|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
"เมเจอร์" โฟกัสเส้นทางปี 52 มุ่งสร้างตลาดใหม่ หวังเพิ่มอัตราการเข้าชมภาพยนตร์จาก 2 เป็น 2.5 ครั้งต่อเดือน ระเบิด 4 ยุทธศาสตร์รับศึก ทุ่ม 100 ลบ.ทำระบบเอ็มบ๊อกซ์ สร้างความสะดวกในการซื้อตั๋วหนัง ขยายสาขาเพิ่มไม่ต่ำกว่า 5 สาขา กอดคอค่ายหนังโปรโมตร่วมกัน จับมือพาร์ทเนอร์ชิฟ จัดอีเวนต์หนักขึ้น เชื่อผลักรายได้หนังโตอีก 10-15% ในปีนี้
นายอนวัช องค์วาสิฏฐ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจโรงภาพยนตร์ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมภาพยนตร์ปีนี้มองว่า ยังมีทิศทางการเติบโตที่ดีอยู่ เมื่อดูจากคอนเท้นท์ภาพยนตร์ที่จะเข้าฉายถือว่าดีมาก ไม่ว่าจะเป็น นเรศวรมหาราช, องค์บาก, แฮร์รี่ พอตเตอร์, ทรานฟอร์มเมอร์2 และอีกหลายเรื่อง ถือเป็นอีกปีที่หน้าหนังดีใกล้เคียงกับปี 2550 ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจปีนี้ที่ทรงตัว จึงไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์จะมีอัตราการเติบโตได้เท่าปี 2550 หรือไม่ แต่มองว่าน่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 3,500-4,000 ล้านบาท
ในส่วนของบริษัทฯที่มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 75-80% ในปีที่แล้ว ยังเติบโตดีอยู่ ส่วนปีนี้ตั้งเป้าเติบโตไว้ 10-15% ภายใต้เศรษฐกิจทรงตัว จากยุทธศาสตร์ 4 ข้อใหญ่ ที่จะนำมาใช้ในปีนี้ คือ
1.เน้นสร้างความสะดวกให้กับลูกค้าให้มากขึ้น ซึ่งปีนี้ได้จัดสรรงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท ทำระบบการให้บริการซื้อบัตรชมภาพยนตร์ด้วยตนเอง เรียกว่า เอ็ม บ๊อกซ์ ซึ่งขณะนี้ทดลองใช้อยู่ที่เอสพละนาด และสยามพารากอน คาดว่าภายในเดือนก.พ. จะมีการติดตั้งระบบซอฟท์แวร์ใหม่ทั้งหมดเรียบร้อย และเปิดให้บริการได้ 20 สาขาของเมเจอร์ที่มียอดขายสูงสุดต่อไป
2.การขยายสาขา ปีนี้ยังคงมุ่งขยายสาขาเพิ่ม อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 5 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ล่าสุด คือ เอสพละนาด รัตนาธิเบศร์ ที่จะเปิดให้บริการในช่วงปลายปีนี้ ยิ่งมีโรงภาพยนตร์มาก ระยะเวลาในการฉายภาพยนตร์ต่อเรื่องที่จะมากขึ้นอีกเฉลี่ย 10 วัน จากเดิมหนัง 1 เรื่องจะมีเวลาเข้าฉาย 2-3 อาทิตย์ จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดการละเมิดลิขสิทธิ์หนังได้
3.การประชาสัมพันธ์ที่ทำให้ลูกค้ารู้ว่าหนังดี น่าชม ปีนี้ทางบริษัทฯจะร่วมกับค่ายหนังหลายๆค่าย เพื่อช่วยกันโปรโมทภาพยนตร์ที่เข้าฉาย ไม่ว่าจะเป็น การทำโปรโมชั่น จัดอีเว้นท์ พรีเมี่ยม และเรื่องราคา มั่นใจช่วยเพิ่มจำนวนคนเข้าชมภาพยนตร์ต่อเรื่องได้มากยิ่งขึ้น
และ4.โปรแกรมซีซันนิ่ง ในเทศกาลต่างๆ บริษัทฯจะร่วมกับพาร์ทเนอร์ จัดอีเว้นท์มากยิ่งขึ้น ภายใต้งบการตลาดทั้งปี 150 ล้านบาทเท่าปีก่อน แต่ปีนี้จะใช้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จัดอีเวนต์ใหญ่ขึ้น และถี่ขึ้น
ล่าสุดร่วมกับบริษัท สก๊อต อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด จัดแคมเปญ"Valentine Movie Lover:Fly Me To The Moon" ภายใต้งบการตลาดกว่า 10 ล้านบาท คาดว่าจะกระตุ้นให้เกิดการดูหนังเพิ่มขึ้น 20% จากช่วงวาเลนไทน์ในปีก่อน
นายอนวัช กล่าวต่อว่า ปีนี้บริษัทฯจะมุ่งเน้นสร้างตลาดผู้ชมใหม่ เพราะมองว่ายังมีจำนวนผู้บริโภคอีกหลากหลายที่ยังไม่นิยมดูหนังในโรงภาพยนตร์ ผ่านยุทธศาสตร์ที่กล่าวมา เชื่อว่าอย่างน้อยในแง่จำนวนคนดูหนังกลุ่มเดิม จากปกติเฉลี่ยเข้าดูเดือนละ 2 เรื่อง น่าจะเพิ่มเป็น 2.5 เรื่องได้ หรือทั้งปีน่าจะมีจำนวนบัตรเข้าชมได้มากกว่า 30 ล้านใบจากปีก่อน รวมทั้งช่วยผลักดันรายได้ให้เติบโตขึ้นอีกอย่างน้อย 10-15%
อย่างไรก็ตาม นายอนวัช กล่าวถึง เรื่องของการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วยว่า ปีนี้ทางบริษัทฯจะมีการเจรจากับทางช่องทางโฮมวิดีโอในการส่งหนังสุ่ระบบการเช่าจากเดิม 1 เดือน มาเป็น 3 เดือน ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยให้ช่องทางขายโฮมวิดีโอดีขึ้น จากเดิมที่หนังออกโรงไม่ถึงเดือนก็เข้าช่องทางโฮม พวกละเมิดจะก๊อปในโรง ภาพจะไม่ชัด จึงหันมาก็อปจากแผ่นแท้ที่ตามมาไม่ถึงเดือนจากช่องทางโฮม ดังนั้นหากเวลาหนังใหม่มาสู่ช่องทางโฮมห่างจากโรงประมาณ 3 เดือน น่าจะช่วยให้โฮมวิดีโอเติบโตได้
|
|
|
|
|