Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์5 มกราคม 2552
ยามาฮ่าดุทิ้งทวนส่งมีโอ3รุ่นชนฮอนด้าคลิก             
 


   
www resources

โฮมเพจ-ยามาฮ่า มอเตอร์

   
search resources

ไทยยามาฮ่า มอเตอร์, บจก.
Motorcycle




ยามาฮ่าแก้เกมตลาดเอ.ที. ส่ง มีโอ 3รุ่นใหม่ พร้อม 3 พรีเซ็นเตอร์ขาร็อก แคลช, เรโทรสเปค,ดา เอ็นโดรฟีน เร่งขยายฐานลูกค้าวัยรุ่น ผนึกดีลเลอร์อัดโปรโมชั่นเสริมความแข็งแกร่งเต็มสูบ การขยับครั้งนี้ยามาฮ่ามองไกลถึงการคว้าตำแหน่งแชมป์ตลาดรถเอ.ที.ในเร็วๆนี้

แม้จะสามารถดันยอดขายจักรยานยนต์เกียร์อัตโนมัติ หรือ เอที รุ่น ฟีโน่ ติดลมบนได้ จนกลายเป็นรถจักรยานยนต์ในเซ็กเมนท์กลุ่มรถเรโทร และไลฟ์สไตล์ ที่ได้รับความนิยม และทำยอดขายได้สูงเป็นอันดับ 3 รองจากฮอนด้า เวฟ และฮอนด้า คลิก เป็นผลสำเร็จ แต่เมื่อมองภาพรวมเฉพาะตลาดรถรุ่น เอที แล้ว รถรุ่น มีโอ ซึ่งเปิดตัวในตลาดก่อนฟีโน่ และเป็นรุ่นที่ควรจะได้รับความนิยมของยามาฮ่า กลับตกไปอยู่ในอันดับ 4 ทั้งๆ ที่รถจักรยานยนต์รุ่นนี้เคยครองความเป็นผู้นำในตลาดรถจักรยานยนต์ เอทีมาก่อน

ขณะที่ฮอนด้า ผู้ครองส่วนแบ่งตลาดรถจักรยานยนต์อันดับ 1 นั้น ส่งรถฮอนด้า คลิก ทำตลาดช้ากว่าเกือบ 2 ปี แต่กลับสามารถดันยอดขายขึ้นแซงหน้า ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากความแข็งแกร่งด้านเครือข่ายตัวแทนจำหน่าย และแบรนด์ที่แข็งแกร่งกว่า การปรับโฉมพร้อมของยามาฮ่า มีโอ ที่มาพร้อมกับการแบ่งรุ่นย่อยออกเป็น 3 รุ่น ทำให้น่าติดตามว่า ท้ายที่สุดแล้ว ยามาฮ่าจะสามารถสร้างความนิยมให้กับมาสู่รถรุ่นนี้ได้มากเพียงใด

ปัจจุบันยามาฮ่า มีโอสามารถทำยอดขายเฉลี่ยต่อเดือน 5,000 คัน โดยมีโอ ที่เปิดตัวใหม่นี้ประกอบด้วย MIO ZR, MIO MX และ MIO Z มีราคาเริ่มต้นที่ 42,500 – 44,500 บาท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ ประกาศว่า หลังจากนี้หวังว่า มันจะสามารถกวาดยอดขายเพิ่มเป็น 8,000 คันต่อเดือน

ความมั่นใจในตัวเลขยอดขายที่จะเพิ่มมากขึ้น ท่ามกลางสภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจโลกนี้ เป็นผลมาจากความเชื่อมั่นในตัวสินค้า โปรดักส์ที่มีความสดใหม่ มีการออกแบบดีไซน์ ลวดลาย การตกแต่ง และใส่เทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาอย่างครบครัน ไม่เพียงเท่านั้นแผนการตลาดที่มีการบรรจุเข้ามาในการรุกครั้งนี้ ก็มาแบบเต็มพิกัด

เริ่มตั้งแต่การกระตุ้นยอดขายด้วยเซลส์โปรโมชั่น ที่จะทำร่วมกับดีลเลอร์กว่า 270 แห่งทั่วประเทศ ด้วยการมอบกิ๊ฟต์เซ็ทมูลค่า 1,800 บาทให้กับลูกค้าผู้ซื้อรถมีโอทุกรุ่น ไม่เพียงเท่านั้นรูปแบบของการสื่อสารทางการตลาดที่ถือว่าเป็นจุดแข็งของยามาฮ่า คือ การนำเอาพรีเซ็นเตอร์เข้ามาช่วยในการสื่อถึงภาพลักษณ์ของตัวสินค้า โดยรุ่นมีโอ ที่ผ่านมาจะมีศิลปินวงแคลช เป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่ในรุ่นใหม่นี้ได้มีการตอกย้ำภาพลักษณ์ของตัวสินค้าให้มีความชัดเจน และ ขยายฐานกลุ่มผู้บริโภคให้มากขึ้น จึงมีการดึงเอาศิลปินน้องใหม่อีก 2 กลุ่มเข้ามาร่วมได้แก่ เรโทรสเปค และ ดา เอ็นโดรฟีน

การตัดสินใจเพิ่มพรีเซ็นเตอร์เพื่อสื่อสารการตลาดกับผู้บริโภคในครั้งนี้ หลายคนมองว่าเป็นการดำเนินรอยทางที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วกับฟีโน่ ที่แต่เดิมมีการใช้พรีเซ็นเตอร์ กอล์ฟ – ไมค์ ซึ่งการตอบรับเบื้องต้นนั้น แม้จะอยู่ในระดับที่ดี แต่เมื่อมีการศึกษาถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคแล้วกลับพบว่า ฟีโน่ นั้นยังมีลูกเล่นอีกหลากหลาย

ความหลากหลายของฟีโน่จึงเป็นโจทย์ให้ฝ่ายการตลาดได้คิด และคำตอบที่ออกมาทำให้มีการเพิ่มพรีเซ็นเตอร์อีก 3 คนคือ ชิน , เต้ย และ พันช์ ซึ่งทั้ง 3 คนเมื่อมารวมกับกอล์ฟ – ไมค์ ทำให้รูปแบบของฟีโน่ของแต่ละคนนั้น มีรูปแบบแตกต่างกันไปตามสไตล์ของแต่ละคน ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ออกไป ก็สามารถสร้างกระแสให้ตลาดคัสตอมไมซ์ของมอเตอร์ไซค์โดยเฉพาะกับฟีโน่นั้นกลายเป็นฟีโน่ฟีเวอร์เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตามยามาฮ่ามองว่าแนวทางของมีโอใหม่ ที่มีการเพิ่มพรีเซ็นเตอร์นั้น รูปแบบคล้ายคลึงกับฟีโน่ แต่ต่างกันที่เป้าหมาย เพราะมีโอใหม่ ต้องมีการทำการตลาดที่แตกต่างเสมอ รวมไปถึงความแตกต่างนั้นจะต้องชัดเจนและสามารถขยายฐานผู้บริโภคได้

จินตนา อุดมทรัพย์ ผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการค้า บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า การตัดสินใจเพิ่มพรีเซ็นเตอร์ของรถในรุ่นนี้ เป็นไปตามแผนการตลาดของยามาฮ่า ที่มีนโยบายสร้างความแตกต่าง และแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาความนิยมในตัวรถและพรีเซ็นเตอร์จะเป็นไปอย่างที่ตั้งเป้าไว้ แต่การเพิ่มพรีเซ็นเตอร์ใหม่ในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะขยายกลุ่มผู้บริโภคให้กว้างมากขึ้น จากเดิมที่มีทาร์เก็ตเป็นกลุ่มวัยรุ่นชายอายุตั้งแต่ 15 – 24 ปี เมื่อมี 2 พรีเซ็นเตอร์ใหม่เข้ามา ก็จะเป็นการเพิ่มโอกาสและทางเลือก โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้บริโภคที่ชื่นชอบศิลปินแนวร็อครุ่นใหม่อย่าง เรโทรสเปค และ ดา เอนโดรฟีน

“พรีเซ็นเตอร์เดิมที่ใช้แคลชก็ยังคงอยู่ เพราะถือเป็นไอดอลของมีโอ และเป็นพรีเซ็นเตอร์ที่มีความแข็งแกร่งมาก ส่วนพรีเซ็นเตอร์ใหม่อย่าง เรโทรสเปคและดา นั้น มองว่าทั้งสองกลุ่มมีแฟนคลับที่เหนียวแน่นและตรงกับทาร์เก็ตของเรา ดังนั้นการเลือกทั้งสองมาสื่อภาพลักษณ์ของมอเตอร์ไซค์ในรุ่นใหม่ของเราก็จะเป็นการเพิ่มทางเลือกและขยายฐานของลูกค้าให้เป็นแมสมากขึ้น เพราะแต่เดิมแคลชจะมีภาพลักษณ์ของความเป็นผู้ใหญ่ ตัวพรีเซ็นเตอร์ใหม่เข้ามาก็จะเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่มีอายุน้อยลง มีความจี้ดจ้าด โฉบเฉี่ยวเหมือน เรโทรสเปค หรือ อาจจะเป็นกลุ่มที่ชื่นชอบความหลากหลาย มีสีสันในสไตล์ ดา เอนโดรฟีน ซึ่งในส่วนของดานั้น นอกจากจะได้กลุ่มที่มีสไตล์ที่แตกต่างแล้ว ยังเป็นการขยายฐานผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มผู้หญิงอีกด้วย “จินตนากล่าว

นอกจากการสร้างความแตกต่างให้กับตลาด ด้วยการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ พรีเซ็นเตอร์ใหม่แล้ว การนำเสนอของภาพยนตร์โฆษณาที่จะสื่อสารออกไปยังผู้บริโภคยังมีความแปลกใหม่ ด้วยการยกกองไปถ่ายทำใน 3 สถานที่ที่แตกต่างกัน แต่อยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์เดียวกันคือ MIO-Riding Beyond Imagination “มีโอ...การขับขี่เหนือจินตนาการ” โดยภาพยนตร์ชุดแรกที่นำเสนอคือวงแคลช มีการใช้สถานที่ของอลาสก้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงภายใต้อากาศที่หนาวเย็นแต่เมื่อมีจินตนาการและมีโอ การขับขี่ที่ร้อนแรงก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน

ขณะที่ชุดต่อไปที่นำเสนอโดยเรโทรสเปคนั้น ใช้สถานที่ของทะเลทราย เนวาด้า ซึ่งมีบรรยากาศที่ร้อนแรง นิ่งสงบ แต่เมื่อมีจินตนาการ มีโอก็สามารถสร้างความสนุกสนานเหนือทะเลทรายได้โดยไม่มีขีดจำกัด และ ภาพยนตร์โฆษณาชุดสุดท้ายที่นำเสนอผ่านดา เอ็นโดรฟีนนั้น ใช้สถานที่ของลาสเวกัส ที่จะเต็มไปด้วยสีสัน ความสดใส ซึ่งก็ตรงกับไลฟ์สไตล์และบุคลิกของพรีเซ็นเตอร์ และมีโอ ใหม่

ยามาฮ่ามองว่าการคัดเลือกศิลปินทั้ง 3 กลุ่ม เพื่อมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในครั้งนี้นั้น เป็นการสร้างคาแรกเตอร์ที่ชัดเจนให้กับรถในรุ่นต่างๆเมื่อผู้บริโภคเกิดความสนใจในพรีเซ็นเตอร์แล้วก็จะหันมาสนใจรถ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายเมื่อสนใจแล้วจะเกิดการศึกษาและจะกลายเป็นลูกค้าในอนาคต อย่างไรก็ตามกระบวนการก่อนที่จะตัดสินใจซื้อนั้นยังมีปัจจัยหลากหลายเข้ามาเกี่ยวข้อง อาทิ สมรรถนะการขับขี่ การออกตัว การเร่งแซง การตกแต่ง ซึ่งในส่วนของการแต่งรถนั้นถือเป็นไลฟ์สไตล์ของวัยรุ่นยุคใหม่ที่ต้องการบ่งบอกว่าตนเองชอบอะไร และเป็นสไตล์ไหน

ความหลากหลายและลูกเล่นที่ยามาฮ่ามักจะสื่อสารผ่านพรีเซ็นเตอร์นั้น ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะมีการเน้นการสื่อสารภาพลักษณ์ของตัวสินค้าผ่านพรีเซ็นเตอร์มาแล้วในทุกรุ่นทุกแบบ ซึ่งผลที่ออกมานั้นก็ออกดอกออกผลให้พวกเขาอย่างน่าพอใจ

“หลายคนมองว่ายามาฮ่าใช้งบประมาณกับพรีเซ็นเตอร์เยอะ ซึ่งจริงๆแล้ว เราพยายามใช้เงินให้คุ้มค่ามากที่สุด ทุกอย่างที่ใช้จ่ายเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ ถือว่าสมเหตุสมผล ส่วนที่หลายคนมองว่าเป็นค่ายที่ใช้พรีเซ็นเตอร์เยอะนั้น เรามองว่าพรีเซ็นเตอร์ของยามาฮ่าในทุกรุ่นจะมีคาแรกเตอร์ที่แตกต่างกันชัดเจน แม้ว่าศิลปินแต่ละคนจะมีแนวเพลงที่เป็นร็อกเกอร์ หรือป๊อปใส ๆ แต่ว่าการนำเสนอพรีเซ็นเตอร์ควบคู่กับตัวรถนั้น จะไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างในรุ่น สปาร์ค ที่มีบอดี้สแลม ก็จะมีกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบรถยนต์ในแบบเกียร์ธรรมดา ขณะที่ผู้บริโภคที่ชื่นชอบแคลช ก็จะเลือกมีโอ เพราะเป็นรถในเกียร์อัตโนมัติ หรือแม้แต่มีโอ ที่มีพรีเซ็นเตอร์ 3 กลุ่มก็จะมีการแบ่งกันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะลวดลาย ดีไซน์ ต่างๆ ใครชื่นชอบศิลปินคนไหน ก็ต้องสนใจรถยนต์ในแบบนั้นๆก่อน ตรงจุดนี้ถือเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่จะสื่อให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของตัวสินค้าให้เกิดความชัดเจน เรียกได้ว่าพรีเซ็นเตอร์เป็นเสมือนจิ๊กซอว์ตัวหนึ่งที่จะช่วยเติมเต็มยอดขายให้สมบูรณ์แบบได้”จินตนากล่าว

ถือเป็นไม้เด็ดส่งท้ายปีที่ของค่ายยามาฮ่า เพื่อประกาศถึงความพร้อมและความเป็นที่ 1 ในตลาดเกียร์อัตโนมัติอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งเมื่อมองดูตัวเลขยอดขาย อัตราการเติบโต รวมไปถึงส่วนแบ่งทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นเหนือคู่แข่งเบอร์ 2 และเบอร์ 3 ของตลาดแล้ว ก็ต้องบอกว่าไม้เด็ดของยามาฮ่าที่ปล่อยออกมานั้น แรงและได้ผลดีจริงๆ

ขณะที่ภาพรวมตลาดรถมอเตอร์ไซค์ในปี 2551 ตัวเลขรวม 11 เดือนตั้งแต่ ม.ค. – พ.ย.ยอดขายยังคงเติบโตด้วยปริมาณทั้งสิ้น 1,587,366 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 6 % เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยฮอนด้ายังครองอันดับ1ด้วยปริมาณยอดขาย 1,077,835 คัน เติบโต 3 % ครองส่วนแบ่งทางการตลาด 68 % ยามาฮ่าตามมาในอันดับ 2 ด้วยปริมาณยอดขาย 405,422 คัน เติบโต 18 % ครองส่วนแบ่งทางการตลาด 26 % และอันดับ 3 ซูซูกิ ด้วยปริมาณยอดขาย 76,333 คัน เติบโต 1% ครองส่วนแบ่งทางการตลาด 5 %

เมื่อแบ่งประเภทความนิยมในรถยนต์ในแบบต่างๆพบว่า แบบครอบครัว 817,493 คัน เติบโต 8 % หรือครองส่วนแบ่งทางการตลาด 51 % ขณะที่รถเอ.ที.มีปริมาณการขายทั้งสิ้น 708,628 คัน เติบโต 4 % ครองส่วนแบ่งทางการตลาด 45 % ,รถครอบครัวกึ่งสปอร์ต มีปริมาณการขายทั้งสิ้น 43,670 คัน เติบโตลดลง 10 % หรือครองส่วนแบ่งทางการตลาด 3 % และรถแบบสปอร์ต มีปริมาณการขายทั้งสิ้น 10,566 คัน เติบโต 3 % ครองส่วนแบ่ง 1 %

ส่วนรถมอเตอร์ไซค์รุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ ฮอนด้า เวฟ 100 ที่มียอดขายสะสม 417,196 คัน ,ฮอนด้า คลิก จำนวน 254,508 คัน ,ยามาฮ่า ฟีโน่ จำนวน 228,485 คัน,ยามาฮ่า มีโอ จำนวน 90,115 คัน และ ฮอนด้า เวฟ 100 เอ็กซ์ จำนวน 88,329 คัน   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us