|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เชสเตอร์ กริลล์ ส่งเมนูประหยัด-สุขภาพ รับมือวิกฤตเศรษฐกิจ กระทบพฤติกรรมการกินอาหารนอกบ้านวูบ หั่นราคาอาหาร 8 ชุดเปิดตัวทุกไตรมาส ชี้ปีวัวตลาดฟาสต์ฟูดแข่งสงครามราคา โปรโมชันเดือด ชิงลูกค้า ตั้งเป้า 5 ปี ขยาย 300 แห่ง สิ้นปีนี้โกย 1,400 ล้านบาท โต 20% ด้านนมซีพี-เมจิลดไซซ์รับกำลังซื้อหด
นายสุวัฒน์ ทรงพัฒนะโยธิน รองกรรมการผู้จัดการ ด้านปฏิบัติ บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด ผู้ดูแลรับผิดชอบธุรกิจร้านอาหารเชสเตอร์ กริลล์และเชสเตอร์ คอฟฟี่ เปิดเผยว่า กลยุทธ์ทางการตลาดในปี 2552 จะชูเรื่องของสุขภาพและความคุ้มค่าเป็นหลัก โดยมีแผนเปิดตัวชุดอาหารลดราคาประมาณ 8 ชุด โดยแบ่งเป็นไตรมาสละ 2 ชุด รวมทั้งมีการจัดชุดอาหารแบบคุ้มค่า 4 รายการ แบ่งเป็นไตรมาสละ 1 รายการ จากปัจจุบันผู้บริโภคที่ซื้อชุดคอมโบเฉลี่ยอยู่ที่บิลละ 100-110 บาท โดยราคาเฉลี่ยชุดละประมาณ 70-90 บาท
ปีที่ผ่านมากลุ่มอาหารทานเล่น โดยเฉพาะไก่กระเป๋ายอดขายตกลง 15-20% ดังนั้นเราจึงต้องจับตาพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง และเปิดตัวเมนูประหยัดออกมา ซึ่งการปรับตัวโดยหันมาเน้นความคุ้มค่า เพื่อรองรับกับแนวโน้มการแข่งขันของธุรกิจร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดในปี 2552 มองว่าจะเป็นเรื่องของการแข่งขันเรื่องของราคา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งในปีนี้บริษัทไม่มีแผนปรับราคาอาหารเพิ่มขึ้น
สำหรับการขยายสาขาปีนี้ 20 สาขาเป็นอย่างต่ำและอาจสูงสุดถึง 30 สาขาในทั่วประเทศ โดยจะเน้นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 80% และต่างจังหวัด 20% ทั้งนี้ยังมีการขยายสาขาไปกับทางปั๊มน้ำมันปตท. 15 สาขา ทั้งในส่วนกรุงเทพและปริมณฑล เพื่อตอบสนองความต้องการของนักเดินทาง คาดว่าภายในปี 2556 หรืออีก 5 ปี จะสามารถขยายสาขาทั้งสิ้นเป็น 300 สาขาในทั่วประเทศ จากปัจจุบันมี 148 สาขา
นายสุวัฒน์ กล่าวต่อว่า การขยายสาขาของเชสเตอร์ กริลล์ ส่วนใหญ่จะเป็นการขายแฟรนไชส์ โดยปัจจุบันมีสัดส่วน 60% และเป็นของบริษัท 40% ทั้งนี้คาดว่าภายใน 3 ปี จะมีสัดส่วนของการขยายแฟรนไชส์ 75% และบริษัทเหลือเป็น 25% สำหรับการทำแฟรนไชส์ใช้เงินลงทุนประมาณสาขาละ 5-6 ล้านบาทต่อสาขา โดยถือเป็นการลงทุนที่เหมาะกับสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ทั้งนี้กลุ่มบุคคลที่ร่วมลงทุนการขยายสาขาแบบแฟรนไชส์ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีธุรกิจของตัวเองอยู่แล้ว แต่มีการเพิ่มธุรกิจเพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุน นอกจากนี้ทางบริษัทยังมีการทบทวนแผนการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งพื้นที่ที่มองว่าจะลงทุนส่วนใหญ่ จะเป็นพื้นที่ที่มีฐานการผลิตของบริษัทซีพี อย่างมาเลเซีย เวียดนามและสิงค์โปร์
ผลประกอบการปีนี้ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 20% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,400 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เติบโต 18% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาท โดยการเติบโต 10% มาจากการขยายสาขาใหม่ 20 แห่ง และสาขาเดิมเติบโต 8%
ซีพี-เมจิลดไซซ์รับกำลังซื้อหด
นายไพศาล จงบัญญัติเจริญ กรรมการผู้จัดการบริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด กล่าวว่า การทำตลาดปีนี้บริษัทปรับขนาดผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับกำลังซื้อผู้บริโภคที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ แทนที่ปรับราคาขึ้น ล่าสุดได้ปรัจากเหลือ 100 ซีซีจาก 120 ซีซี ราคากล่องละ 11.50 บาท หรือในขนาดขนาด 450 ซีซี อาจลดลงเหลือ 400 ซีซี ต่อไปจะมีการลดขนาดในไลน์สินค้าอื่นๆ
ด้านการพัฒนาสินค้าเน้นผลิตสินค้ามีคุณภาพ ตอบสนองผู้บริโภครุ่นใหม่ใส่ใจสุขภาพ โดยจะลดปริมาณน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ของซีพีทุกรายการ เริ่มต้นจาก คัพโยเกิร์ต นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม และยังสามารถขยายตลาดต่างประเทศได้มากขึ้น ส่วนไตรมาส 2 จะทยอยส่งสินค้าพรีเมียมในกลุ่มนมพาสเจอร์ไรส์
ปีนี้บริษัทใช้งบ 180 ล้านบาท แบ่งเป็น งบโฆษณาประชาสัมพันธ์ 100 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 80 ล้านบาท เป็นการลงทุนไลน์การผลิตต่างๆ ภายในโรงงาน เพื่อรองรับแผนการทำตลาดที่วางไว้ว่าจะมีการส่งนวัตกรรมใหม่ออกมาทุกไตรมาส ทั้งนี้คาดว่าสิ้นปีส่วนแบ่งเพิ่มจากกว่า 51% เป็น 55% จากมูลค่าตลาดพาสเจอร์ไรส์ 3,100 ล้านบาท
|
|
|
|
|