เอเชียประกันภัย' เปิดแผนหลังร่วมทุน DEG จากกลุ่ม KfW ธนาคารยักษ์ในเยอรมนี โดย DEG ถือหุ้น 24% พร้อมอัดฉีดเงินเพิ่มทุนเป็น 199 ล้าน ตั้งเป้าเบี้ยฯรวมที่ 1,600 ล้าน ติด TOP 10 ภายใน 5 ปี และเข้าตลาดฯในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
นายจุลพยัพ ศรีกาญจนา ประธานบริหาร บริษัทเอเชียประกันภัย 1950 จำกัด เปิดเผยว่า จากในช่วงปลายปี 2551 ที่ผ่านมา บริษัทได้บรรลุในข้อตกลงกับธนาคาร DEG-KfW ของประเทศสาธารณรัฐเยอรมนีกรณีการเข้าร่วมลงทุนในบริษัท โดยธนาคาร DEG-KfW จะถือหุ้นของบริษัทเอเชียประกันภัย 1950 ในสัดส่วน 24% ซึ่งบริษัทได้รับชำระค่าหุ้นดังกล่าว แล้วตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2551 และขณะนี้อยู่ระหว่างการทำแผนการดำเนินงานเพื่อให้ผู้ร่วมทุนพิจารณาร่วมกัน คาดว่าจะดำเนินการได้เสร็จภายในต้นเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ และจากการร่วมทุนดังกล่าวทำให้บริษัทได้เพิ่มทุนจากเดิม 150 ล้านบาท เป็น 199 ล้านบาท
ทั้งนี้ การร่วมทุนดังกล่าวมีเงื่อนไขหลักว่า ทางธนาคาร DEG ไม่ต้องการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ รวมทั้งไม่ได้ต้องการมีส่วนในการบริหารงาน แต่จะส่งผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์บริหารธุรกิจประกันภัยมาร่วมวางแผนงาน ดูแล ระบบงาน ควบคุมการรั่วไหล วินัยทางการเงิน และงานด้านการตลาด โดยเฉพาะสินไหมทดแทน รถยนต์ที่ต้องการทั้งความรวดเร็ว ถูกต้อง และไม่ทุจริต
'เราได้รับการติดต่อว่ามีธนาคารในสหภาพ ยุโรปสนใจจะเข้าร่วมมาตั้งแต่กลางปีก่อน คือ ธนาคาร DEG ซึ่งเป็นสถาบันการเงินในกลุ่ม KfW ที่ถือว่ามีความแข็งแกร่งมากในเยอรมนี จึงได้มีการหารือ ทำ Due Diligence และตกลงเซ็นเอ็มโอยู จ่ายเงินกันเมื่อปลายปีก่อน โดยในตอนแรกทาง DEG ต้องการจะถือหุ้น 30% แต่ติดขัดทางการกฎหมาย ก็เลยต้องลดลงมาเหลือ 24% และที่สำคัญอีกเรื่องก็คือเป็นการเข้ามาถือเพื่อการลงทุน ไม่ต้องการอำนาจบริหาร ซึ่งก็คิดว่าน่าจะมีผลตอบแทนจากการลงทุนครั้งนี้ประมาณ 10%'
สำหรับแผนงานปีนี้บริษัทตั้งเป้าเบี้ยประกัน รวมที่ 1,600 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเบี้ยประกันมอเตอร์ 90% เป็นเบี้ยประกันจากผลิตภัณฑ์กลุ่มพลัสประมาณ 50% และที่เหลืออีก 10% เป็นกลุ่มนอน-มอเตอร์ นอกจากนี้ บริษัทยัง ตั้งเป้าที่จะติดในอันดับ TOP 10 ของบริษัทเป็นบริษัทประกันภัยภายใน 5 ปี ซึ่งประเมินว่า จะต้องมียอดเบี้ยประกันรวมประมาณ 3,000 ล้านบาท
ส่วนในปี 2551 ที่ผ่านมา บริษัทมีเบี้ยประกันรวม 1,200 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 1,400 ล้านบาท
'จากการที่บริษัทได้ดำเนินการเพิ่มทุนไปแล้วในช่วงปลายปี จึงทำให้สามารถรองรับยอดเบี้ยประกันของบริษัทได้ถึง 2,000 ล้านบาท และหากมีอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันเพิ่มขึ้น ทางผู้ร่วมทุนใหม่และผู้ถือหุ้นเดิมก็พร้อมที่จะสนับสนุนด้านเงินทุนอยู่แล้ว เพื่อให้เป็นไปตามแผนงานที่ได้วางไว้อย่างคร่าวๆ และในอีก 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทก็จะเริ่มกระบวนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯหรือตลาดเอ็มเอไอ เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนรองรับการขยายงานอีกทางหนึ่งด้วย'
|