยศชั้น VICE PRESIDENT เมื่ออายุได้เพียง 39 ปี หรือหลังจากทำงานกับแบงก์มาได้เพียง 13 ปีเท่านั้น การเติบโตในยหน้าที่การงานของณรงค์ครั้งนี้ไม่มีใครปฏิเสธเลยว่าเขาคือคนนอกล่ำซำคนเดียวที่ก้าวมาเร็วมาก ด้วยผลงานจากลำแข้งและความขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติหน้าที่อย่างเสมอต้นเสมอปลายของตัวเอง

ในฐานะเจ้าหน้าที่ยศชั้น VICE PRESIDENT ของแบงก์ ณรงค์ได้รับบัญชาจากกรรมการผู้จัดการใหญ่ บัญชา ล่ำซำ ที่มองการณ์ไกลเหมือน ชิน โสภณพนิช แห่งแบงก์กรุงเทพว่า ถึงเวลาแล้วที่แบงก์กสิกรไทยจะต้องเปิดประตูตัวเองทะยานสู่แหล่งทำมาหากินในดินแดนต่างประเทศ และคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นตัวดำเนินงานก็มีณรงค์ที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่อันสำคัญนี้ที่จะบุกเบกเปิดสาขาต่างประเทศที่มองไว้คือมหานครลอนดอนให้ได้

ณรงค์ทำได้สำเร็จในปี 2518 และเดินทางไปต่างประเทศถี่ขึ้นว่ากันว่าเฉลี่ยปีละ 3-4 เดือน ที่เขาใช้ชีวิตในต่างประเทศเพื่อสร้าง CONNECTION กับพวกแบงเกอร์ในต่างประเทศ อีก 3 ปีต่อมา สาขาในนิวยอร์ก ฮัมบูร์ก ฮ่องกงและลอสแองเจลิส ก็เกิดขึ้นตามมา บรรลุเป้าหมายทางนโยบายของแบงก์ที่กำหนดได้ว่า สาขาของแบงก์ในต่างประเทศจะต้องมีอยู่ในศูนย์กลางทางการเงินของโลกให้ได้ก่อนปี 2523

การเปิดสาขาในต่างประเทศ ณ ศูนย์กลางทางการเงินของโลก เอื้ออำนวยประโยชน์ต่อธุรกิจด้านธนาคารต่างประเทศของแบงก์กสิกรไทยมาก ส่วนใหญ่จะมีบทบาทเป็นกลไกในการระดมทุนจากต่างประเทศมาให้สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ มากกว่าการมุ่งอำนวยสินเชื่อเพื่อสร้าง PROFIT ABILITY ซึ่งทิศทางเช่นนี้ก็ไม่แตกต่างไปจากสาขาของธนาคารกรุงเทพ ไทยพาณิชย์ที่เปิดสาขาในต่างประเทศแต่อย่างใด

การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในช่วงหลังวิกฤติการณ์น้ำมันเมื่อปี 2517 อยู่ในอัตราสูงมากถึงเฉลี่ยปีละ 7% ขณะที่การเติบโตของระบบธนาคารพาณิชย์ในเมืองไทยเฉลี่ยปีละ 20% กันส่วนใหญ่ แต่ด้วยกลไกการระดมทุนจากต่างประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 4-5% ต่อปี เพื่อนำมาปล่อยให้ลูกค้าในลักษณะ PROFIT LOAN ที่มีความต้องการใช้เงินจำนวนมากนับ 100 ล้านบาท ขณะที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดเฉลี่ย 10-11% ต่อปี นับว่ามีส่วนสำคัญยิ่งในการสร้างผลกำไรให้แบงก์อย่างมาก

ณรงค์เล่าให้ฟังว่า หลังจากมีวิกฤติการณ์น้ำมัน 2517 ไม่นานนักจำไม่ได้ชัดว่าปีไหน แบงก์กสิกรไทยมีอัตราการเติบโตทุกด้านโดยเฉลี่ยสูงถึง 40 กว่าเปอร์เซนต์ สูงกว่าอัตราเฉลี่ยทั้งระบบถึง 1 เท่าตัว

หลังจากณรงค์ ใช้ชีวิตบุกเบิกเขตงานต่างประเทศตามนโยบายของบัญชา ล่ำซำ อย่างต่อเนื่องจนเป็นผลสำเร็จนั้น ผลงานของเขาเป็นที่ยอมรับจากบัญชามากขึ้นเรื่อย ๆ เจ้าหน้าที่ยศชั้น VICE PRESIDENT ที่ณรงค์ได้รับสำหรับ "เขา" แล้วถือว่าเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่เด็กบ้านนอกอย่างเขาจะพบกับความสำเร็จ "ชั้นสูง" ในหน้าที่การงานเช่นนี้

ณรงค์เล่าให้ฟังว่า ความสำเร็จระดับหนึ่งในหน้าที่นี้ถึงกับเป็นตัวแปรชี้ขาดให้เขาล้มเลิกแผนการมีชีวิตที่วางไว้เป็นขั้นตอนที่จะเป็น "เถ้าแก่" ให้ได้ลงสิ้นเชิง

"ตอนสมัยผมเป็นเด็กเริ่มหนุ่ม ผมวางแผนในชีวิตว่า เมื่อผมอายุ 20-30 ปี ผมจะสร้างงานให้กับตัวเอง อายุ 30-40 ปี จะสร้างเนื้อสร้างตัวให้ครอบครัวและพออายุถึง 40-50 ปี ผมจะต้องเป็นเถ้าแก่ให้ได้" ณรงค์เล่า

แน่นอน ณรงค์ได้ประเมินแล้ว สิ่งที่เขาได้รับผลตอบแทนในหน้าที่ที่ทุ่มเทให้แบงก์มันมีมากกว่าการที่เขาจะออกไปเสี่ยง บินเดี่ยวในยุทธจักรธุรกิจข้างนอกแต่เพียงลำพัง เพราะถ้าหากมันล้มเหลวแล้วจะมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวณรงค์อย่างมาก ซึ่งณรงค์ไม่กล้าเสี่ยงในลักษณะเช่นนี้แน่นอน

"เขากลัวมากในสิ่งนี้ ด้วยอาจเป็นเพราะเคยร่วมลงทุนทำสวนกับคุณอาที่ต่างจังหวัด (อ. บางปะกง) แล้วไม่ประสบความสำเร็จจนต้องขายทิ้งไปให้เพื่อนสนิท (เดี๋ยวนี้เสียชีวิตแล้ว) ในท้ายที่สุด" แหล่งข่าวเล่าย้อนอดีตถึงความผิดพลาดครั้งหนึ่งของณรงค์ให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

ณรงค์ก้าวต่อไปในอาชีพแบงเกอร์กสิกรไทย เขาจับงานด้านธุรกิจธนาคารต่างประเทศสลับกับลุยงานสินเชื่อในประเทศในลักษณะ PROJECT LOAN ปี 2521 เขาได้รับโปรโมทเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่และบัญชา ล่ำซำเป็นประธานบริหาร แต่ก่อนหน้านี้ 5 ปีคือปี 2516 ณรงค์ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการแบงก์ด้วยอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งกล่าวกันว่า เขาดีใจมากที่สุดในชีวิต

ในช่วงนี้ ฐานะการประกอบการของแบงก์ขยายตัวเร็วมาก ปริมาณเงินฝากและสินเชื่อพุ่งสูงระดับหลักหมื่นล้านบาทแล้ว PROJECT LOAN ในหลายสาขาธุรกิจอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นสิ่งทอ น้ำตาล โรงสีข้าว ผักและผลไม้กระป๋อง ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมขั้นกลางของประเทศปรากฏขึ้นอย่างมากมายที่ผลิตเพื่อส่งออกและตอบสนองความต้องการภายในประเทศ

กล่าวกันว่า ธุรกิจผักและผลไม้กระป๋องของบริษัทอาหารสยาม ซึ่งจัดว่าเป็นยักษ์ใหญ่บริษัทหนึ่งในอุตสาหกรรมนี้ ณรงค์เป็นคนบุกเบิกให้ทั้งด้านการผลิตและการตลาดส่งออกในฐานะเป็นแบงเกอร์ที่กว้างขวางและรู้จักตลาดผู้บริโภคในต่างประเทศที่ดีที่สุดคนหนึ่ง จนกล่าวได้ว่าความสำเร็จและยิ่งใหญ่ของบริษัทอาหารสยามในทุกวันนี้ชนิดที่นาม พูนวัตถุ ประธานกรรมการเพื่อนซี้ณรงค์สมัยเป็นนักเรียนที่เตรียมจุฬา และวิวัฒน์ จรัญวาสน์ กรรมการผู้จัดการ จะต้องรำลึกถึงหนี้บุญคุณของณรงค์ไปตลอด

"บริษัทนี้ ณรงค์ช่วยบุกเบิกมากตั้งแต่มีไร่สับปะรดไม่กี่พันไร่จนขยายไปถึง 20,000 ไร่ ณรงค์เป็นคนบุกเข้าไปดูและให้คำแนะนำในการขยายพื้นที่เพาะปลูกถึงไร่เลยทีเดียว ขนาดไปกินนอนที่ไร่ก็หลายครั้ง" แหล่งข่าวกล่าว

อย่างไรก็ตาม สัจจะของมนุษย์ที่ตราไว้เป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาติที่ว่าไม่มีใครเลยที่สมบูรณ์ถูกต้องไม่เคยผิดพลาดเลย 100% คนอย่างณรงค์ก็เช่นกันไม่อาจหลีกพ้นกฎธรรมชาติอันเป็นสัจจะนี้ไปได้ เพียงแต่ว่าเขาได้มากกว่าพลาดนั่นเอง

กรณีการขยายสินเชื่อแก่ธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำตาลสิงห์บุรีเป็นตัวอย่างหนึ่งที่อาจชี้ได้ว่า เป็นความพลาดของณรงค์ (ความจริงก็รวมถึงคณะกรรมการพิจารณาสินเชื่อบอร์ด 1 ของแบงก์ด้วย) บริษัทอุตสาหกรรมน้ำตาลสิงห์บุรีเป็นหนึ่งในเครือข่ายของกลุ่มน้ำตาลบ้านโป่งที่วิบูลย์ ผานิตวงศ์ เป็นตั้วโผใหญ่ปี 2526 กลุ่มบ้านโป่งกำลังห้าวสุดขีด หลังจากขยายเครือข่ายในธุรกิจน้ำตาลด้วยวิธีการเข้าซื้อกิจการจากกลุ่มไทยรุ่งเรืองคือโรงงานน้ำตาลกรุงไทยและร่วมกำลาภู ที่ภายหลังวิบูลย์ได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทโรงงานน้ำตาลเกษตรผลและเกษตรไทยตามลำดับ----ได้เข้าซื้อกิจการโรงงานน้ำตาลมหาคุณของกลุ่มเตชะไพบูลย์และมหาคุณซึ่งขายให้แก่วิบูลย์ไปด้วยเหตุผลว่ากันว่าเพื่อนำรายได้จากทรัพย์สินนี้ไปต่อสู้กับกลุ่มของเถลิง เหล่าจินดา (สุราทิพย์) ในการประมูลเหล้า 12 จังหวัดของกรมสรรพสามิต ขณะที่วิบูลย์เองก็ประมาณการด้วยความมั่นใจว่าสถานการณ์ราคาน้ำตาลในตลาดโลกในปี 2527/28 จะต้องสูงอย่างแน่นอน…เตรียมฟันกำไรเต็มที่!

โรงงานน้ำตาลมหาคุณตอนที่อยู่ในมือกลุ่มเตชะไพบูลย์และมหาคุณนั้นได้เครดิตไลน์บางส่วนจากณรงค์ของแบงก์กสิกรไทยด้วย (ประมาณ 200 ล้านบาท) เหตุผลอาจเนื่องมาจากว่าณรงค์ทราบดีว่า โรงงานน้ำตาลนี้ผลิตเอา BY PRODUCT ไปทำโมลาสซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตเหล้า ที่กลุ่มเตชะไพบูลย์และมหาคุณควบคุมการมีกรรมสิทธิ์ในการผลิตและขายสุราอยู่ที่บางยี่ขันยี่ห้อแม่โขง และอีกส่วนหนึ่งนำไปผลิตเป็นน้ำตาลทรายดิบเพื่อส่งออกต่างประเทศ

เรื่องนี้ก่อนหน้าที่ณรงค์จะตัดสินใจให้เครดิตไลน์ไป เขาก็ศึกษาวิเคราะห์ดูถี่ถ้วนแล้ว ลงทุนขนาดเดินทางไปพบปะพูดคุยศึกษาเก็บข้อมูลเอาจากพ่อค้าน้ำตาลทั้งในรอตเตอร์ดัมและชิคาโกกันเลยทีเดียว

แต่แล้วก็พลาดจนได้ ราคาน้ำตาลในตลาดโลกปี 2520 เป็นต้นมา ปักหัวดิ่งลงหลังผงกหัวขึ้นมาตลอด 2 ปีก่อนหน้านี้ สร้างความปั่นป่วนให้กับผู้บริหารโรงงานแห่งนี้มาก ประกอบกับเข็มมุ่งที่แท้จริงของกลุ่มเตชะไะบูลย์และมหาคุณในตอนนั้นกำลังคิดจะถอนตัวออกจากธุรกิจนี้ เพื่อรวบรวมกำลังไปช่วงชิงเอาธุรกิจเหล้ามากกว่า

ทั้งณรงค์และกรรมการบอร์ด 1 คนอื่น ๆ ต่างคิดกันหนักกับสถานการณ์น้ำตาลและภาระหนี้สินของลูกค้านี้มาก และเป็นเหตุผลสำคัญที่ณรงค์และแบงก์กสิกรไทยตั้งแต่นั้นมาเข็ดเขี้ยวต่อการขยายสินเชื่อแก่ธุรกิจนี้อีก!

เมื่อวิบูลย์เข้ามาซื้อกิจการ ณรงค์และผู้ใหญ่ในแบงก์กสิกรไทยก็ไม่ขัดข้องเพราะชื่อเสียงของวิบูลย์ในวงการธุรกิจนี้ทำไว้เป็นที่เชื่อถือมากพอสมควรเมื่อปี 2523 ที่สามารถบริหารธุรกิจน้ำตาลในเครือข่ายของตนจะมีกำไรพอที่จะชำระหนี้แบงก์ได้ไม่ติดขัด

…ว่ากันว่า แม้แต่เจ้าสัวชาตรี โสภณพนิชแห่งแบงก์กรุงเทพ เจ้าหนี้รายหนึ่งของวิบูลย์ ก็ยังยกนิ้วให้วิบูลย์ว่าเป็นคนเก่งในการขายน้ำตาล…!

ปี 2527/28 ปีเดียวหลังวิบูลย์ซื้อกิจการน้ำตาลมหาคุณ การคาดหวังทั้งสองของณรงค์ในฐานะเจ้าหนี้ชั้น 4 มูลหนี้ประมาณ 180 ล้านบาทและวิบูลย์ต่างผิดพลาดไปอย่างสิ้นเชิง ราคาน้ำตาลในตลาดโลกปักหัวดิ่งลงเหลือ 2 เซนต์/ปอนด์ ขณะที่ต้นทุนอยู่ในราว ๆ 9-10 เซนต์!

งานนี้วิบูลย์ต้องขายน้ำตาลของเขาจากโรงงานทุกโรงไปในราคาขาดทุนปอนด์ละ 5-8 เซนต์เพื่อหมุนเงินมาชำระหนี้ระยะสั้นที่ไปโอดีมาจากแบงก์

แต่ดอกเบี้ยก็มีมากจนเกินไปกว่าที่วิบูลย์จะรับไว้ทันเสียแล้ว ณรงค์เองในฐานะเจ้าหนี้ก็เข็ดเขี้ยวกับธุรกิจนี่ที่ไม่มีอะไรแน่นอน ราคาตลาดโลกผันผวนอยู่ตลอดเวลา ขณะที่ราคาอ้อยและต้นทุนปัจจัยการผลิตอื่น ๆ ก็ไม่เป็นไปตามกลไกการค้าเสรีจริง ๆ มีการต่อรองด้วยอำนาจทางการเมืองอยู่เป็นประจำทุกฤดูกาล

การแก้ปัญหาลูกหนี้โรงน้ำตาลสิงห์บุรีของวิบูลย์ครั้งนี้ แทนที่จะเป็นณรงค์เหมือนดังเคยที่บัญชาและกรรมการท่านอื่น ๆ เคยใช้ให้เขาเป็นมือปราบแก้ปัญหาหนี้สินลูกค้าหลายแห่ง เช่น มาบุญครองที่ณรงค์เองใช้ความสามารถติดตามหนี้สินมาจากกลุ่มนี้กลับคืนมาได้ไม่ใช่น้อย หลายสิบล้านบาท ทั้ง ๆ ที่ตอนมาเปลี่ยน LOANS ให้แก่กลุ่มมาบุญครองในโครงการมาบุญครองเซนเตอร์ ณรงค์ไม่ได้เป็นผู้ร่วมพิจารณาให้เงินกู้ด้วยเลย เพราะเดินทางไปต่างประเทศพอดี…ก็แปรเปลี่ยนมาเป็นแบงเกอร์รุ่นเด็กกว่าเขาอย่าง ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล กรรมการการรองผู้จัดการกับภควัต โกวิทวัฒนพงศ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจแทน

แหล่งข่าวยืนยันกับ "ผู้จัดการ" ว่า กรณีหนี้สินโรงงานน้ำตาลมหาคุณที่ในภายหลังผ่องถ่ายมาอยู่กับโรงงานน้ำตาลสิงห์บุรีของกลุ่มบ้านโป่ง (วิบูลย์ ผานิตวงศ์) จำนวนประมาณ 180 ล้านบาทนี้ เป็นบทเรียนครั้งใหญ่ของแบงก์กสิกรไทยและณรงค์ในการเปลี่ยนสินเชื่อแก่ธุรกิจน้ำตาล และเป็นจุดที่ทำให้แบงก์กสิกรไทยเข็ดเขี้ยวต่อธุรกิจน้ำตาลตั้งแต่นั้นมา

นักวิเคราะห์ระดับ PH.D. ของสถาบันบริหารธุรกิจชั้นนำของประเทศแห่งหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า แบงเกอร์ระดับมืออาชีพนั้นจะพยายามทำงานให้ผิดพลาดน้อยที่สุด ถ้าหากพลาดแล้ว จะถือเป็นบทเรียนและจะไม่กลับไปหามันอีก ตลอดชีวิตการทำงานจะมุ่งแต่เพียงความสำเร็จของโครงการที่รับผิดชอบเท่านั้น ณรงค์ ศรีสอ้านในสายตาของนักวิเคราะห์ท่านนี้ก็เช่นกัน เขาให้ความเห็นว่า ณรงค์เป็นแบงเกอร์มืออาชีพแท้จริงที่คนในตระกูลล่ำซำให้ความนับถือและเกรงใจในความเสียสละ ทุ่มเทให้กับแบงก์อย่างจริงใจ

"ณรงค์มีความหวังสำหรับอนาคตของเขาเพียงอย่างเดียว คือบุกเบิกโครงการสินเชื่อใหม่ ๆ พร้อมกับความสำเร็จในโครงการ" นักวิเคราะห์ให้ความเห็นถึงจินตภาพแห่งอนาคตของชีวิตของณรงค์ให้ "ผู้จัดการ" ฟัง ซึ่งมีส่วนถูกต้องอย่างมากเพราะณรงค์เองก็กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า อนาคตของเขาในชีวิตการเป็นแบงเกอร์ให้กสิกรไทยจากนี้ไปอีก 6 ปี ถึงจะครบเกษียณอายุ (66 ปี) เขาจะพยายามทำหน้าที่ที่ผู้ใหญ่ให้ความไว้วางใจเขาอย่างดีที่สุด เหตุผลเพราะผู้ใหญ่ในแบงก์ไม่ว่าจะเป็นบัญชาและบรรยงค์ ล่ำซำ เจ้านายของเขา ปฏิบัติต่อตัวเขาอย่างเพื่อนฝูงมากกว่าเจ้านายทำให้เขาสบายใจและมีความสุขขณะปฏิบัติหน้าที่

"แม้จะมีหลายสถาบันธุรกิจชวนผมให้ไปทำงานด้วยโดยเสนอผลตอบแทนสูง ๆ ผมก็ไม่ไป" ณรงค์เล่า

ความมั่นคงในสถาบันแบบนี้ของณรงค์ตรงกับข้อเท็จจริงที่ลูกน้องเก่าของเขาหลายคนเคยกล่าวว่า ณรงค์เป็นมืออาชีพด้านแบงเกอร์แบบไทย ๆ ที่มีฝีมือและจงรักภักดีต่อแบงก์กสิกรไทยมาก ลูกสาวของณรงค์ที่ชื่อหนุงหนิง หรือนพพร ศรีสอ้าน ก็ทำงานอยู่ที่นี่ด้วย ลักษณะแบบนี้ต่างกับพวกแบงเกอร์มืออาชีพในสไตล์อเมริกันที่อยู่ในสถาบันการเงินอื่น ๆ ที่มักจะแสวงหาผลตอบแทนสูงสุดเป็นจุดใหญ่ในการเปลี่ยนแปลงสังกัดสถาบัน…

มันเป็นความโชคดีของคนในตระกูลล่ำซำที่เป็นเจ้าของแบงก์กสิกรไทยใช่ไหม? ที่มีคนอย่างณรงค์ทำงานด้วยในแบงก์มายาวนาน และมีความภักดีสูงเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะเคยผิดพลาดมาบ้าง แต่ผลงานของเขาก็สร้างความสำเร็จให้แบงก์มามากกว่าเสีย มิใช่หรือ!

ตลอดชีวิตของณรงค์ เส้นทางในการสร้างหลักฐานให้ตัวเองและครอบครัวจะไม่มีวันเบี่ยงเบนออกจากเส้นทางของคนในล่ำซำแน่นอน การมีส่วนร่วมในฐานะผู้ถือหุ้นคนหนึ่งในแบงก์แห่งนี้และในธุรกิจอื่น ๆ อีก 6 แห่ง (เท่าที่ตรวจสอบได้-ดูตารางประกอบ) ของณรงค์จะเคียงคู่ไปกับคนในตระกูลล่ำซำทั้งสิ้น

มันเหมือนกับว่าในโลกธุรกิจใบนี้เมื่อมีผลประโยชน์ของคนในล่ำซำอยู่จะต้องเกาะเกี่ยวกับผลประโยชน์ของณรงค์เคียงคู่ไปด้วยเสมอ!

เหตุผลเพราะณรงค์คือคนนอกจากล่ำซำคนเดียวที่คนในล่ำซำได้วิเคราะห์แล้วว่า เขาคือคนที่ไว้ใจได้ เป็นนักบุกเบิกเหมือน "มร. โคลัมบัส" ที่มีความทะเยอทะยานในขอบเขต และมีความจงรักภักดีกตเวทิตาคุณนั่นเอง โดยเฉพาะความกตัญญูรู้คุณนี้ ณรงค์ปฏิบัติมาสม่ำเสมอ แม้กระทั่งงานทอดกฐินเพื่อหาเงินสร้าง ร.ร. ประชาบาล วัดถนนแค จ. ลพบุรี ซึ่งมีความสัมพันธ์กับพ่อตาของเขามาในอดีต ณรงค์ก็สามารถจัดหาเงินมาสร้าง ร.ร. ได้ถึง 250,000 บาท หรือแม้กระทั่งวันเสียชีวิตของแม่แม้น ศรีสอ้าน ณรงค์ก็ได้จัดตั้งกองทุนณรงค์ ศรีสอ้าน จำนวน 3 ทุน ๆ ละ 3,000 บาท ให้กับ น.ศ. คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ และกองทุนแม้น ศรีสอ้านให้กับ น.ศ. เศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ เพื่ออุทิศบุญกุศลให้กับมารดาของเขา

วันนี้ของณรงค์ เขาคือกรรมการรองกรรมการผู้จัดการอาวุโสยศชั้น SENIOR EXECUTIVE VICE PRESIDENT ที่ควบคุมบริหารนโยบายสายงานธุรกิจมากถึง 5 สายงานคือ ธนาคารต่างประเทศ บริหารเงิน พัฒนาธุรกิจ บริหารหนี้สิน และหลักทรัพย์และสำนักกฎหมาย ซึ่งสายงานเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสายงานที่หารายได้เข้าแบงก์ทั้งสิ้น

ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตลูกน้องในสายงานธุรกิจธนาคารต่างประเทศ ปัจจุบัน กรรมการรองกรรมการผู้จัดการที่ดูแลสายงานด้านวางแผนและวิชาการซึ่งเป็นงานสนับสนุน ให้ความเห็นกับ "ผู้จัดการ" ว่า ณรงค์มีลูกน้องมากมาย เขามีจุดเด่นในการบริหารงานอยู่ 2 จุด คือ หนึ่ง-รู้จักเลือกใช้คนว่าคนไหนเหมาะกับงานประเภทไหนที่สามารถ KEEP ON TIME งานนั้น ๆ ได้ตามกำหนด สอง-ณรงค์เป็นคนรู้เรื่องธุรกิจแต่ละชนิดอย่างลึก ๆ การพิจารณาสินเชื่อโครงการ ณรงค์จะไม่ดูแต่เพียงโครงการศึกษา แต่ละลงไปลึกถึงบุคคลต่าง ๆ ที่อยู่ในวงการธุรกิจนั้น ๆ อย่างแท้จริง

"ณรงค์ไม่ได้เรียนเอ็มบีเอมา แต่การบริหารงานของแกเก่งกว่าคนที่เรียนเอ็มบีเอมาอย่างผมเสียอีก" หม่อมปรีดิยาธร เทวกุลเล่า

กล่าวกันว่าในสมัยหนึ่งเมื่อปี 2527 ณรงค์ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการประปานครหลวง (ก.ป.น.) เขาสามารถช่วยการประปาฯ ประหยัดเงินได้ถึง 800 ล้านบาทจากงานประมูลก่อสร้างระบบการส่งน้ำโครงการ 3 ระยะ 2 เฟสที่ 1A ภายใต้การช่วยเหลือทางการเงินจาก OECF ญี่ปุ่น เพราะณรงค์เห็นว่าบริษัทก่อสร้างญี่ปุ่นเสนอราคาค่าก่อสร้างสูงเกินไปจากต้นทุนที่แท้จริงตามราคาประเมินของการประปา

"คุณณรงค์ออกเก็บข้อมูลต้นทุนวัสดุก่อสร้างต่าง ๆ จนแน่ใจว่าราคาที่ประมูลเสนอมาสูงเกินไป ปรากฏว่าคณะกรรมการ ก.ป.น. เห็นด้วยกับณรงค์ที่ให้ยกเลิกโครงการประมูลครั้งนั้นเสีย แล้วเปิดประมูลใหม่ได้ในราคาที่ต่ำกว่าคราวแรกมากถึง 800 ล้านบาท" คนใน ก.ป.น. เล่าถึงเกร็ดสไตล์การทำงานของแบงก์ให้ฟังด้วยความรู้สึกที่ชื่นชม

ความจริงแล้วแผนการปรับปรุงฐานะการเงินในรัฐวิสาหกิจที่เคยขาดทุนให้มีกำไรและสามารถอุดช่องโหว่การรั่วไหลได้นั้น ในฐานะเป็นแบงเกอร์มานาน ไม่ใช่สิ่งยากเย็นอะไรเลยสำหรับณรงค์ เพราะมีประสบการณ์มามากในภาคธุรกิจ แต่ณรงค์ก็ถ่อมตัวกับ "ผู้จัดการ" ว่า นักบริหารการเงินใน ก.ป.น. ที่เก่ง ๆ มีมาก เพียงแต่ผู้ใหญ่ใน ก.ป.น. ซึ่งมาจากสายวิศวกร ไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์

ตัวอย่างเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ อันหนึ่งของณรงค์ในการบริหารทั้งในฐานะเป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจ หรือแม้แต่ในภาคธุรกิจเอกชนเช่นแบงก์กสิกรไทยนี้สะท้อนให้เห็นแจ่มชัดว่า ในการบริหารชีวิตส่วนตัว ณรงค์ก็คงจะเป็นผู้บริหารที่ระมัดระวังในการใช้จ่ายเงินมากพอสมควร แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับเขาให้ความเห็นว่า "ณรงค์เป็นคนประหยัด มัธยัสถ์"

ความเห็นนี้น่าจะถูกต้องส่วนหนึ่ง ที่มากกว่านั้น ณรงค์เป็นนักบริหารเงินทุนส่วนตัวมือฉกาจด้วย เขาเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า รายได้จากเงินเดือนและค่าจ้างในรูปแบบอื่น ๆ ของเขาที่ได้มาจากการทำงานหนักนั้น เขาจะใช้จ่ายออกไปใน 4 ทางคือ หนึ่ง-ฝากธนาคารกินดอกเบี้ย สอง-ลงทุนซื้อพันธบัตร สาม-ลงทุนซื้อที่ดิน และสุดท้าย-ลงทุนร่วมหุ้นกับกรรมการในแบงก์กสิกรไทย

"ผมบริหารการใช้จ่ายเงินส่วนตัวของผมแบบนี้ ใครจะเอาเป็นแบบอย่างก็ได้" ณรงค์เสริมให้ฟัง…

เส้นทางแห่งอนาคตของณรงค์ (หลังเกษียณ) จะจบลงด้วยการล้างมือในอ่างทองคำ ในฐานะผู้มีรายได้สูงสุดของประเทศค่อนข้างแน่นอน เขาบอกกับ "ผู้จัดการ" ว่า

"ใครมาชวนผมไปเลี้ยงวัวนม ผมเอา"

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us