“วิทยา” ไม่หวั่นแรงต้าน เดินหน้าตั้งคณะทำงานศึกษาข้อมูลคุ้มครองผู้ประสบภัยทางรถ หวังคนไทยเข้าถึงการรักษามากขึ้น สวรส.เผยผลวิจัย 4 ปี บริษัทประกันวินาศภัยฟันกำไรจากเบี้ยภาคบังคับกว่า 3 พันล้าน ชี้รื้อระบบใหม่ไม่กระทบธุรกิจ เสนอ 3 ทางเลือก ลดเบี้ยประกันฯ แก้ไขพ.ร.บ.ใหม่ หรือยกเลิก พ.ร.บ.ขยายสิทธิประโยชน์บัตรทองหรือเก็บภาษีน้ำมันเพิ่ม หมอชนบทเชียร์รัฐมนตรีเอาจริง
นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีที่มีแนวคิดในการปรับปรุงระบบการบริหารจัดการเงินกองทุนคุ้มครองผู้ประสบภัยทางรถให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หรือหน่วยงานอื่นที่มีความเหมาะสมเป็นผู้บริหารจัดการแทนบริษัทประกันภัยนั้นว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้สธ.ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อศึกษาและรวบรวมตัวเลขผู้ประสบภัยจากรถทั่วประเทศว่ามีจำนวนเท่าไร หากเกิดอุบัติเหตุจะมีขั้นตอนอุปสรรคปัญหาอย่างไร มีการเก็บเบี้ยประกันและค่ารักษาพยาบาลมากน้อยเท่าไหร่ รวมถึงเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียในระบบการให้บริการ โดยไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลา ซึ่งจะประสานข้อมูลจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข(สวรส.) ซึ่งได้ทำการวิจัยไว้แล้วมาประกอบการพิจารณา โดยหลังจากได้ข้อสรุป จะหารือร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต่อไป
“ที่ผ่านมาได้รับการร้องเรียนจากประชาชนบ่อยมาก โดยเฉพาะการรักษาพยาบาลที่ได้รับสิทธิคุ้มครองจากบริษัทประกันฯ ในช่วงแรกเมื่อรักษาหมดวงเงินประกันฯ ก็ต้องกลับเข้ามารักษาตามสิทธิของแต่ละบุคคลซึ่งถือว่าไม่ได้รับการดูแลจากพ.ร.บ.เต็มที่ ทั้งนี้ การเดินหน้าดำเนินการเรื่องนี้นั้น ไม่เป็นห่วงการต่อต้าน หรือคัดค้าน จากบริษัทประกันภัย หากได้ทำเรื่องที่เป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนให้ได้เข้าถึงการรักษามากยิ่งขึ้น”นายวิทยากล่าว
4 ปี บ.ประกันฟาดกำไร 3.3 พันล.
ด้าน นพ.พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข(สวรส.) กล่าวว่า จากรายการศึกษา เรื่อง “พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถในบริบทของการประกันสุขภาพถ้วนหน้า”ของ นพ.ดร.วิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียรและคณะเมื่อปี 2548 ภายใต้การสนับสนุนจาก สปสช.และสวรส. พบว่า จำนวนผู้ป่วยมารับการรักษาจากห้องฉุกเฉินที่สถานพยาบาลต่างๆ ประมาณ 12 ล้านครั้งต่อปี ประมาณการผู้ป่วยจากอุบัติเหตุการจราจร 1.2 ล้านครั้ง เป็นผู้ป่วยนอกจากอุบัติเหตุการจราจร 9 แสนครั้ง และผู้ป่วยในจากอุบัติเหตุการจราจร 3 แสนครั้ง
ทั้งนี้ ประมาณการค่าใช้จ่ายทั้งหมดเนื่องจากอุบัติเหตุจราจร ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ 7,158 ล้านบาท แบ่งเป็น 5 ประเภท ได้แก่ 1.ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอกจากอุบัติเหตุการจราจร 369 ล้านบาท คิดเป็น 5 % 2.ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยในจากอุบัติเหตุ 4,518 ล้านบาท คิดเป็น 63 % 3.ค่าสินไหมทดแทนกรณีเสียชีวิต 1,050 ล้านบาท หรือ 15 % 4.ค่าสินไหมทดแทนกรณีทุพพลภาพ 105 ล้านบาท คิดเป็น 1 %และ5.ค่าใช้จ่ายก่อนนำส่งโรงพยาบาล 1,116 ล้านบาท หรือ 16 %
นพ.พงษ์พิสุทธิ์ กล่าวด้วยว่า ผลประกอบการตามพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถของบริษัทประกันวินาศภัยในปี 2545 พบ เบี้ยประกันภัยรับที่ถือเป็นรายได้ 7,003 ล้านบาท ค่าสินไหมทดแทนที่เกิดขึ้นระหว่างปี 3,674 คิดเป็น 52 % ค่าใช้จ่ายต่างๆในการบริหารจัดการ 2,870 ล้านบาท หรือ 41 % กำไร 459 ล้านบาท คิดเป็น 7 % ส่วนผลกำไรสะสมในพ.ศ.2542-2545 มีจำนวน 3,300 ล้านบาท เมื่อวิเคราะห์ระบบประกันทั้งหมดในปี 2546 ซึ่งรวมเบี้ยประกันชีวิตและประกันวินาศภัย พบว่า เบี้ยรับทั้งหมด 204,514 ล้านบาท แบ่งเป็น เบี้ยประกันภัยรับจาก พ.ร.บ.นี้ คิดเป็นเพียง 4 % ประกันชีวิต 66 % ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ 16 % และประกันภัยอื่น 14 %
“งานวิจัยนี้ระบุว่าพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งเป็นการประกันภัยภาคบังคับมีหลักไม่กำไร ไม่ขาดทุน แต่ผลกำไรของบริษัทประกันวินาศภัยที่ได้จากประกันภัยประเภทนี้กลับมีสูงถึง 3.3 พันล้านบาทใน 4 ปี บวกกับปัจจุบันคนไทยมีหลักประกันสุขภาพทุกคน พ.ร.บ.นี้ไม่น่าจะมีความจำเป็นอีกต่อไป จึงต้องพิจารณาทางเลือกในการปรับปรุงระบบเพื่อให้คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถทุกคน ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีประกัน” นพ.พงษ์พิสุทธิ์กล่าว
สวรส.เสนอ 3 ทางเลือก
นพ.พงษ์พิสุทธิ์ กล่าวด้วยว่า ในการปรับระบบนี้มี 3 ทางเลือกหลักตามแหล่งเงินของการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ได้แก่ 1. เบี้ยประกันจากเจ้าของรถตามพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับอนุรักษ์นิยม ทำได้โดยการปรับลดเบี้ยประกันให้มีความเหมาะสม ซึ่งเบี้ยประกันปัจจุบันสามารถลดลงได้ไม่น้อยกว่า 35 % รวมทั้งปรับประสิทธิภาพของการบริหารเพื่อให้การคุ้มครองรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ค่าใช้จ่ายการบริหารต้องไม่เกิน 10 % และปรับประสิทธิภาพการจ่ายสินไหมทดแทนแก่ผู้ประสบภัยที่เกิดจากรถที่ไม่มีประกันด้วย
“ระดับปฏิรูปเล็กน้อย โดยการแก้ไขพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถให้บริษัทประกันวินาศภัยจัดเก็บเบี้ยประกัน และระดับปฏิรูปใหญ่ แก้ไขพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ โดยมอบหมายให้กรมการขนส่งเป็นผู้จัดเก็บเบี้ยประกันพร้อมกับการต่อทะเบียนรถยนต์ โดยทั้ง 2 แบบ จะต้องส่งเบี้ยประกันที่จัดเก็บได้หลังหักค่าใช้จ่ายส่งให้สปสช.ดำเนินการจ่ายทดแทนผู้ประสบภัยทุกคน โดยให้สปสช.บริการรายจ่ายกรณีค่ารักษาพยาบาล ส่วนกรณีทุพพลภาพและตายอาจมอบหมายให้สำนักงานประกันสังคม(สปส.)ดำเนินการ” นพ.พงษ์พิสุทธิ์ กล่าว
นพ.พงษ์พิสุทธิ์ กล่าวอีกว่า 2.ใช้ภาษีทั่วไป โดยการยกเลิกพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ แล้วขยายอัตราเหมาจ่ายรายหัวในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือบัตรทองให้ครอบคลุมรายจ่ายกรณีอุบัติภัยจากรถ ส่วนกรณีผู้ประสบภัยจากรถอยู่ในสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการหรือประกันสังคมให้ครอบคลุมในส่วนนั้น ตามเงื่อนไขกรมบัญชีกลางและสปส.
และ3.ใช้ภาษีน้ำมันเชื้อเพลิง โดยยกเลิกพ.ร.บ.นี้ แล้วเก็บภาษีน้ำมัน โดยเก็บจากน้ำมันออกเทน 95 สูงกว่าน้ำมันชนิดอื่น ภาษีที่เก็บได้นำส่งสปสช.ให้สปสช.บริการรายจ่ายกรณีค่ารักษาพยาบาล ส่วนกรณีทุพพลภาพและตายอาจมอบหมายให้สำนักงานประกันสังคม(สปส.) ดำเนินการ ซึ่งทางเลือกที่นักวิชาการส่วนใหญ่สนับสนุนมากที่สุดเป็นทางเลือกที่1ในส่วนของการปฏิรูปใหญ่ เนื่องจากจะทำให้ต้นทุนการบริหารจัดเก็บต่ำ ไม่มีรายจ่ายค่าการตลาด ค่าบริการจัดการไม่สูง เพราะสปสช.และสปส.มีระบบพร้อมในการดำเนินงาน ส่วนการเก็บภาษีน้ำมันในภาวการณ์เช่นนี้ไม่มีความเหมาะสม
“หากรัฐมนตรีสนใจที่จะนำการศึกษาเรื่องนี้ไปใช้ประกอบในการพิจารณาก็พร้อมเข้าให้รายละเอียด และเป็นธรรมดาที่เมื่อมีการเปลี่ยนระบบจะเกิดการคัดค้านจากผู้ได้ประโยชน์เดิม แต่ส่วนตัวเห็นว่าเป็นนโยบายที่จะทำให้เกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างมาก หากรัฐบาลทำได้จะเป็นการแสดงถึงภาวะผู้นำของผู้บริหารประเทศ ที่สำคัญจะไม่กระทบกับธุรกิจประกันภัย เพราะไม่ใช่รายได้หลักของบริษัทเหล่านี้”นพ.พงษ์พิสุทธิ์กล่าว
หมอชนบทเชียร์ "วิทยา"
ขณะที่ นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท กล่าวว่า ขอสนับสนุนนายวิทยา ในการปรับการบริหารกองทุนผู้ประสบอุบัติภัยจากรถ เพราะทุกวันนี้บริษัทประกันภัยได้เงินไปปีละ 3,500 ล้านบาท จากเงินที่ชาวบ้านต้องจ่ายทำประกันภัยรถจำนวนปีละ 7,000 ล้านบาท ส่วนโรงพยาบาลต่างๆได้รับเงินเพียง 50% เพราะผู้ป่วยจะแจ้งว่า หกล้มบ้าง ตกบันไดบ้าง เนื่องจากไม่อยากไปเอาบันทึกประจำวันจากตำรวจ บางคนขอใช้สิทธิข้าราชการ ประกันสังคม แต่ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะยอมเสียเงินเอง เพราะลำบากที่ต้องเดินทางไปเบิกในตัวจังหวัด ประกอบกับการเบิกเงินจากบริษัทประกันภัยมักจะล่าช้า ใช้เวลาถึง 2 เดือนจึงจะได้
“บริษัทประกันภัยรถควรหยุดเอาเปรียบประชาชนได้แล้ว เวลาทำประกันภัย ไปทำถึงหมู่บ้าน เวลาเบิกใช้หลักฐานยิบย่อย และให้ไปเบิกที่จังหวัด ควรใช้ภาษีน้ำมันมาใช้ในส่วนนี้ ชาวบ้านไม่ต้องเสียเวลาไปต่อประกันภัย โรงพยาบาลก็ได้เงินครบ ขอให้รัฐมนตรีสธ.เอาจริงกับเรื่องนี้ อย่าให้แค่พูดแล้วหายไป เพียงแค่มีคนเสียผลประโยชน์มาล็อบบี้”นพ.พงศ์เทพ กล่าว
|