Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์2 กุมภาพันธ์ 2552
กลเกมแอร์ไลน์ฮ่องกงศึกชิงจ้าวน่านฟ้าเอเชีย             
 


   
www resources

โฮมเพจ แอร์เอเชีย
โฮมเพจ คาเธ่ย์ แปซิฟิคแอร์เวย์

   
search resources

ไทยแอร์เอเชีย, บจก.
Aviation
คาเธ่ย์ แปซิฟิค แอร์เวย์, บจก.




ปัจจุบันยอดนักท่องเที่ยวเยือนฮ่องกงตลอดปี 2551 มีจำนวนทั้งสิ้น 29,506,616 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ซึ่งมียอดนักท่องเที่ยว 28.17 ล้านคน คิดเป็นอัตราเติบโต 4.7% จากปีก่อนหน้า ส่วนยอดนักท่องเที่ยวไทยเยือนฮ่องกงในปี 2551 เติบโตขึ้นจากปี 2007เล็กน้อยอยู่ที่ประมาณ 4.2%

ขณะเดียวกันตลาดที่มีการเติบโตนำโด่งตลาดภูมิภาคอื่นๆ คือ จีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเยือนฮ่องกงทั้งสิ้น 16,862,003 คน สูงกว่าปี 2550 ถึง 8.9% และคิดเป็นสัดส่วน 57.1% ของยอดนักท่องเที่ยวเยือนฮ่องกงในปี 2551 ทั้งหมด ในขณะที่ตลาดภูมิภาคอื่นๆโดยรวมมียอดนักท่องเที่ยวทั้งสิ้นประมาณกว่า 12,644,613 คน ลดลง 0.3% โดยเฉพาะตลาดระยะไกล

การโหมประชาสัมพันธ์กระหึ่มไปทั่วทั้งเอเชียว่าจะยึดโซนแถบอาเซียนและเอเชียของสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิกเริ่มปลุกกระแสการแข่งขันด้วยดีกรีที่ร้อนแรงขึ้น โดยเฉพาะการหั่นราคาตั๋วลงถึง 50%ในช่วงเวลาแบบนี้ เนื่องจากคาเธ่ย์มองเห็นความจำเป็นที่จะต้องรักษาฐานที่มั่นทางการตลาดไว้อย่างเหนียวแน่นที่สุด

หลังจากที่คู่แข่งขันอย่างแอร์เอเชียที่นำโลว์คอสต์แอร์ไลน์บินเข้ามายังไทย ด้วยเครื่องโบอิ้ง 737-300 ขนาด 148 ที่นั่ง นำร่องเปิดให้บริการใน 2 เส้นทางจากนั้นก็เพิ่มทั้งฝูงบินใหม่อย่าง แอร์บัส A320 เข้ามาพร้อมกับขยายเส้นทางบินไปเรื่อยๆตามหัวเมืองท่องเที่ยวหลักจนกระทั่งล่าสุดมีเส้นทางบินทั้งภายในประเทศและต่างประเทศอยู่จำนวนมาก ด้วยการวางตำแหน่งทางการตลาดในราคาถูกที่สุดในประวัติศาสตร์ หรือต่ำกว่าราคาตลาดที่สายการบินนานาชาติบินกันอยู่

และด้วยโครงสร้างราคาตลาดที่วางไว้ถึง 11 ราคาของแอร์เอเชีย ซึ่งจะมีราคา สูง-ต่ำแตกต่างกันประมาณ 5-10% ขึ้นอยู่กับใครจองก่อน ขณะเดียวกันก็เน้นตัวโปรดักส์ในเครื่องบิน เก้าอี้สบาย มีเทคโนโลยีสมัยใหม่

ด้วยจุดขายนี้เองส่งผลให้ผลประกอบการของ "แอร์เอเชีย"เติบโตแบบดีวันดีคืนสามารถสร้างเม็ดเงินกำไรเข้าสู่บริษัทได้เป็นอย่างกอบเป็นกำ จนทำให้คู่แข่งขันในวงการธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำเกิดการขยายตัวเปิดให้บริการกันเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเส้นทางบินระหว่างประเทศที่นับวันจะมีการขยายตัวและแข่งขันกันมากขึ้น

ผลกระทบจะตกมาที่สายการบินที่มีต้นทุนสูง แม้ว่าผู้ประกอบการหลายค่ายของแต่ละสายการบินดังกล่าวจะออกตัวว่าลูกค้าเป็นคนละกลุ่มกันก็ตาม แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนแบบนี้อาจส่งผลทำให้พฤติกรรมผู้โดยสารเปลี่ยนแนวคิดและเริ่มหันไปใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน

สอดคล้องกับสายการบินเจ็ตสตาร์ที่เดินหน้าขยายบริการเส้นทางบินระหว่างประเทศหวังตอบรับความสำเร็จจากการเปิดให้บริการในเส้นทางบินระหว่างประเทศระยะไกลในปีแรก ด้วยการเปิดแคมเปญคืนเงินส่วนต่าง 2 เท่าหากมีสายการบินอื่นเปิดจองที่นั่งบนเว็บไซต์ในราคาที่ต่ำกว่าที่สำคัญสายการบินเจ็ตสตาร์มีการเติบโตมากกว่า 3 เท่าหลังจากเริ่มเปิดดำเนินการด้วยการเป็นสายการบินภายในประเทศออสเตรเลียเมื่อ 3 ปีก่อน และคาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันอีกเกือบ 10 เท่าในปี 2553/2554 และในปีงบประมาณ 2550 ที่ผ่านมา เจ็ตสตาร์ให้บริการรับส่งผู้โดยสารไปแล้วรวมทั้งสิ้นกว่า 7.6 ล้านคน

ขณะที่ แอร์เอเชีย มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ออกมาอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นสายการบินที่มีค่าโดยสารราคาประหยัดรายแรกของโลก โดยเฉพาะการเปิดบริการเส้นทางบินระหว่างประเทศทั้งในระยะใกล้และไกลเพียงเพื่อหวังกินรวบตลาดทั้งหมดให้มาอยู่ในมือมากที่สุดนั่นเอง

ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าเส้นทางระยะไกล แอร์เอเชีย ดึงเอา "เวอร์จิ้น บลู" เข้าถือหุ้นส่วนถึง 20% พร้อมตั้งเป้าบุกเบิกธุรกิจโลว์คอสต์เจาะตลาดบินระยะไกลชนิดข้ามทวีป โดยมีเส้นทางนำร่อง กัวลาลัมเปอร์-ออสเตรเลีย พร้อมกับงัดกลยุทธ์เดิมดั๊มฟ์ราคาตั๋วโปรโมชั่นจูงใจนักเดินทางลดลงเหลือเพียง 900-19,000 บาทและใช้ฝูงบินก่อนเพียง 1 ลำ ขณะเดียวกันก็มีการสั่งซื้อฝูงบินแอร์บัส A330-300s ใหม่ 15 ลำ ไว้รองรับการขยายเส้นทางตลาดระยะไกลในทันที

แม้แต่ตลาดจีนก็ไม่อาจมองข้ามแถมยังเป็นฐานตลาดขนาดใหญ่ที่เดินทางไปทั่วโลกของสายการบินคาเธ่ย์ด้วยเช่นกัน ล่าสุด แอร์เอเชียมีแผนพร้อมจะเปิดเพิ่มเส้นทาง หางโจว สาธารณรัฐประชาชนจีน หวังเชื่อมเครือข่ายตลาด แอร์เอเชียเพื่อหวังจะเจาะเข้าสู่ออสเตรเลีย ว่ากันว่านี่คือการวางตำแหน่งทางการตลาดของ แอร์เอเชีย เพื่อให้เป็นสายการบินต้นทุนต่ำอย่างแท้จริง เปิดให้บริการบินระยะใกล้หรือไกลเป็นรายแรก ขณะที่เดียวกันก็ใช้ อิมเมจของ เวอร์จิ้น บลู ช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงของแอร์เอเชีย ในตลาดโลก รวมทั้งการเชื่อมสัมพันธ์กับสนามบินนานาชาติ

จึงไม่เป็นเรื่องแปลกที่สายการบิน คาเธ่ย์ แปซิฟิก ที่มีฐานลูกค้าส่วนใหญ่ที่เป็นตลาดนักท่องเที่ยวชาวจีนต้องออกมาเปิดเกมรุกทางการตลาดด้วยการสร้างสงครามดัมพ์ราคาค่าโดยสารชนิดที่ถูกที่สุดในรอบหลายปีสั่นสะเทือนวงการธุรกิจการบิน

สอดคล้องกับ ยงยุทธ ลุจินตานนท์ ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาดประจำประเทศไทยและพม่า สายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค ที่ออกมายอมรับว่า ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกส่งผลให้ปี 2552 เป็นอีกหนึ่งปีที่ท้าทายสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวและสายการบิน ส่งผลทำให้แต่ละสายการบินมีการแข่งขันกันสูงขึ้น และต้องคิดกลยุทธ์ทางการตลาดใหม่ๆ อีกทั้งปรับลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น

"ในปีนี้ เป้าหมายของสายการบินคือ ขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ฮ่องกงเป็นฮับ หรือเป็นศูนย์กลางการให้บริการทั้งการขนส่งผู้โดยสารและสินค้า ไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก" ยงยุทธ กล่าว

ความร้อนแรงในช่วงไตรมาสแรกของปี 52 สายการบิน คาเธ่ย์ฯ ได้ออกแคมเปญกระตุ้นตลาดด้วยตั๋วเครื่องบินราคาประหยัด ส่วนช่วงไตรมาส 2-4 ของปีนี้เชื่อว่าจะมีการประเมินสถานการณ์จากไตรมาสแรกเพื่อจัดทำโปรโมชั่นและแพ็คเกจทัวร์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น

ปัจจุบันแผนการตลาดในปี 2552 ของคาเธ่ย์ฯ จึงมีการวางแผน ทั้งด้านการกระตุ้นตลาดและการควบคุมค่าใช้จ่าย เริ่มจากกลยุทธ์แรก คือ ลดราคาค่าตั๋วและค่าธรรมเนียมน้ำมัน (Fuel Surcharge) ให้เหมาะสมในทุกเส้นทาง เพื่อหวังจูงใจให้ผู้โดยสารหันมาใช้บริการเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีการเริ่มปรับราคารอบใหม่ไปแล้วเมื่อต้นปีนี้ ในเส้นทางที่ทำโปรโมชั่นไปยังจุดหมายต่างๆ ทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกา อาทิ เส้นทางกรุงเทพฯ - ฮ่องกง เริ่มต้นเพียง 6,100 บาท กรุงเทพฯ - สิงคโปร์ เริ่มต้นที่ 3,500 บาท กรุงเทพฯ - ปักกิ่ง เริ่มต้นที่ 9,000 บาท หรือ กรุงเทพฯ - โอซาก้า เริ่มต้นที่ 11,600 บาท ทวีปยุโรป เส้นทางกรุงเทพฯ - ลอนดอน เริ่มต้นที่ 23,100 บาท และทวีปอเมริกา เส้นทางกรุงเทพฯ - ลอส แองเจลิส เริ่มต้นที่ 25,200 บาท เป็นต้น โดยทุกเส้นทางจะถูกเปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกง

ในขณะเดียวกันการเพิ่มเส้นทางบินตามความต้องการของผู้โดยสารก็กลายเป็นเรื่องที่ สายการบินค่าเธ่ย์ให้ความสำคัญเช่นกัน โดยล่าสุดมีแผนที่จะขยายเส้นทางบินกรุงเทพ - เดลี ให้บริการทุกวัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม เป็นต้นไป ขณะที่เส้นทางบิน กรุงเทพฯ-ฮ่องกง ยังคงใช้บริการสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิค และหันไปเพิ่มความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวที่ต้องการไปภูเก็ต โดยสามารถบินตรงจากภูเก็ต ไปยังฮ่องกง โดยสารการบินด้วย ดราก้อนแอร์

นอกจากนี้การเพิ่มบุคลากร เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าคนไทยยังคงเป็นแผนการที่ถูกวางไว้เช่นกัน ว่ากันว่าลูกเรือที่ประจำการอยู่ที่กรุงเทพฯ มีความพร้อมที่จะให้บริการตั้งแต่เดือนมีนาคม เป็นต้นไป รวมถึงการจัดซื้อเครื่องบินเพิ่มเติม เพื่อรองรับการให้บริการแก่ผู้โดยสาร และเส้นทางที่เพิ่มขึ้น

การปรับตัวเพื่อรองรับตลาดใหม่ๆยังคงเป็นแนวนโยบายที่สายการบินฯมีความต้องการไม่แพ้ตลาดหลักๆที่มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในช่วงภาวะการแข่งขันทางธุรกิจการบินที่ค่อนข้างรุนแรงภายในแรงกดดันรอบข้างส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายที่ถูกเลือกจากค่าเธ่ย์ฯจะโฟกัสมุ่งเน้นไปที่ตลาดลูกค้ากลุ่มองค์กร โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็ก

"วิธีนี้จะเน้นขยายช่องทางการขาย เพิ่มบริการออนไลน์ที่เรียกว่า Small Business Solutions และได้วางเป้าหมายว่าจะเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการออนไลน์ให้ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ ในปีนี้" นายยงยุทธ กล่าว

ขณะเดียวกัน แอร์เอเชียมีแผนที่จะเปิดข่ายการบินแบบโลว์คอสต์เชื่อมทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก การเติบโตของสายการบินต้นทุนต่ำ ในภูมิภาคนี้น่าทึ่งจริงๆ หากใครเดินเกมไม่ทันก็จะกลายเป็นผู้ตามทันที

ว่ากันว่าแผนการจัดตั้งสายการบินโลว์คอสต์แห่งที่ 2 นี้ ย่อมจะส่งผลกระทบต่อสายการบินในภูมิภาคเอเชีย ที่เชื่อมปลายทางต่างๆ ทั้งไทยและต่างประเทศ ดังนั้นเมื่อมีโอกาสเปิดตลาดใหม่ๆ ในภูมิภาคเอเชียแน่นอนที่สุดย่อมส่งผลให้การบินโลว์คอสต์เติบโตอย่างไม่หยุดยั้งในไม่กี่ปีที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน

สังเกตได้ว่าการรุกคืบของแอร์เอเชีย จะส่งผลกระทบต่อผู้ลงทุนจากออสเตรเลียในแปซิฟิกแอร์ไลน์โดยตรง ซึ่งไม่เพียงเท่านั้น การปรากฏตัวของฮับการบินเอเชียแห่งที่ 2 ของ แอร์เอเชีย ในเวียดนามยังจะส่งผลโดยตรงถึงสายการบินแห่งชาติเวียดนามแอร์ไลน์สอีกเช่นกัน ซึ่งในปัจจุบันมีการครอบครองเส้นทางหลักภายในประเทศ ที่ล้วนเป็นเส้นทางทำกำไรแทบทั้งสิ้น

จึงไม่แปลกที่ แอร์เอเชียมีการประกาศขยายเส้นทางใหม่จากไทยและมาเลเซียไปยังฮ่องกง เนื่องจากปัจจุบันแอร์เอเชียมีเครื่องบินใช้งานจำนวน 50 ลำ เป็นเครื่องแอร์บัส A320 จำนวน 15 ลำ กับ โบอิ้ง737-300s อีก 35 ลำ แต่เมื่อปี 2548 บริษัทแม่แอร์เอเชียในมาเลเซียได้เซ็นสัญญาซื้อเครื่องแอร์บัส A320 ล็อตใหญ่จำนวน 150ลำ ทั้งหมดมีกำหนดจะขึ้นบินได้ในปี 2552

การสั่งซื้อครั้งใหม่นี้จะทำให้แอร์เอเชียเป็นสายการบินต้นทุนต่ำที่ใหญ่ที่สุดในเอเชย มีเครื่องบินรวมประมาณ 200 ลำมากกว่าสายการบินขนาดใหญ่ในเอเชียทุกสายในปัจจุบัน และยังเป็นสายการบินที่มีเครื่องแอร์บัส A320 ในฝูงมากที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งท้ายที่สุดว่ากันว่าแอร์เอเชียอาจจะใช้ฐานในเวียดนาม เปิดบินเชื่อมปลายทางต่างๆ ในจีนแผ่นดินใหญ่อีกด้วย

โมเดลการตลาดที่แยบยลเต็มไปด้วยสงครามหั่นราคาตั๋วโดยสารสำหรับเส้นทางระยะไกลข้ามทวีปแบบนี้ กอปรกับแนวคิดที่จะหาวิธีช่วงชิงลูกค้าให้เข้าไปใช้บริการให้มากที่สุดจึงต้องจับตาดูว่า ระหว่างโลว์คอสแอร์ไลน์อย่าง แอร์เอเชีย กับสายการบินยักษใหญ่อย่าง คาเธ่ย์ แปซิฟิก ทั้งสองแห่งพร้อมที่จะเติมดีกรีเพิ่มความร้อนแรงในสนามแข่งขันทางธุรกิจการบินเพื่อหวังจะสร้างตัวเองให้เป็นผู้นำมากกว่าผู้ตาม!..ได้หรือไม่?...ต้องติดตาม   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us