|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
นักลงทุนผวาพิษเศรษฐกิจทำให้ผลประกอบการบริษัทเอกชนทั่วโลกทรุดหนัก แห่เทขายหุ้นลดความเสี่ยงกดดันดัชนีตลาดหุ้นร่วงระนาว ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเจอข่าว “ปตท.” ขาดทุนมหาศาลถล่มซ้ำ ดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วง 19 จุด ด้านโบรกเกอร์ แนะถือเงินสดหรือเก็งกำไรระยะสั้น สั่งจับตาปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก ระบุแบงก์ชาติต้องหั่นดอกเบี้ยเกิน 0.75% จะช่วยผลักดันตลาดหุ้นระยะสั้น
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (13 ม.ค.) ถูกปกคลุมด้วยปัจจัยลบจากต่างประเทศที่ต่างคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ทั่วโลกจะมีผลประกอบการเลวร้ายกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาเป็นจำนวนจนเป็นแรงกดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเองยังได้รับข่าวร้ายของบริษัทจดทะเบียนไทยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะบมจ.ปตท. (PTT) ที่จะประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เปิดดำเนินการ หลังจากราคาน้ำมันโลกผันผวนและปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิดการซื้อขายในช่วงเช้า ก่อนจะปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงและรวดเร็วในช่วงบ่าย ขณะที่ระหว่างการซื้อขายไดปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 451.18 จุด และปิดการซื้อขายระดับต่ำสุดที่ 433.81 จุด ลดลงจากวันก่อนถึง 18.99 จุด หรือคิดเป็น 4.19% มูลค่าการซื้อขายรวม 12,905.06 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศยังคงเทขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง คือ มียอดขายสุทธิ 1,007.66 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 1,347.04 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,354.69 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ. ปตท. (PTT) ราคาปิดที่ 156 บาท ลดลง 12 บาท หรือ 7.14% มูลค่าการซื้อขาย 1,388.62 ล้านบาท บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปิดที่ 100 บาท ลดลง 8 บาท หรือ 7.41% มูลค่าการซื้อขาย 1,351.41 ล้านบาท และบมจ.บ้านปู (BANPU) ปิดที่ 220 บาท ลดลง 20 บาท หรือ 8.33% มูลค่าการซื้อขาย 1,265.98 ล้านบาท
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันซ่า จำกัด กล่าวว่า วานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมากกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการของกลุ่มปตท. ซึ่งมีน้ำหนักมากต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย ขณะที่ตลาดหุ้นภูมิภาคปรับตัวลงจากตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ที่จะประสบปัญหาขาดทุนเช่นเดียวกันไทย
ขณะที่การประกาศดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้สะท้อนภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะตกต่ำ โดยดูได้จากตัวเลขการปลดคนงานในสหรัฐฯ รวมทั้งได้มีมการปรับมุมมองเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปีนี้ลงเป็นติดลบ 1.5% จากเดิมที่ติดลบ 1%
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ หากดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง จะเป็นแรงกดดันให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคและตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงไปในทิศทางเดียวกัน โดยมองว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 52 นี้ ตลาดเอเชียคงจะยังอิงอยู่กับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แต่ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ก็จะแยกออกจากกัน
นายโกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงเช้าได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวลดลง บวกกับความวิตกกังวลของนักลงทุนต่อผลประกอบการไตรมาส 4/51 ของบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ขณะที่ช่วงบ่ายยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากการคาดการณ์ผลการดำเนินงานของกลุ่มบมจ.ปตท.ในไตรมาส 4/51 จะประสบปัญหาขาดทุนตามทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ วันนี้ (14 ม.ค.) คาดว่าจะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ซึ่งนักลงทุนต้องติดตามทิศทางดัชนีตลาดหุ้นดาวโจนส์ และตลาดเอเชีย รวมถึงราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยกลยุทธ์การลงทุนแนะทยอยซื้อดัชนีอ่อนตัวใกล้ระดับ 420 จุด และขายเมื่อดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น ประเมินแนวรับอยู่ที่ 420 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 442-446 จุด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงสอดคล้องกับตลาดหุ้นในต่างประเทศ เพราะสภาพเศรษฐกิจโลกยังหดตัว ประกอบตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นสูงขึ้น บวกกับการที่ราคาน้ำมันโลกปรับลดอย่างต่อเนื่องได้ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของกลุ่ม ปตท. ทำให้มีแรงเทขายหุ้นกลุ่มพลังงานออกมาเป็นจำนวนมาก
“ดัชนีตลาดหุ้นไทยคงจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ แต่นักลงทุนควรรอดูผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) งธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) ในวันนี้ และผลประกอบการของบริษัทในสหรัฐฯ ดังนั้นนักลงทุนควรชะลอการลงทุนออกไปก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์ โดยมีแนวรับที่ 425-427 จุด และแนวต้านที่ 450 จุด”
นางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ฟาร์อีสท์ จำกัด กล่าวว่า จากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ลดลง ตลอดจนการคาดการณ์ของตลาดต่อผลประกอบการไตรมาส 4/51 ของบริษัทจดทะเบียนทั้งในประเทศและต่างประเทศจะมาย่ำแย่ จึงทำให้มีแรงเทขายออกมาในหุ้นกลุ่มหลักของตลาดออกมาตลอดวัน
ขณะที่ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันนี้ ได้มีการคาดการณ์ว่าจะปรับลดดอกเบี้ยไม่เกิน 0.50-0.75% ซึ่งเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้แล้ว จึงไม่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก
“ตลาดหุ้นไทยน่าจะผันผวนตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ และราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก โดยนักลงทุนควรจับตาผลการประชุมของ กนง. กลยุทธ์ช่วงนี้นักลงทุนควรเก็งกำไรระยะสั้นในหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง มีแนวรับอยู่ระหว่าง 424-429 จุด แนวต้านที่ 440-444 จุด” นางสาวจิตติมากล่าว
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงกว่า 4% มากกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค เกิดจากแรงเทขายหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทในเครือปตท. ที่คาดว่าประสบปัญหาขาดทุนเป็นจำนวนมหาศาล จึงทำให้นักลงทุนรีบเทขายลดความเสี่ยงออกมาก่อนเนื่องจากหวั่นเกรงว่าราคาหุ้นจะลดลงไปต่ำกว่าปัจจุบันมาก และสะท้อนปัจจัยลบจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับลงต่ำกว่า 40 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ขณะเดียวกัน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่กำลังจะทยอยประกาศผลการดำเนินงาน คาดว่าจะมีกำไรสุทธิลดลงตามสภาพของระบบเศรษฐกิจการเงินที่ถดถอยเช่นเดียวกัน
สำหรับแนวโน้มในวันนี้ จะยังถูกปกคลุมด้วยเรื่องของผลประกอบการของบริษัทเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่หากธปท. ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.75% อาจจะช่วยผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในระยะสั้น ดังนั้นนักลงทุนควรถือเงินสดเพื่อรอจังหวะเข้าลงทุน ประเมินแนวรับ 400 จุด แนวต้าน 450 จุด
|
|
|
|
|