Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน25 สิงหาคม 2546
โอนหนีเน่า5ปีผลดี ธุรกิจ-อุตฯดันศก.             
 


   
search resources

บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย
บรรษัทบริหารสินทรัพย์ - บบส.
พัฒเดช ธรรมจารีย์




ที่ปรึกษาขุนคลังชี้หากโอนหนี้เน่า-สินทรัพย์เน่าของแบงก์พาณิชย์เอกชนที่เหลืออีกเกือบ 8 แสนล้านบาทให้ บสท.-บบส. บริหารต่อเนื่อง เชื่อภายใน 3-5 ปี หนี้เน่าเหล่านี้จะลดลงและไม่เกิดปัญหาย้อนกลับอีก รวมทั้งจะส่งผลต่อให้สามารถดึงสภาพคล่องที่ล้นระบบตลาดเงินไทยขณะนี้ ใช้ขยายการ ลงทุนใหม่ กระตุ้นเศรษฐกิจไทยขยายต่อเนื่องมีเสถียรภาพ ยันถึงเวลาที่ไทยต้อง ใช้การลงทุนธุรกิจ-อุตสาหกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจไทยขยายตัวยั่งยืน-ต่อเนื่อง

นายพัฒเดช ธรรมจารีย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีคลัง เปิดเผยการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูธุรกิจเอกชนว่า หากประเทศไทยแก้ไขปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็น พีแอล) และสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีเอ) ภาคธนาคารจริงจัง โดยให้บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย(บสท.) หรือบรรษัทบริหารสินทรัพย์ (บบส.) ที่มีอยู่ปัจจุบัน ซึ่งเชี่ยวชาญในการบริหารหนี้และสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ บริหารเอ็นพีแอลและเอ็นพีเอต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น จะส่งผลให้ระยะปานกลาง 3-5 ปีข้างหน้า ถึงระยะยาวภายในอีก 5-10 ปีข้างหน้า เอ็นพีแอลและเอ็นพีเอในระบบ จะลดลง ไม่ทำให้เป็นปัญหาอีก

"ภาคเอกชนจะได้ประโยชน์จากการปรับโครงสร้างหนี้อย่างมีประสิทธิภาพจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเมื่อปัญหาหนี้เสียลดลง แบงก์ก็จะปล่อยสินเชื่อเพื่อขยายการลงทุนใหม่ได้มากขึ้น ดังนั้น หนี้เสียที่ฟื้นฟูได้ ต้องมีการปรับโครงสร้าง ถ้าไม่ปรับต้องขายทอดตลาด ซึ่งถ้าทำได้จะทำให้การลงทุนสามารถขยายตัวมากขึ้น มีการจ้างงานมากขึ้น ระบบเศรษฐกิจก็จะโตขึ้น" นายพัฒเดชกล่าว

ใช้สภาพคล่องที่ล้นลงทุนทั้งรัฐ-เอกชน

สำหรับสภาพคล่องที่ล้นระบบตลาดเงินไทยอยู่มากปัจจุบัน นายพัฒเดชกล่าวว่า ประเทศไทยสามารถดึงสภาพคล่องส่วนล้นใช้ได้ โดยใช้เพื่อการลงทุน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนโครงการทุนทางสังคมต่างๆ อาทิ ลงทุนการศึกษา ลงทุนสวัสดิการสังคม หรือลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ถนน ไฟฟ้า ประปา ฯลฯ ซึ่งเครื่องมือสำคัญดึงสภาพคล่องเหล่านี้ออกมาใช้มีหลายทาง

"เช่น กองทุนวายุภักษ์ ที่จะขายหน่วยลงทุนให้กับประชาชน และนำเงินที่ได้จากการขายหน่วยลงทุน มาซื้อหุ้นในรัฐวิสาหกิจ จากนั้นรัฐวิสาหกิจจะนำเงินที่ได้มา ไปลงทุนใหม่ต่อไป" นายพัฒเดชกล่าว

ถึงเวลาใช้การลงทุนขยายเศรษฐกิจ

เขาย้ำว่า หากสามารถแก้ปัญหาเอ็นพีแอลและเอ็นพีเอที่ยังสูงเกือบ 8 แสนล้านบาทได้ ระบบการเงินเอกชนจะสามารถทำหน้าที่เต็มที่ ดังนั้นหากต้องการให้ประเทศฟื้นตัวเศรษฐกิจยั่งยืนระยะยาว จะต้องปรับโครงสร้างการเงินอย่างเหมาะสม เพื่อให้ระบบสถาบันการเงิน สนับสนุนการขยายตัวเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ที่ผ่านมา ประเทศไทยใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยพึ่งการส่งออกและการบริโภคในประเทศ 2 ปีแล้ว การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยปัจจัยดังกล่าว ไม่สามารถทำได้ต่อเนื่องตลอดไป ถึงเวลาแล้วที่ประเทศต้องเพิ่มการขยายการลงทุนภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรม

ขณะนี้ การลงทุนในไทยเพียงประมาณ14-15% ของการเติบโตเศรษฐกิจ (จีดีพี) เท่านั้น ขณะที่ช่วงก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 การลงทุนสูงถึง 30% ของจีดีพี ซึ่งถือว่าต่ำมากในช่วงผลัดเปลี่ยน ยังมีอัตราขยายตัวต่ำเกินกว่าจะเป็นแรงส่งขับเคลื่อนการขยายตัวเศรษฐกิจไทยให้เติบโตยั่งยืนได้

ส่วนการปรับโครงสร้างหนี้ซึ่งมี 3 กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มแรก ปรับโครงสร้างหนี้เสร็จแล้ว อยู่ระหว่างผ่อนชำระ มูลหนี้เดิมรวม 1.57 แสนล้านบาท ณ มี.ค. ลดเหลือ 38,898 ล้านบาท ลดจาก ธ.ค. 2545 ถึง 11,479 ล้านบาท

หนี้เน่าเพิ่ม 2.3 หมื่นล้าน

กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่อยู่ระหว่างเจรจา ณ ธ.ค. 2545 มูลหนี้ 287,880 ล้านบาท ขณะที่ มี.ค. 2546 เพิ่มเป็น 311,135 ล้านบาท แบ่งเป็น กลุ่มธนาคาร พาณิชย์รัฐ เพิ่มขึ้นจาก 71,166 ล้านบาท เป็น 75,370 ล้านบาท กลุ่มธนาคารพาณิชย์เอกชน เพิ่มขึ้นจาก 185,263 ล้านบาท เป็น 211,927 ล้านบาท

กลุ่มที่ 3 กลุ่มหนี้เน่าที่อยู่ระหว่างดำเนินคดีและบังคับคดี ณ เม.ย.- ก.ค. 2546 เจ้าหนี้ทยอย ส่งรายชื่อลูกหนี้ที่จะเจรจาด้วยมาแล้ว 2,217 ราย มูลหนี้ 18,507 ล้านบาท ลูกหนี้ตอบเจรจาด้วย 417 ราย มูลหนี้ 5,758 ล้านบาท โดย 417 รายนี้ ภาย ใน 4 เดือน เจรจามีข้อยุติแล้ว 139 ราย มูลหนี้ 1,017 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวคิดจะออกกฎหมายโอนหนี้และสินทรัพย์เน่าระบบสถาบันการเงินไทยทั้งระบบประมาณ 7.7 แสนล้านบาท ไว้ในสถาบันบริหารสินทรัพย์หนึ่ง แต่ยังไม่ระบุชัดว่าเป็นบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) และบรรษัทบริหารสินทรัพย์ (บบส.) หรือไม่ ซึ่งกรณีจะโอนมา บสท. ต้องแก้กฎหมาย เนื่องจากกฎหมาย บสท.ระบุว่า จะบริหารเฉพาะหนี้ที่โอนมา ณ ธ.ค. 2543 เท่านั้น หลังจากนั้น จะต้องผ่านกระบวนการแก้ไขกฎหมาย และขอความเห็นชอบจากสภาก่อน

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us