Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน30 มกราคม 2552
เมเจอร์ฯงัด4สูตรกรำศึกปีวัวเร่งสร้างตลาดใหม่ดันรายได้             
 


   
www resources

โฮมเพจ เมเจอร์ซินีเพล็กซ์

   
search resources

เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป, บมจ.
อนวัช องค์วาสิฏฐ์
Theatre




"เมเจอร์" โฟกัสเส้นทางปี 52 มุ่งสร้างตลาดใหม่ หวังเพิ่มอัตราการเข้าชมภาพยนตร์จาก 2 เป็น 2.5 ครั้งต่อเดือน ระเบิด 4 ยุทธศาสตร์รับศึก ทุ่ม 100 ลบ.ทำระบบเอ็มบ๊อกซ์ สร้างความสะดวกในการซื้อตั๋วหนัง ขยายสาขาเพิ่มไม่ต่ำกว่า 5 สาขา กอดคอค่ายหนังโปรโมตร่วมกัน จับมือพาร์ทเนอร์ชิฟ จัดอีเวนต์หนักขึ้น เชื่อผลักรายได้หนังโตอีก 10-15% ในปีนี้

นายอนวัช องค์วาสิฏฐ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจโรงภาพยนตร์ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมภาพยนตร์ปีนี้มองว่า ยังมีทิศทางการเติบโตที่ดีอยู่ เมื่อดูจากคอนเท้นท์ภาพยนตร์ที่จะเข้าฉายถือว่าดีมาก ไม่ว่าจะเป็น นเรศวรมหาราช, องค์บาก, แฮร์รี่ พอตเตอร์, ทรานฟอร์มเมอร์2 และอีกหลายเรื่อง ถือเป็นอีกปีที่หน้าหนังดีใกล้เคียงกับปี 2550 ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจปีนี้ที่ทรงตัว จึงไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์จะมีอัตราการเติบโตได้เท่าปี 2550 หรือไม่ แต่มองว่าน่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 3,500-4,000 ล้านบาท

ในส่วนของบริษัทฯที่มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 75-80% ในปีที่แล้ว ยังเติบโตดีอยู่ ส่วนปีนี้ตั้งเป้าเติบโตไว้ 10-15% ภายใต้เศรษฐกิจทรงตัว จากยุทธศาสตร์ 4 ข้อใหญ่ ที่จะนำมาใช้ในปีนี้ คือ

1.เน้นสร้างความสะดวกให้กับลูกค้าให้มากขึ้น ซึ่งปีนี้ได้จัดสรรงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท ทำระบบการให้บริการซื้อบัตรชมภาพยนตร์ด้วยตนเอง เรียกว่า เอ็ม บ๊อกซ์ ซึ่งขณะนี้ทดลองใช้อยู่ที่เอสพละนาด และสยามพารากอน คาดว่าภายในเดือนก.พ. จะมีการติดตั้งระบบซอฟท์แวร์ใหม่ทั้งหมดเรียบร้อย และเปิดให้บริการได้ 20 สาขาของเมเจอร์ที่มียอดขายสูงสุดต่อไป

2.การขยายสาขา ปีนี้ยังคงมุ่งขยายสาขาเพิ่ม อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 5 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ล่าสุด คือ เอสพละนาด รัตนาธิเบศร์ ที่จะเปิดให้บริการในช่วงปลายปีนี้ ยิ่งมีโรงภาพยนตร์มาก ระยะเวลาในการฉายภาพยนตร์ต่อเรื่องที่จะมากขึ้นอีกเฉลี่ย 10 วัน จากเดิมหนัง 1 เรื่องจะมีเวลาเข้าฉาย 2-3 อาทิตย์ จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยลดการละเมิดลิขสิทธิ์หนังได้

3.การประชาสัมพันธ์ที่ทำให้ลูกค้ารู้ว่าหนังดี น่าชม ปีนี้ทางบริษัทฯจะร่วมกับค่ายหนังหลายๆค่าย เพื่อช่วยกันโปรโมทภาพยนตร์ที่เข้าฉาย ไม่ว่าจะเป็น การทำโปรโมชั่น จัดอีเว้นท์ พรีเมี่ยม และเรื่องราคา มั่นใจช่วยเพิ่มจำนวนคนเข้าชมภาพยนตร์ต่อเรื่องได้มากยิ่งขึ้น

และ4.โปรแกรมซีซันนิ่ง ในเทศกาลต่างๆ บริษัทฯจะร่วมกับพาร์ทเนอร์ จัดอีเว้นท์มากยิ่งขึ้น ภายใต้งบการตลาดทั้งปี 150 ล้านบาทเท่าปีก่อน แต่ปีนี้จะใช้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น จัดอีเวนต์ใหญ่ขึ้น และถี่ขึ้น

ล่าสุดร่วมกับบริษัท สก๊อต อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด จัดแคมเปญ"Valentine Movie Lover:Fly Me To The Moon" ภายใต้งบการตลาดกว่า 10 ล้านบาท คาดว่าจะกระตุ้นให้เกิดการดูหนังเพิ่มขึ้น 20% จากช่วงวาเลนไทน์ในปีก่อน

นายอนวัช กล่าวต่อว่า ปีนี้บริษัทฯจะมุ่งเน้นสร้างตลาดผู้ชมใหม่ เพราะมองว่ายังมีจำนวนผู้บริโภคอีกหลากหลายที่ยังไม่นิยมดูหนังในโรงภาพยนตร์ ผ่านยุทธศาสตร์ที่กล่าวมา เชื่อว่าอย่างน้อยในแง่จำนวนคนดูหนังกลุ่มเดิม จากปกติเฉลี่ยเข้าดูเดือนละ 2 เรื่อง น่าจะเพิ่มเป็น 2.5 เรื่องได้ หรือทั้งปีน่าจะมีจำนวนบัตรเข้าชมได้มากกว่า 30 ล้านใบจากปีก่อน รวมทั้งช่วยผลักดันรายได้ให้เติบโตขึ้นอีกอย่างน้อย 10-15%

อย่างไรก็ตาม นายอนวัช กล่าวถึง เรื่องของการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วยว่า ปีนี้ทางบริษัทฯจะมีการเจรจากับทางช่องทางโฮมวิดีโอในการส่งหนังสุ่ระบบการเช่าจากเดิม 1 เดือน มาเป็น 3 เดือน ซึ่งวิธีการนี้จะช่วยให้ช่องทางขายโฮมวิดีโอดีขึ้น จากเดิมที่หนังออกโรงไม่ถึงเดือนก็เข้าช่องทางโฮม พวกละเมิดจะก๊อปในโรง ภาพจะไม่ชัด จึงหันมาก็อปจากแผ่นแท้ที่ตามมาไม่ถึงเดือนจากช่องทางโฮม ดังนั้นหากเวลาหนังใหม่มาสู่ช่องทางโฮมห่างจากโรงประมาณ 3 เดือน น่าจะช่วยให้โฮมวิดีโอเติบโตได้   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us