|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ตลาดหุ้นไทยเงียบเหงาสุดๆ รับเทศกาลตรุษจีน มูลค่าการซื้อขายตลอดทั้งวันแค่ 2.3 พันล้านบาท ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 6 ปี ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ แนะฉวยจังหวะเลือกซื้อหุ้นพื้นฐานดีจะให้ผลตอบแทน 2 เดือน ทั้งส่วนต่างราคาหุ้น-เงินปันผลสูง หลังผลสำรวจผลงานบจ.ไตรมาส 4/51 บริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ยังมีกำไรที่ดีพร้อมจ่ายเงินปันผล
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (26 ม.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวอยู่ในกรอบแคบๆ เหนือราคาปิดครั้งก่อน ท่ามกลางปริมาณการซื้อขายที่มีเข้ามาอย่างเงียบเหงา เนื่องจากเทศกาลวันหยุดตรุษจีน บวกกับตลาดหุ้นในภูมิภาคหลายแห่งปิดทำการ โดยปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 437.77 จุด ต่ำสุด 434.70 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 436.73 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่น 3.21 จุด หรือ 0.74% มูลค่าการซื้อขายรวม 2,339.79 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิ 78.03 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 110.11 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 32.08 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าการซื้อขายรวมตลอดทั้งวันที่ 2,339.79 ล้านบาท นับเป็นมูลค่าการซื้อขายต่ำสุดในรอบเกือบ 6 ปี จากวันที่ 31 มกราคม 2546 ที่มีมูลค่าการซื้อขายรวม 2,487.24 ล้านบาท
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการกลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการติดตามผลการดำเนินงานไตรมาส 4/51 ของบริษัทจดทะเบียน พบบจ.ขนาดใหญ่ที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) มากกว่า 5,000 ล้านบาทขึ้นมีผลประกอบการที่ดี จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานต่ำ และมีจำนวนกว่า 20-30 บริษัทที่จ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูง
“ในอดีตบริษัทขนาดใหญ่จะให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลเพียง 2-3% ขณะที่บริษัทขนาดเล็กจะให้ผลอตอบแทนที่สูงกว่าบริษัทขนาด แต่นักลงทุนเข้าไปลงทุนในบริษัทขนาดเล็กไม่ได้จากหุ้นมีการซื้อขายน้อย ดังนั้นช่วงนี้จึงถือเป็นโอกาสดีที่จะเข้าไปลงทุน เพราะนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนสูงเป็น 2 เท่า จากราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาแล้วกว่า 30-50% บวกกับเงินปันผลที่จะได้รับ โดยกลุ่มที่น่าสนใจคือ กลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม โรงพยาบาล โรงไฟฟ้า และสื่อสิ่งพิมพ์บางฉบับ เป็นต้น”
สำหรับประเด็นอุปสรรและปัญหาในการนำบริษัทเอกชนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น นายชนิตร กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้หารือกับชมรมวาณิชธนกิจและบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินกว่า 40 แห่ง ซึ่งคาดว่าสมาคมวาณิชธนกิจจะนำเสนอปัญหาต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในสัปดาห์นี้ ก่อนที่จะนำเสนอให้คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ พิจารณาในการประชุมเดือนกุมภาพันธ์ 2552 เพื่อให้ขั้นตอนการจดทะเบียนรวดเร็วขึ้น
“ตลาดหุ้นซบเซาส่งผลให้ไม่มีเอกชนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ นานถึง 6 เดือน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2551 ซึ่งถือเป็นเวลานานที่สุดที่ไม่มีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนตั้งแต่ปี 2540 แม้จะมีบริษัทที่ได้รับอนุมัติไฟลิ่งแล้วรอจังหวะที่จะเสนอขายหุ้นถึง 14 บริษัท และบริษัทที่อยู่ระหว่างรออนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อีก 11 บริษัท ซึ่งต่างจากในช่วงวิกฤตที่ไม่มีบริษัทยื่นไฟลิ่งที่จะเข้าจดทะเบียน”
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พยายามสร้างความสัมพันธ์และเป็นพันธมิตรกับกลุ่มประเทศแถบอินโดจีน ซึ่งมีบริษัทจำนวน 80 แห่ง ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่จะนำเข้าจดทะเบียน ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบจ.ไทย บริษัทไทยร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติ และบริษัทต่างชาติ โดยคาดว่าไตรมาส4/52 จะมีบริษัทบริษัทย่อยของไทยที่ไปร่วมทุนในการสร้างเขื่อนที่ประเทศลาวเข้าจดทะเบียนได้
“ในไตรมาส 1/52 คาดจะมีบริษัทที่ได้รับการอนุมัติไฟลิ่งรวม 25 บริษัท มาร์เกตแคปรวม 4 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันที่ได้รับการอนุมัติแล้ว 14 บริษัท และอยู่ระหว่างการพิจารณาอีก 11 บริษัท รวมทั้งได้มีบริษัทที่ยื่นของสิทธิประโยชน์ภาษีตั้งแต่ปี 50 จากเดิมที่จะเข้าจดทะเบียนปี 51 จำนวน 30 บริษัท และเลื่อนที่จะเข้ามาจดทะเบียนปีนี้คาดว่าจะยื่นไฟลิ่ง นอกจากนี้ยังมีบริษัทใหม่ที่จะยื่นจองสิทธิทางภาษีเพิ่มอีก 30 บริษัท และคาดว่าจะยื่นไฟลิ่งได้ประมาณ 15 บาท ส่งผลให้ยอดรมของบริษัทที่ได้รับอนุมัติไฟลิ่งรวม 70 บริษัท มาร์เกตแคปรวม 2.7 แสนล้านบาท แต่จะเข้าจดทะเบียนได้จำนวนเท่าใดต้องขึ้นอยู่กับภาวะตลาดหุ้น จากเป้าของตลาดตั้งไว้ที่ 45 บริษัท”
นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ค่อนข้างเงียบเหงา เนื่องจากเป็นวันหยุดเทศกาลตรุษจีน ทำให้มีตลาดหุ้นของประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน จีน ปิดทำการ ขณะที่ปัจจัยในประเทศไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเป็นพิเศษ โดยนักลงทุนต่างรอดูผลงานรัฐบาล หลังจากได้ประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเรียบร้อยแล้ว
“แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้คงจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ โดยนักลงทุนต้องติดตามตลาดหุ้นดาวโจนส์ของสหรัฐฯ ราคาน้ำมันโลก และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไทยที่ทยอยประกาศออกมา ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนควรชะลอการลงทุน เพื่อรอดูสถานการณ์ ประเมินแนวรับที่ 430 จุด และแนวต้าน 440 จุด”
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ SYRUS กล่าวว่า วานนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยค่อนข้างซบเซาสอดคล้องกับการปิดทำการซื้อขายของตลาดหุ้นต่างประเทศบางแห่ง และสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ขณะที่แนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังคงจะแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ โดยนักลงทุนควรติดตามราคาน้ำมันโลกที่อาจเป็นแรงหนุนดัชนีตลาดหุ้นไทย เพราะหุ้นกลุ่มพลังงานมูลค่าค่อนข้างใหญ่ในตลาด ตลอดจนทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ ดังนั้นนักลงทุนควรจะชะลอการลงทุนเพื่อรอจังหวะที่เหมาะสม ให้แนวรับที่ 430 จุด แนวต้านที่ 440 จุด
ด้านนางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ จำกัด กล่าวว่า จากการที่ตลาดในภูมิภาคเอเชียหลายแห่งปิดทำการบวกกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังไม่กระเตื้องส่งผลปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยค่อนข้างเบาบาง โดยมีวอลุ่มตลอดวันประมาณ 2 พันกว่าล้านบาท ส่วนแนวโน้มภาวะตลาดหุ้นไทยจะยังคงตกอยู่ในความเงียบเหงา นักลงทุนควรชะลอลงทุนเพื่อถือเงินสด ประเมินแนวรรับไว้ที่ 427-430 จุด และแนวต้านที่ 440-445 จุด
|
|
|
|
|