Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน21 สิงหาคม 2546
แบงก์ไทยกลืนIFCT ดันขึ้นแท่นอันดับที่7             
 


   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารแห่งประเทศไทย
โฮมเพจ ธนาคารไทยธนาคาร

   
search resources

ธนาคารแห่งประเทศไทย
บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย - IFCT
ซิกโก้, บล.
กระทรวงการคลัง
ปรีดิยาธร เทวกุล, ม.ร.ว.
สุชาติ เชาว์วิศิษฐ
Banking and Finance




คลังไฟเขียวยุบไอเอฟซีทีรวมกับไทยธนาคาร (BT) ดันเป็นแบงก์เอกชน ใหญ่อันดับ 7 ด้วยสินทรัพย์รวมกว่า 5 แสนล้านบาท คาดกระบวนการเสร็จภายในสิ้นปีนี้ หวังสู้กับแบงก์พาณิชย์เอกชน "อุ๋ย" ระบุหลังควบรวมคลังลดสัดส่วนถือหุ้นไม่ถึง 50% แถมได้เปรียบแบงก์เกิดใหม่ไม่ต้อง เพิ่มทุน เพราะเงินกองทุนเข้าเกณฑ์แบงก์ชาติแล้ว ด้านผู้บริหารไอเอฟซีที "อโนทัย" ต้องยุติบทบาท ขณะที่เอ็มดีบีที "พีรศิลป์" ยังลูกผีลูกคน เพราะคลังอาจหาคนใหม่เสียบแทน

ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยวานนี้ (20 ส.ค.) กรณีบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ไอเอฟซีที) จะควบรวมกิจการกับธนาคารไทยธนาคาร (บีที)ว่าสัปดาห์หน้า จะทำการสำรวจทรัพย์สินและหนี้สิน (Due diligence) ระหว่างไอเอฟซีทีกับไทยธนาคาร โดยจะยุบไอเอฟซีทีให้ไทยธนาคารเป็นแกนก่อนสิ้นปีนี้ทุกอย่างจะเรียบร้อย หลังควบรวมจะทำให้คลังถือหุ้นไม่เกิน 50% แน่นอน

หลังจากนั้นคลังจะลดสัดส่วนการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ลงเรื่อยๆ เมื่อฐานะธนาคารดีขึ้น เนื่องจากคลังมีนโยบายไม่ประสงค์ถือหุ้นมากอยู่แล้ว "วันนี้เราเข้าไปตามความจำเป็นในอนาคตถ้าแบงก์ดีขึ้นก็ปล่อยไป หลังควบรวมเชื่อมั่นว่าแบงก์ใหม่จะดีขึ้นแน่นอน ในประเทศไทยมีโอเวอร์ แบงกิ้งอยู่แล้ว ถ้าให้แบงก์เล็กๆ แหวกว่ายก็จะไปไม่ไหว" ร.อ.สุชาติ กล่าว นโยบายควบรวมได้คุยกับผู้ว่าแบงก์ชาติมานานแล้ว และความเห็นตรงกัน ยืนยันว่าผู้ถือหุ้น ปัจจุบันทั้ง 2 แห่งจะไม่กระทบแน่นอน ขณะที่จะแจ้งเรื่องกับตลาดหลักทรัพย์ภายหลัง

"ผมพูดมาหลายครั้งแล้ว ว่าแบงก์เล็กไม่มีทางที่จะเลี่ยงได้ที่จะควบรวมกัน เพราะมีต้นทุน ดำเนินงานและการเงินสูงมาก ด้านการปล่อยกู้ก็ไม่สามารถแข่งขันกับแบงก์ใหญ่ได้ ซึ่งแบงก์จะควบรวมอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ยังยืนยันไม่ได้ว่า แบงก์ไหนจะควบรวมกับแบงก์ไหน" ร.อ.สุชาติกล่าว

ทางด้านม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยวานนี้ ว่ากระทรวงการคลังอนุมัติแผนควบรวมกิจการไทยธนาคาร และ IFCT ตามที่ ธปท.เสนอหลังจากศึกษา รายละเอียดควบรวมกิจการระยะหนึ่งแล้ว เพราะจำเป็นต้องเสริมฐานะสถาบันการเงินทั้ง 2 แห่ง เพื่อให้เข้มแข็งมากขึ้น สามารถแข่งขันในระบบธนาคารพาณิชย์ได้

แบงก์อันดับ 7 สินทรัพย์ 5 แสนล้าน

การควบรวมกิจการครั้งนี้ จะทำให้เกิดธนาคารพาณิชย์ใหม่ขนาดใหญ่ มูลค่าสินทรัพย์ประมาณ 500,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นธนาคารขนาดสินทรัพย์ใหญ่อันดับ 7 ของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย

หลังควบรวมกิจการ ธนาคารใหม่นี้จะเป็นธนาคารเอกชน เพราะกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินถือหุ้นไทยธนาคาร 49% และคลังถือหุ้นไอเอฟซีที 1 ใน 3 ทำให้เมื่อควบรวมกิจการลักษณะ 50% ต่อ 50% ทำให้หุ้นที่รัฐถือในธนาคารใหม่ต่ำกว่า 50%

การควบรวมดังกล่าว จะเป็นลักษณะ A+B เป็น C จะเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งใหม่ ไม่มีใครเป็น แกนนำควบรวม หลังจากการอนุมัติครั้งนี้ ทั้ง 2 สถาบันต้องหารือกันเพื่อวางแนวทางควบรวมกิจการ ซึ่งต้องใช้เวลาควบรวมกิจการระยะหนึ่ง เพราะมีหลายขั้นตอน

เป็นแบงก์เอกชน

"แบงก์ใหม่ที่เกิดขึ้น จะเป็นแบงก์เอกชนที่ดำเนินธุรกิจได้ในเชิงพาณิชย์ และยังเป็นการเสริมให้ระบบแบงก์มีความเข้มแข็ง ที่จะเป็นตัวนำในการส่งให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง และภาครัฐยังคงมีแบงก์รัฐที่ช่วยสนองนโยบายรัฐในบางจุดอยู่ จะเป็นการผนึกกำลังเข้ามาดันเศรษฐกิจได้ รวมทั้งยังเป็นผลดีกับสถาบันการเงินทั้ง 2 แห่งไอเอฟซีทีมีข้อจำกัดเรื่องของกรอบการดำเนินธุรกิจ ทำเฉพาะปล่อย สินเชื่ออุตสาหกรรม ในขณะที่แบงก์ไทยมีกรอบการดำเนินธุรกิจครบวงจร" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

เหตุที่เลือกควบรวมกิจการสถาบันการเงินทั้ง 2 แห่ง เนื่องจากทำธุรกิจปล่อยสินเชื่อรายใหญ่เช่นเดียวกัน การควบรวมกิจการดังกล่าว ทั้ง ไอเอฟซีที และไทยธนาคาร ไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนอีก ตามแผนเดิมที่คลังอนุมัติไว้แล้ว เนื่องจากจะมีทุนเพียงพอ ไทยธนาคารเงินกองทุนต่อสิน ทรัพย์เสี่ยงถึง 20.23%

ธนาคารใหม่จะมีเงินกองทุนฯ เพียงพอตามมาตรฐานธปท. ซึ่งสร้างความสมดุลระหว่างฝ่ายหนึ่ง ที่มีเงินฝากมาก แต่สินเชื่อน้อย และอีกฝ่ายที่มีสินเชื่อ แต่ไม่มีเงินปล่อยสินเชื่อ ส่วนการบริหารงานหลังควบรวมกิจการ พนักงานจะไม่มีใครตกงาน และแข็งแกร่งมากขึ้น

ส่วนขั้นตอนควบรวมกิจการ จะเรียกคณะกรรมการบริหารทั้ง 2 แห่งหารือ และหาข้อสรุปที่เหมาะสมทั้ง 2 ฝ่ายทุกๆด้าน ทั้งด้านธุรกิจ พนักงาน โดยเฉพาะสัดส่วนและบุคคลที่เหมาะสมบริหาร ธนาคารใหม่ ซึ่งคาดว่าจะไม่มีปัญหา การจัดสรรจะเป็นตัวแทนทั้ง 2 องค์กร ๆ ละครึ่ง

"การควบรวมครั้งนี้ เป็นวาระที่เปิดเผยและโปร่งใส เป็นความสมัครใจของทั้ง 2 ฝ่าย โดย ธปท.เป็นตัวกลางในการแนะนำเท่านั้น จากเดิมที่การควบรวมกิจการมักเป็นการตัดสินใจของ ธปท.ที่สั่งการให้มีการควบรวมกิจการ"

ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวต่อว่า ส่วนตีค่าแลกเปลี่ยนหุ้น และมูลค่าสินทรัพย์ทั้ง 2 แห่งควบรวมกิจการ ต้องเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย ธปท.เห็นว่าต้องตั้งตัวกลาง หรือที่ปรึกษาการเงิน เป็นตัวกลางตีมูลค่า เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง หรือได้ เปรียบเสียเปรียบ โดยยึดการประเมินจากมูลค่าบัญชีทั้ง 2 แห่ง แล้วกำหนดสัดส่วนควบรวมกิจการที่เหมาะสม

ส่วนประเด็นปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) เขาเชื่อว่าไม่น่าที่จะมีปัญหามากนัก เนื่องจากไทยธนาคารหนี้เน่าน้อยมาก เพราะโอนไปบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.)เกือบหมด ยังมีสัญญา จะโอนหนี้เน่าไปอีกรอบ ส่วนไอเอฟซีที มีแนวทางแก้ไขปัญหารองรับการควบรวมแล้ว จะเป็นการควบรวมเบ็ดเสร็จ

ไทยธนาคารปัจจุบันสินทรัพย์ประมาณ 247,454 ล้านบาท เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงตาม มาตรฐานบีไอเอส 20.23% แบ่งเป็นเงินกองทุนขั้นที่ 1 ประมาณ 19.60% เงินกองทุนขั้นที่ 2 ที่ 0.63% พนักงานทั้งหมด 2,257 คน ขณะที่สาขามีเพียง 85 แห่งทั่วประเทศ

เบื้องหลังควบไทยธนาคาร-ไอเอฟซีที

การตัดสินใจควบรวมกิจการสถาบันการเงินทั้ง 2 แห่ง เนื่องจากธปท. ได้รับมอบหมายจากสำนักงานตรวจเงินแผนดิน (สตง.) ศึกษาแนว ทางการแก้ไขปัญหาขาดทุนของไอเอฟซีที ที่มีต่อเนื่องหลายปี จนกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง ที่คลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ สัดส่วน 1 ใน 3 ของผู้ถือหุ้นทั้งหมด ต้องอัดฉีดเงินเพิ่มทุนเพื่อพยุงฐานะ

การตรวจสอบของ ธปท. ไอเอฟซีทีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสมัยออกตราสารและกู้เงินต่างประเทศ เพื่อระดมเงินทุนดำเนินธุรกิจ ประสบปัญหาจากการลดค่าเงินบาทครั้งแรกปี 2527 จึงมีหนี้มาก และขาดทุนเรื่อยมา ขณะที่การดำเนินธุรกิจ ยังมีข้อจำกัดปล่อยกู้ภาคอุตสาหกรรมรายใหญ่ ทำรายได้น้อย

เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งล่าสุดปี 2540 ลูกหนี้รายใหญ่เกิดปัญหาขาดทุนเป็นหนี้เสีย ไอเอฟซีที

แนวทางแก้ไขปัญหาของคลัง อดีตคือเพิ่มทุนให้ตลอดเวลา ขณะที่ไอเอฟซีทีเริ่มปล่อยกู้ให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อย (เอสเอ็มอี) แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เพราะไม่สามารถแข่งขันกับแบงก์อื่นๆ ขณะที่ลูกหนี้เอสเอ็มอียังไม่เข้มแข็งพอ หากเป็นเช่นนี้กระทรวงการคลังมองแล้วต้องเพิ่มทุนให้ไม่มีที่สิ้นสุด

ธปท. ศึกษาและมองว่า การดำเนินธุรกิจของไอเอฟซีที ด้านปล่อยกู้ยังคงทำได้ เพราะมีฐาน สินเชื่อระดับหนึ่ง จึงมองถึงภาพรวมการกำกับดูแลสถาบันการเงิน โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ ที่ยังมีปัญหาบางแห่ง ที่เปราะบาง หรือดำเนินธุรกิจ ไม่ได้เต็มที่

จึงมองมาที่ไทยธนาคาร ที่ดำเนินธุรกิจรายใหญ่ เหมือนไอเอฟซีที ขณะที่ขนาดและเครือข่ายยังเล็ก หากดำเนินธุรกิจต่อไป อาจมีปัญหา ธปท. จึงเสนอคลัง เพื่อขอควบรวมกิจการระหว่าง ไอเอฟซีทีและธนาคารไทยธนาคาร 2 เดือนก่อน

ช่วงแรก คลังเห็นด้วยกับข้อเสนอ ธปท. แต่ให้พิจารณาอีกครั้ง เพราะคลังมองว่าธนาคารพาณิชย์ อื่นๆ ยังมีปัญหาอยู่ ต้องแก้ไข เช่น ธนาคารทหารไทย คลังต้องการจะให้แก้ไขปัญหา หรือ ดำเนินการครบวงจร และเสร็จสมบูรณ์ทั้งระบบ จึงชะลอแผนควบรวมไทยธนาคาร-ไอเอฟซีที

วานนี้ ขุนคลัง-ผู้ว่าการ ธปท. เผยแผนควบ รวมดังกล่าว แสดงว่าการมองทางแก้ปัญหาธนาคาร ทหารไทยจบแล้ว หลังคลังล้มแผนร่วมทุน ANZ ธนาคารใหญ่อันดับ 4 ของออสเตรเลีย และคลังมีแผน 2 เพิ่มทุนแบงก์ทหารไทยชัดเจนยิ่งขึ้น สำหรับตำแหน่งผู้บริหารแบงก์ใหม่ หลังไทยธนาคารกลืนไอเอฟซีทีแล้ว ต้องแบ่งตามความเหมาะสม และสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันระหว่าง 2 องค์กร แต่ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานกรรมการธนาคาร ด้านไอเอฟซีทีคงต้องยุติบทบาท หมายถึงนายอโนทัย เตชะมนตรีกุล กรรมการและผู้จัดการทั่วไป ไอเอฟซีที รวมถึงนายสมหมาย ภาษี รองปลัดคลัง ที่ก่อนหน้านี้ มีข่าวว่าจะนั่งตำแหน่งประธานกรรมการ ก็ต้องยกเลิกเช่นกัน

ด้านตำแหน่งผู้บริหารไทยธนาคาร ยังครึ่งๆ กลางๆ ว่านายพีรศิลป์ ศุภผลศิริ กรรมการผู้จัด การใหญ่ ไทยธนาคาร จะยังอยู่ในตำแหน่งธนาคาร ใหม่หรือไม่ ต้องขึ้นกับความสามารถการบริหาร ที่ต้องโชว์ให้คลังเห็น โดยเฉพาะบุคคลสำคัญ 2 คน คือ นายนิพัทธ พุกกะณะสุต ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และนายวิจิตร สุพินิจ ที่ปรึกษารัฐมนตรีคลัง ที่จะเป็นผู้พิจารณาร่วม

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ มีข่าวว่า นาย พีรศิลป์ จะได้รับมอบหมายดูแลรับผิดชอบกองทุนวายุภักดิ์ ซึ่งหมายความว่า นายอโนทัย และนายพีรศิลป์ อาจไม่ได้อยู่ในแบงก์ใหม่ทั้งคู่

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us