|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงกว่า 13 จุดตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก เหตุนักลงทุนยังตื่นตระหนกวิกฤตการเงินรอบใหม่ หลังผลประกอบการบริษัทเอกชนประจำงวดไตรมาส 4/52 ประสบปัญหาขาดทุนมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ “ภัทรียา” แนะกลยุทธ์การลงทุนช่วงตลาดหุ้นผันผวนต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมอาศัยจังหวะเข้าลงทุนระบุกำไรหุ้นกลุ่มพลังงานแย่ ไม่กระทบตลาดหุ้นมากนัก หลังนักลงทุนซึมซับข่าวสารไปบ้างแล้ว
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (15 ม.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงในทิศทางเดียวกันตลาดหุ้นทั่วโลก สืบเนื่องจากนักลงทุนกังวลดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่จะทยอยออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงผลการดำเนินงานของบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ในงวดไตรมาส 4 ปี 2551 จะยังประสบปัญหาขาดทุนเป็นจำนวนมาก หลังจากเศรษฐกิจโลกได้ส่งสัญญาณชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่อง
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน มีจะสูงสุดที่ระดับ 430.70 จุด ต่ำสุดที่ 424.16 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับ 426.26 จุด ลดลงจากวันก่อน 13.25 จุด หรือคิดเป็น 3.01% มูลค่าการซื้อขายรวม 10,303.58 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 354.46 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 951.29 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,305.75 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาปิดที่ 99 บาท ลดลงจากวันก่อน 5 บาท หรือคิดเป็น 4.81% มูลค่าการซื้อขาย 1,468.51 ล้านบาท บมจ.ปตท. (PTT) ปิดที่ 154 บาท ลดลง 4 บาท หรือ 2.53% มูลค่าการซื้อขาย 909.81 ล้านบาท และบมจ. บ้านปู (BANPU) ปิดที่ 218 บาท ลดลง 10 บาท หรือ 4.39% มูลค่าการซื้อขาย 854.68 ล้านบาท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาวะตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนสอดคล้องกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ดังนั้นนักลงทุนจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวของสถานการณ์ต่างๆ ที่จะส่งผลต่อตลาดหุ้นไทย รวมถึงภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนปัจจัยบวกและลบที่จะเข้ามาชี้นำทิศทางของดัชนีตลาดหุ้น เพื่อให้สามารถลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะเดียวกัน นักลงทุนต้องติดตามบทวิเคราะห์และมุมมองของนักวิ้คราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ที่มีต่อบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งการพิจารณาจัดสรรเงินลงทุนที่มีอยู่อย่างเหมาะสม
ด้านผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนประจำไตรมาส 4/51 นั้น นางภัทรียา กล่าวว่า กลุ่มธนาคารพาณิชย์น่าจะมีผลประกอบการใกล้เคียงกับไตรมาส 3/51 เพราะมีฐานการเงินที่แข็งแกร่ง และตั้งสำรองตามกฏเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรียบร้อยแล้ว ขณะที่กลุ่มพลังงานจะไม่ดีนัก จากผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน ซึ่งเป็นไปตามราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวลดลงจากที่เคยแตะระดับสูงสุดกว่า 140 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
“ตลาดหุ้นคงจะไม่ได้รับผลกระทบจากการลดลงของกำไรสุทธิกลุ่มพลังงานมากนัก เพราะนักลงทุนได้คาดการณ์ไว้แล้ว ขณะเดียวกันแนวโน้มราคาน้ำมันโลกในปี 2552 คงไม่ผันผวนเหมือนปีที่ผ่านมา”
สำหรับประเด็นที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (อาร์/พี) ลงอีก 0.75% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2% นั้น นางภัทรียา กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่ได้ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก เพราะเป็นไปตามคาดการณ์ของนักลงทุนคาดว่าธปท. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยประมาณ 0.50-0.75% อยู่แล้ว
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ธปท.ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.75% มาอยู่ที่ 2.00% ไม่ได้ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก เพราะดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวรับตั้งแต่มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้ แต่จะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ และคาดว่า กนง.มีแนวโน้มจะปรับลดอกเบี้ยนโยบายลงอีกจนมาอยู่ที่ระดับ 1% เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเคยมาแลกเปลี่ยนความรู้ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกทั้งทิศทางนโยบายของรัฐบาลที่จะเน้นกระจายเงินไปสู่ผู้ที่มีรายได้น้อยให้เร็วที่สุด ตนเองเห็นด้วยกับทิศทางกับนโยบายดังกล่าว
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลดลงตามทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศ หลังมีความวิตกหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงินที่ผลประกอบการไม่ดี และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ส่งผลให้เกิดแรงเทขายทั่วโลก บวกกับแรงกดดันเรื่องของผลประกอบการไตรมาส 4/2551 ที่คาดการณ์จะต่ำกว่าประมาณการที่ตั้งไว้ ทำให้มีแรงเทขายหุ้นขนาดใหญ่ ฉุดดัชนีตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันพรุ่งนี้ คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ ดังนั้นนักลงทุนจะต้องติดตามการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจในสัปดาห์หน้า ทั้งประมาณการณ์จีดีพีของยุโรป, การประกาศจีดีพีของประเทศจีน รวมตัวเลขทางเศรษฐกิจของไทย ซึ่งจะมีผลต่อจิตวิทยาการลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยมองแนวรับไว้ที่ 420 จุด และแนวต้าน 430 จุด
|
|
|
|
|