|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
กองทุนรวมเสี่ยงเจอวิกฤต หลังผลตอบแทนตราสารหนี้ดิ่งตามทิศทางดอกเบี้ย จนไม่จูงใจ ล่าสุด ขยับลงใกล้เคียงเงินฝากแล้ว ส่วนนักลงทุนเอง ก็หันไปหาสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ-ปลอดภัยมากขึ้น ชี้แม้ออกกองทุนใหม่ ก็ขายได้ยาก "ธนชาต" เผย กองทุนเกาหลี มีเงินลงทุนต่อเพียง 20% เท่านั้น ออกโรงเชียร์ลูกค้า ลงทุนบอนด์ต่างประเทศ เหตุทางเลือกลงทุนหาผลตอบแทนหลากหลายกว่า ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยอาร์/พี ปรับคาดการณ์ใหม่ เหลือ 1% กว่า โดยมีปัจจัยจากตัวเลขเศรษฐกิจกดดัน
นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลปรับลดลงตามไปด้วย โดยล่าสุดปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับเงินฝากแล้ว ส่งผลให้กองทุนใหม่ๆ ที่ออกมาผลตอบแทนไม่จูงใจเหมือนก่อนหน้านี้ ซึ่งการที่เงินฝากเองยังมีการค้ำประกันด้วยแล้ว ก็มีความเป็นไปได้ที่เงินลงทุนในกองทุนรวม จะไหลกลับไปในระบบเงินฝากอีกครั้งเช่นเดียวกันช่วงกลางปีที่ผ่านมา แต่ในช่วงนั้น เกิดจากการออกเคมเปญขึ้นดอกเบี้ยเพื่อระดมเงินฝาก
นอกจากนี้ ความกังวลที่เกิดขึ้นจากวิกฤตการเงิน และวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้นักลงทุนหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และมีความมั่นคงเป็นหลัก ซึ่งในส่วนของกองทุนรวมเอง ก็เป็นเรื่องยากที่จะออกกองทุนใหม่ที่ให้ผลตอบแทนจูงใจ เนื่องจากนักลงทุนยังกังวลเรื่องความเสี่ยง เพราะการที่ผลตอบแทนจะสูงได้ แน่นอนว่าย่อมมีความเสี่ยงที่สูงด้วย เช่น การลงทุนในประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความสนใจค่อนข้างมาก แต่หลังจากมีข่าวไม่ดีออกมา โดยเฉพาะผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนกังวล ถึงแม้ว่าปัจจุบัน การลงทุนในตราสารหนี้ของเกาหลีใต้เองจะให้ผลตอบแทนจูงใจถึงประมาณ 4% ก็ตาม แต่ถึงแม้จะตั้งกองทุนออกมาขาย ก็เชื่อว่าจะไม่ได้รับความสนใจมากนัก เหตุผลหลักๆ เพราะนักลงทุนกังวลเรื่องความเสี่ยงนั่นเอง
"ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในตลาดโลก ทำให้คนเอาเงินออกไปฝากไว้ในช่องทางที่ปลอดภัยและมั่นคงมากที่สุด ดังนั้น โอกาสที่จะออกกองทุนและให้ผลตอบแทนจูงใจผู้ลงทุนจึงเป็นไปได้ยาก เพราะขณะนี้ผลตอบแทนก็ปรับลดลงใกล้เคียงกับเงินฝากแล้ว"นายบุญชัยกล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของกองทุนตราสารหนี้ที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ของบลจ.ธนชาตเอง ปัจจุบันยังมีเงินลงทุนคงเหลือประมาณ 7,000 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมา ครบอายุการลงทุนไปแล้ว 2 กองทุน โดยทั้ง 2 กองทุนที่ครบอายุนั้น มีการลงทุนต่อในกองทุนประเภทอื่นเพียง 20% ของเงินที่ครบอายุเท่านั้น โดยในส่วนของกองทุนที่เหลือ หากตลาดยังเป็นเช่นนี้ ก็เชื่อว่าจะมีการลงทุนต่อเพียง 20% เท่านั้น
นายบุญชัยกล่าวว่า ในช่วงนี้ เราจะแนะนำให้ลูกค้าลงทุนในกองทุนตราสารหนี้เป็นหลักทั้งตราสารหนี้ในประเทศและต่างประเทศ เพราะอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง ดังนั้น การลงทุนในตราสารหนี้ที่อายุยาวขึ้น จึงมีโอกาสได้รับส่วนต่างจากดอกเบี้ยที่ปรับลดลง ซึ่งการลงทุนในตราสารหนี้เอง เรามองว่าการลงทุนในต่างประเทศน่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยในส่วนของบลจ.ธนชาตเอง แนะนำให้ลูกค้าลงทุนผ่านกองทุนเปิดธนชาต โกลบอล บอนด์ ฟันด์ เพราะกองทุนดังกล่าวสามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้ โดยโยกเงินลงทุนไปลงทุนในประเทศที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เพราะปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยในแต่ละประเทศอยู่ในระดับต่างกัน ทำให้ที่ผ่านมา มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในกองทุนดังกล่าวมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ผลตอบแทนของกองทุนก็ปรับเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ด้วย
ส่วนการลงทุนของกองทุนหุ้นต่างประเทศ ขณะนี้เราได้ทยอยเพิ่มน้ำหนักการลงทุนไปบ้างแล้ว โดยปัจจุบันสัดส่วนการลงทุนขยับขึ้นมาอยู่ที่ 60-70% จากเดิมที่ลดลงไปถึง 50% โดยการปรับพอร์ตดังกล่าว เป็นการลดสัดส่วนการลงทุนจากกองทุนหลักแล้วโยกเงินส่วนนั้น ไปลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน (มันนี่มาณ์เกต) ในต่างประเทศแทน ทั้งนี้ การที่เราลดสัดส่วนลงทุนลงไม่มาก เนื่องจากไม่ต้องการให้นักลงทุนเสียโอกาส ในช่วงที่ตลาดดีดตัวขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม การทยอยเพิ่มสัดส่วนลงทุนดังกล่าว คาดว่าจะสามารถลงทุนได้เต็มที่เหมือนเดิมประมาณช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ โดยปัจจัยที่ต้องต้องพิจารณา คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐด้วยว่าจะสามารถกระตุ้นได้จริงหรือไม่ ขณะเดียวกัน ต้องดูปฏิกิริยาของตลาดหุ้นสหรัฐด้วยว่าจะตอบรับกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล่วงหน้าหรือไม่ นอกจากนี้ ยังต้องดูแนวทางแก้ปัญหาของธนาคารกลางของแต่ละประเทศด้วยว่าจะเป็นอย่างไร
"สิ่งที่เราอยากเห็นคือ ทั่วโลกใช้มาตรการทางการเงินและการคลังไปพร้อมกัน ซึ่งมาตรการการเงินก็เป็นการลดดอกเบี้ย ส่วนมาตรการการคลังคือต้องมีเงินลงไปถึงประชาชนทั่วไป และต้องเกิดการใช้จ่ายขึ้นจริงด้วยไม่ใช่กอดเงินไว้อย่างเดียว"นายบุญชัยกล่าว
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย นายบุญชัยกล่าวว่า จากเดิมกองทุนหุ้นของเราได้ปรับลดสัดส่วนการลงทุนลงไปที่ระดับ 50-60% แต่ขณะนี้เราได้เพิ่มน้ำหนักกลับไปบ้างแล้วในช่วงที่ดัชนีหุ้นปรับลดลงต่ำกว่า 400 จุด โดยล่าสุดสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 70% แล้ว ส่วนที่เหลือจะเป็นการลงทุนในพันธบัตรและเงินสด ส่วนจะกลับไปลงทุนได้เต็มที่เมื่อไหร่นั้น คงต้องรอดูตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2551 อีกครั้ง เพราะจะเป็นตัวบ่งชี้ได้ชัดเจนว่าเศรษฐกิจบ้านเราย่ำแย่แค่ไหน ซึ่งที่ผ่านมา เรารับรู้เพียงแต่ว่าเศรษฐกิจไม่ดีเท่านั้น
ปรับคาดการณ์อาร์/พีเหลือ1%กว่า
นายบุญชัย กล่าวต่อว่า บริษัทได้ปรับประมาณการภาพรวมของตลาดตราสารหนี้ในปี 2552 ใหม่ โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงเหลือประมาณ 1% กว่าๆ ภายในปีนี้จากเดิมที่มองว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 2% จาก 2.75% ในปัจจุบัน โดยมีปัจจัยมาจากตัวเลขเศรษฐกิจในด้านต่างๆ ที่จะมีการประกาศออกมา ซึ่งเชื่อว่าจะอยู่ในอัตราที่ลดลง หลังจากที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้ปรับลง เพราะรับรู้ข่าวสารมากก่อนหน้านี้แล้วร่วม 3-4 เดือน โดยการปรับมุมมองต่ออัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป ขึ้นอยู่กับภาพรวมทางเศรษฐกิจ ว่าตัวเลขของภาคอุตสาหกรรมจะมีการประกาศออกมาเป็นเช่นไร
"ช่วงนี้แนวโน้มการลงทุนในตราสารหนี้ ผลตอบแทนที่จะได้รับนั้นจะปรับตัวลดลง จากเดิมกองทุนประเภทโรลโอเวอร์จะมีอัตราผลตอบแทนประมาณ 2 -3% แต่ปัจจุบันจะอยู่ที่ประมาณ 1.3% เท่านั้น ซึ่งใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยที่ฝากเงินไว้กับธนาคารขนาดกลางและเล็ก เพียงแต่ผลตอบแทนจากกองทุนรวมไม่ต้องเสียภาษีจากกำไรที่ได้รับเท่านั้น แต่ยังถือว่าเป็นโชคที่ดีของอุตสาหกรรมที่ช่วงนี้บรรดาธนาคารต่างหยุดที่จะแข่งขันในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยแล้ว ดังนั้น หากนักลงทุนรายใดที่สนใจลงทุนในระยะสั้น ก็สามารถเลือกลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ประเภทโรลโอเวอร์ได้ ส่วนคนที่ต้องการผลตอบแทนจากตราสารหนี้มากกว่านี้ บริษัทแนะนำให้ลงทุนผ่านกองทุนตราสารหนี้ระยะยาวจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องกว่า"
สำหรับแนวคิดการออกกองทุนใหม่ในช่วงไตรมาส 1 นั้น กรรมการผู้จัดการ บลจ.ธนชาต กล่าวว่า บริษัทอาจจะไม่มีการออกกองทุนประเภทใหม่มานำเสนอลูกค้าในช่วงนี้ โดยต้องขอดูสภาพเศรษฐกิจโดยรวมก่อนตัดสินใจอีกครั้ง แม้ว่าสำนักงานก.ล.ต.จะอนุมัติให้ กองทุนรวมที่นำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ของบริษัทรวม 5 โครงการ สามารถนำออกมาเสนอนักลงทุนได้แล้วก็ตาม
ขณะที่ ภาพรวมของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น บลจ.ธนชาต ประเมินว่า จะเป็นในลักษณะที่ลำบาก เพราะจากภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้สมาชิกส่วนใหญ่ล้วนต้องการการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ หลังจากที่ผ่านมามูลค่าสินทรัพย์จากการลงทุนมีการปรับลดลง เช่นเดียวกับกองทุนส่วนบุคคล ซึ่งยังต้องใช้ระยะเวลาอีกสักพัก โดยคาดว่าจะเป็นช่วงไตรมาส 2ของปีนี้ก่อน ที่จะเริ่มกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง ส่วนรายเดิมที่ลงทุนอยู่แล้วก็จะยังมีการลงทุนต่อไปเพื่อชดเชยในส่วนที่ขาดทุน แต่สำหรับลูกค้ารายใหม่แม้ยังมีอยู่มากก็ยังเป็นเรื่องที่ลำบาก
"ลูกค้าด้านการลงทุนทุกคน ปัจจุบันนี้มีความรู้ความเข้าใจด้านการลงทุนมากขึ้น อะไรที่มีความเสี่ยงมากนักในช่วงนี้ก็จะเป็นเรื่องที่ยาก เพราะลูกค้าไม่ต้องการเข้าไปลงทุนในสภาวการณ์เช่นนี้ แม้ว่าการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะการลงทุนผ่านตราสารหนี้ในหลายประเทศจะให้ผลตอบแทนในอัตราที่ดีกว่าไทยก็ตาม"
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ โกลด์ ฟิวเจอร์ส หรือการลงทุนในทองคำ นายบุญชัย กล่าวว่า เป็นอีกสินทรัพย์หนึ่งที่มีความน่าสนใจเช่นกัน แต่ยังต้องศึกษาในเรื่องของอุตสาหกรรม รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และการเก็งกำไรของสินทรัพย์ดังกล่าวอีกครั้ง ก่อนที่จะพิจารณาจัดตั้งกองทุนประเภทนี้ขึ้นมา
|
|
|
|
|