|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บลจ.เชื่อภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่พุ่งเป้าอัดเจ้าสัว-กระตุ้นการลงทุนบนที่ดินทิ้งร้าง มากกว่ารายย่อยและกองทุนอสังหาริมทรัพย์"พิชิต"เล็งต่อรองขอยกเว้นสำหรับกองอสังหาฯที่มีรายย่อยเป็นหลัก หลังมีรายละเอียดชัดเจนมากขึ้น ด้านผู้จัดการกองทุนหวั่น พ.ร.บ.ฉบับใหม่ขาดความชัดเจน แยกประเภทประเมิณสิ่งปลูกสร้างไม่ตรงตามความเป็นจริง
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) เอ็ม เอฟซี จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า กระแสการนำพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาใช้ทดแทน พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดินฉบับเดิม น่าจะเป็นความต้องการของรัฐบาลในการลดความเลื่อมล้ำของการกระจายได้ในประเทศ โดยมีเจตนาในการเก็บภาษีจากเจ้าของสิ่งปลูกสร้าง หรือเจ้าของที่ดินที่ไม่ได้ใช่ประโยชน์มากกว่า
อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.นี้นับเป็นเรื่องใหม่ของประเทศไทย ส่วนจะมีผลกระทบต่อกองทุนอสังหาริมทรัพย์หรือไม่คงต้องติดตามหลังจากนี้เพราะยังไม่แน่นอนว่าจะมีการบังคับใช้ หรือมีหลักเกณฑ์อย่างไรบ้าง โดยเชื่อว่าเบื้องต้นน่าจะมีเจตนาในการเก็บภาษีกับรายใหญ่มากว่า ส่วนการลงทุนรายย่อยเองก็ควรที่จะได้รับการยกเว้น
ทั้งนี้ หากในอนาคตมีความชัดเจนมากขึ้น อาจต้องมีการหารือกับทางรัฐบาลอีกครั้ง เพื่อลงรายละเอียดว่าสัดส่วนในการเสียภาษีจะเป็นในรูปใด เนื่องจากปัจจุบันกองทุนอสังหาริมทรัพย์เองต้องมีการเสียภาษีโรงเรือนอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นผู้ให้เช่าที่จะต้องจ่ายภาษีในส่วนของรายได้จากการเช่า
ด้าน นายสุทธิพงศ์ พัวพันธ์ประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ-ฝ่ายจัดการกองทุนผู้จัดการกองทุนอสังหาริมทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) บัวหลวง จำกัด กล่าวว่า พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่คาดว่าจะนำมาใช้แทน พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน ซึ่งกำลังมีการผลักดันอยู่ในขณะนี้ นับเป็นแนวทางที่ดีและจะทำให้การจัดเก็บภาษีของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นไปอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น หลังจากที่เดิมที่จะต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้ประเมินแต่ละรายเป็นหลัก
“เดิมแล้วภาษีโรงเรียนที่คิดอัตรามันจะแพงมากคือประมาณ 12.5% ต่อปี แบบนี้ค่าใช้จ่ายมันสูงจนอยู่กันไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาต้องมีการทำสัญญา2-3ตัวเพื่อให้ภาษีน้อยลง และอีกอย่างพ.ร.บ.ฉบับเดิมก็เก่ามากเป็นเวลาหลายสิบปีแล้วเพราะออกมาตั้งแต่ 2475”นายสุทธิพงศ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม การออกพ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวในช่วงเวลานี้ มองว่ายังไม่เหมาะสมเท่าไร เพราะเท่ากับเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยที่กำลังเข้าสู่ภาวะทดถอย โดยจะส่งผลต่อความรูสึกของนักลงทุนและผู้ประกอบการในด้านลบจากการจัดเก็บภาษีในรูปแบบใหม่
นอกจากนี้ การออกพ.ร.บ.ฉบับนี้อาจส่งผลกระทบต่อชาวบ้านได้เช่นกัน โดยตามหลักการที่ทราบถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ถ้าจะนำมาเสริมรายได้ในส่วนที่ขาดไปหลังจากออกจากมาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือธุรกิจขายบ้านแล้วคงจะไม่เหมาะสมเท่าไรนัก
นายสุทธิพงศ์ กล่าวอีกว่า ปัญหาที่จะเกิดขึ้นหลังจากการออกพ.ร.บ.ฉบับนี้คือ การประเมินมูลค่าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งหากไม่มีความชัดเจนแล้วจะทำให้เกิดปัญหาได้ในภายหลัง โดยในส่วนของเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ และคอนโดมิเนียมยังมีความแตกต่างกันในเรื่องของรายละเอียดทั้ง เฟอร์นเจอร์และสิ่งตกแต่งรวมถึงเครื่องอำนวยความสะดวก หากจะนำมาพิจารณาบนพื้นฐานเดียวกันคงจะไม่เหมาะสม
นอกจากนี้ หากเป็นอาคารหรือศูนย์การค้าที่มีการให้เช่าพื้นที่แบบรายปีแล้ว จะทำให้ภาษีมีความไม่สมดุ หรือผู้ประกอบการมีต้นทุนเพิ่มขึ้นได้ จาการเสียภาษีที่มีการประเมินแบบรายปี
“ถ้าเป็นการเช่าแบบรายปี จะได้รับผลกระทบค่อนข้างเยอะ เพราถ้าเป็นพื้นที่ศูยน์การค้าเมื่อมีการปรับผู้เช่า หรือเพิ่มราคาในกรณีที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนแผนการใช้พื้นที่ภายในให้ได้ผลประโยชน์มากที่สุด ก็อาจทำให้ราคาที่ปรับขึ้น ต้องนำมาประเมินเป็นรายปีอีกครั้งในส่วนของมูลค่า”นายสุทธิพงศ์กล่าว
นายสุทธิพงศ์ กล่าวอีกว่า การออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ หากมีการบังคับใช้พ.ร.บ.ฉบับนี้จริง คงจะไม่มีผลกระทบ แต่น่าจะกระทบต่อผลตอบแทนมากว่า ซึ่งอัตราภาษีเดิมแต่ละปีจะเสียไม่เกิน 10% แต่เมื่อมีพ.ร.บ.ฉบับนี้อาจต้องมีภาระเพิ่มมากขึ้น โดยทางผู้จัดการกองทุนเองชอบความชัดเจนในการจัดเก็บภาษีอยู่แล้ว แต่เกณฑ์ที่จะนำมาประเมินต้องชัดเจนด้วยถึงจะเป็นผลดี
ขณะที่ นายนกุล ไชยนิล ผู้จัดการกองทุนอสังหาริมทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) บีที จำกัด กล่าวว่า กองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านมาต้องเสียภาษีโรงเรียนอยู่แล้ว และการออกพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคงจะไม่กระทบต่อกองทุนประเภทนี้ เนื่องจากกองทุนจะลงทุนในที่ดินเปล่าไม่ได้ แต่จะต้องลงทุนเพื่อให้เกิดผลตอบแทนตามที่ก.ล.ต.กำหนด
นอกจากนี้ การออกพ.ร.บ.ฉบับนี้น่าจะมีจุดประสงค์ในการกระตุ้นการลงทุนและมีผลกระทบต่อคนรวยมากกว่า เพราะปัจจุบันที่ว่างเปล่านั้นมีมากโดยเฉพาะในแถบชายทะเล
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตจะต้องดูรายละเอียดในการจัดเก็บภาษีอีกครั้งว่าจะมีผลกระทบหรือไม่ เนื่องจากขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนในส่วนนี้
|
|
|
|
|