ผู้แทนจำหน่ายยนต์ในตลาดรถหรูปรับตัวรับแนวโน้มเศรษฐกิจทรุดตัวปีหน้า ทั้งเล็งขยายสาขาเพิ่ม ปรับโลเคชั่น สร้างภาพลักษณ์ที่ดีเป็นรูปธรรม ดึงคนเข้าโชว์รูม รวมถึงการอัดแคมเปญกระตุ้นยอดขาย เวิร์น ออโตโมทีพ ดีลเลอร์ขาใหญ่ค่ายวอลโว่ ชูความพร้อมด้านเทคโนโลยีของอุปกรณ์และบุคลากรสู้ พร้อมตั้งเป้าโกยยอดขาย 80% ของวอลโว่ในกรุงเทพฯ ด้านมิลเลนเนียม ออโต้ ดีลเลอร์บีเอ็มดับเบิลยู ทุ่ม 30 ล้าน ปรับโฉมโชว์รูม อัดบริการดูดลูกค้า
“ในฐานะผู้จัดจำหน่ายรถยนต์วอลโว่รายใหญ่ในประเทศไทย บริษัทฯ ได้แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการต้อนรับลูกค้า ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ด้วยขนาดโชว์รูมที่กว้างขวางสะดวกสบาย พร้อมที่จอดรถกว่า 200 คัน อีกทั้งยังมีรถยนต์วอลโว่ทุกรุ่นให้ลูกค้าได้เลือกชมและทดลองขับก่อนตัดสินใจซื้อ” ประพันธ์ เย็นท่าเรือ ผู้อำนวยการฝ่ายยานยนต์วอลโว่ บริษัท แรงค์ พี.ที.โอคอร์เนอร์ จำกัด ในกลุ่มธุรกิจ Automotive Wearnes Volvo ประเทศไทย มีบริษัทแม่คือ Wearnes Internation Group กล่าว
เป้าหมายของ แรงค์ พี.ที.โอคอร์เนอร์ คือ การเป็นผู้จำหน่ายรถยนต์วอลโว่ รายใหญ่ที่สุดในเมืองไทย โดยในปี 2552 เขาต้องการทำยอดขายให้ได้ถึง 200 คัน หรือราว 35% ของยอดขายรถยนต์วอลโว่ทั้งหมด หากทำได้ก็จะทำให้แรงค์ พี.ที.โอคอร์เนอร์ กุมยอดขายรถยนต์วอลโว่เฉพาะในกรุงเทพฯได้มากถึง 80% ขณะที่ยอดขายรถยนต์วอลโว่ในปี 2550 มีอยู่ประมาณ 470 คัน และช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาในส่วนรถยนต์นั่งวอลโว่ก็ทำยอดขายได้ประมาณ 388 คัน
ประพันธ์ กล่าวอย่างมั่นใจว่า ด้วยคุณภาพ และจุดเด่นในเรื่องความปลอดภัยของรถยนต์วอลโว่ รุ่นต่างๆ ที่มีอยู่ รวมทั้งประสิทธิภาพของเครือข่ายการให้บริการ จาก 2 ศูนย์บริการหลักคือ สำนักงานหัวหมาก ย่านรามคำแหง และสาขาถนนลาดพร้าว 120 โดยมีจำนวนช่องซ่อมรวมกันทั้งหมด 100 ช่องซ่อม มาจากศูนย์หัวหมาก 60 ช่อง และลาดพร้าว 40 ช่อง
ไม่เพียงแค่นั้น แรงค์ พี.ที.โอคอร์เนอร์ ยังมีแผนจะขยายศูนย์บริการในอีก 4 พื้นที่กรุงเทพฯ ประกอบด้วยพระราม4, สุขุมวิท, สีลม และธนบุรี ซึ่งต้องมีเงินลงทุนเปิดศูนย์บริการสาขาละประมาณ 10 ล้านบาท อย่างไรก็ตามแผนขยายพื้นที่ให้บริการยังต้องพิจารณาแนวโน้มการลงทุนประกอบ ประพันธ์ มองว่า ก่อนถึงเวลานั้น เขามีแผนพัฒนาการให้บริการกับลูกค้าในแบบ แซทเทิ่ลไลท์ เซอร์วิส เป็นการใช้เทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนบริการที่มีอยู่ และลงทุนไม่มากนัก
“ข้อมูลของรถยนต์วอลโว่แต่ละคันจะถูกแชร์เข้าในข้อมูลเครือข่ายการให้บริการ เพราะฉะนั้นประวัติของรถแต่ละคันไม่ว่าจะเข้าไปใช้บริการที่ศูนย์บริการแห่งใดประเทศไทย ทุกแห่งจะมีข้อมูลประวัติการให้บริการเดียวกัน” ประพันธ์กล่าว และว่า
Wearnes Internation Group เป็นกลุ่มที่ดำเนินธุรกิจมานานกว่า 102 ปี โดยมีบริษัทในเครือดูแลธุรกิจหลายกลุ่ม อาทิ อสังหาริมทรัพย์, การเงินการธนาคาร, ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ , ธุรกิจปลีกและผู้แทนจำหน่ายสินค้าด้านการสื่อสารและไอที , เทคโนโลยีมัลติมีเดีย และธุรกิจยานยนต์ เป็นต้น โดยธุรกิจรถยนต์นั้น ทางบริษัทฯเป็นผู้นำเข้าและเป็นผู้จัดจำหน่ายรถยนต์วอลโว่ ในประเทศฮ่องกง และสิงคโปร์ สำหรับในประเทศไทยเป็นผู้จัดจำหน่ายรถยนต์วอลโว่ ตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา ประพันธ์ ระบุว่า ด้วยศักยภาพ ประสบการณ์ของกลุ่มบริษัทดังกล่าว น่าจะทำให้สามารถผลักดันให้แบรนด์รถยนต์วอลโว่ ในประเทศไทยกลับขึ้นมาเป็นแบรนด์รถยนต์ที่แข็งแกร่งได้ในอนาคตอันใกล้
อย่างไรก็ดีแบรนด์วอลโว่ ยังต้องแข่งขันกับรถยนต์คู่แข่งในตลาด โดยเฉพาะ 2 ค่ายใหญ่อย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์ และบีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งส่วนแบ่งตลาดของวอลโว่ ค่อนข้างห่างจาก 2 ผู้นำตลาดอย่างมาก แรงค์ พี.ที.โอคอร์เนอร์ จึงพยายามปรับแผนการตลาดตัวผลิตภัณฑ์ด้วยการ ให้ราคารถวอลโว่ มือ 2 ในราคาที่สูงกว่าตลาดทั่วไปประมาณ 30% ประพันธ์ มองว่า วิธีการนี้จะช่วยให้ลูกค้าวอลโว่มีความมั่นในราคาขายต่อของตัวผลิตภัณฑ์ ทำให้ราคาไม่ตกลงไปมากนัก เมื่อเทียบกับรถคู่แข่ง ในเวลาเดียวกันก็จะพัฒนาแผนกรถยนต์มือ 2 เพื่อรองรับแผนผลิตภัณฑ์ดังกล่าวด้วย
การปรับปรุงโชว์รูมด้วยการออกแบบให้มีความสวยงาม เป็นจุดขายอีกอย่างหนี่งที่ประพันธ์มองว่าจะเป็นตัวดึงดูดคนให้เข้ามาเยี่ยมชมรถยนต์ในโชว์รูมได้ด้วยเช่นกัน
แต่ใช่ว่า ดีลเลอร์วอลโว่ เท่านั้นที่เริ่มพัฒนาตัวเองขึ้นมา ช่วยบริษัทผู้ผลิตและนำเข้า ขยายตลาดรถยนต์ของตนเอง ค่าย บีเอ็มดับเบิลยู (ประเทศไทย) จำกัด ก็มี มิลเลนเนียม ออโต้ เป็นตัวแทนจำหน่ายหลักรายใหญ่ในกรุงเทพฯ รวมทั้งยังเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์มินิ อย่างเป็นทางการเพียงรายเดียวของบีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ลงทุนพัฒนาโชว์รูมและศูนย์บริการของตนเองด้วยงบประมาณกว่า 30 ล้านบาท
สัณหวุฒิ ธรรมชวนวิริยะ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท มิลเลนเนียม ออโต้ บอกว่า งบประมาณดังกล่าวเป็นการใช้สำหรับปรับภาพลักษณ์โชว์รูม ที่ถนนลาดพร้าว ให้มีความทันสมัย รวมไปถึงการปรับโชว์รูมสยามพารากอนให้เป็นโชว์รูมสำหรับเอ็ม คอนเซปต์และอินดิวิดวล โชว์รูมแห่งเดียว ของประเทศไทย
นอกจากนี้ยังเปิดให้บริการดูแลรถยนต์ของลูกค้า และบริการด้านประกันภัยแบบครบวงจรเสริมด้วย สัณหวุฒิ กล่าวว่า 10 เดือน ที่ผ่านมา บริษัทมียอดจำหน่ายไปแล้ว 635 คัน และมียอดจำหน่ายรถยนต์มือสองโต 25% ขณะที่รถยนต์มินิเองยอดถึงสิ้นเดือนตุลาคม ทำได้ 303% โตขึ้น 10% จากปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะทำยอดขายรวมปีนี้ได้ 360 คัน ขณะที่ลูกค้ารถยนต์มือสองตลาดนี้ ก็เติบโตถึง 316% เช่นกัน
การปรับตัวของดีลเลอร์ทั้ง 2 แบรนด์ เป็นแนวโน้มของการออกมาสร้างอำนาจการแข่งขันให้กับแบรนด์ของตัวเอง เป็นการช่วยสนับสนุนให้กับค่ายผู้ผลิตทั้ง วอลโว่ และบีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งหากมองในด้านความแข็งแกร่งแล้ว บีเอ็มฯ ยังเหนือกว่าอยู่มากพอสมควร และเป้าหมายของเขาต้องการขยับยอดขายตัวเอง ขึ้นไปปะทะกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ ผู้ที่ครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์หรูมากที่สุดในเวลานี้
ในปี 2551 เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเมินว่า ตลาดรถยนต์ระดับหรูมีปริมาณกว่า 700,000-800,000 คัน หรือราว 10% ของตลาดรวมรถยนต์ของเมืองไทย โดยเมอร์เซเดส-เบนซ์ ครอบส่วนแบ่งตลาดที่สุดราว 50%โวล์ฟกัง ฮุบเพ็นบาวเออร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดสเบนซ์(ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า บริษัท ฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาความเป็นผู้นำต่อไป ด้วยประวัติศาสตร์การดำเนินธุรกิจมายาวนานในประเทศไทย และความเข้มแข็งของทีมงาน
โดยเฉพาะการสนับสนุนการทำธุรกิจของตัวแทนจำหน่ายต่างๆ เบนซ์มีส่วนช่วยพัฒนาการให้บริการของดีลเลอร์มาโดยตลอด เบนซ์มีการสร้างแผนการพัฒนาผู้แทนจำหน่าย ทุกๆ 6 เดือน เพื่อให้ผู้แทนจำหน่ายพัฒนาการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเร็วๆ นี้ได้ลงทุนในโครงการ ONE ROOF เป็นการนำศูนย์บริการกลาง ศูนย์อะไหล่กลาง และ VPC (VEHICLE PROCESSING CENTER) มารวมอยู่ด้วยกัน ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารงาน และสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าได้มากขึ้น
การครองความเป็นเจ้าตลาด ทำให้ดีลเลอร์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ทำงานได้ง่ายขึ้น ผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่ต้องการ ทำให้ดีลเลอร์แต่ละรายมีศักยภาพใกล้เคียงกัน แม้แต่ดีลเลอร์ในต่างจังหวัด ก็สามารถทำยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นแรงผลักดันให้แต่ละราย สร้างความสามารถ และความแข็งแกร่งในการให้บริการได้เท่าเทียมกัน
ปัจจุบัน เมอร์เซเดส-เบนซ์ มีตัวแทนจำหน่าย 33 แห่งทั่วประเทศ อยู่ในเขตกรุงเทพ ฯ และปริมณฑล 18 แห่ง และอีก 15 แห่งกระจายอยู่ในต่างจังหวัด นอกจากนี้ยังมีรถโมบายล์ เซอร์วิศ สำหรับให้บริการในพื้นที่ที่ไม่มีศูนย์บริการของบริษัท ฯ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า ฮุพเพนเบาเอร์ บอกว่า เบนซ์ยังไม่มีแผนเพิ่มจำนวนตัวแทนจำหน่ายในขณะนี้
“เราเชื่อว่าแม้เศรษฐกิจในปีหน้าของไทยจะถดถอยตามภาวะวิกฤติเศรษฐกิจการเงินโลก แต่ด้วยความเชื่อมั่นในคุณภาพสินค้าและมาตรฐานการบริการหลังการขายของผู้จำหน่ายทุกแห่งจะเป็นจุดแข็งที่เราสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน”ฮุบเพ็นบาวเออร์ กล่าวในงานประชุมผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ประจำปี เมื่อกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
ในตลาดรถยนต์ระดับหรูนั้น กลุ่มยนตรกิจ ก็มีรถยนต์อยู่ในตลาดหลายแบรนด์ด้วยเช่นกัน และหลังการปรับโครงสร้างภายในครั้งใหญ่ของกลุ่มกงสีดีลเลอร์ค้ารถยนต์รายใหญ่ของเมืองไทยก็มีการปรับตัว เพื่อสร้างยอดขายให้กับแบรนด์รถยนต์หรูที่อยู่ในมือ ทั้ง เปอร์โยต์, ซีตรอง, ออดี้ และโฟล์คสวาเกน
กิตติ มาไพศาลสิน กรรมการบริหาร บริษัท เยอรมัน มอเตอร์ เวอร์ค จำกัด บริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ออดี้ และโฟร์คสวาเกน ที่ตั้งขึ้นใหม่ภายใต้กลุ่มยนตรกิจ บอกว่า หลังจากนี้ไป เราจะเห็นการทำตลาดของออดี้ชัดเจนมากขึ้น หลังโครงสร้างในกลุ่มยนตรกิจลงตัวเกือบหมดแล้ว ขณะเดียวกันบริษัทยังได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแม่ ออดี้ เอจี เยอรมนี อย่างเต็มที่ ซึ่งตรงนี้จะทำให้การขยายตลาดของออดี้ในไทยชัดเจนมากยิ่งขึ้น
แต่ดูเหมือนว่า สิ่งกลุ่มยนตรกิจให้ความสำคัญดูจะให้น้ำหนักไปที่ตัวผลิตภัณฑ์ มากกว่าการปรับปรุงโลชั่นของโชว์รูม รวมถึงการให้บริการในฐานะตัวแทนจำหน่าย โดยกลุ่มยนตรกิจประกาศถึงความพร้อมในการนำรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดในหลายๆ เซ็กเมนท์ เพื่อชดเชยกับช่วงที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างภายใน ทำให้กลุ่มยนตรกิจ ขาดความต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามคงต้องรอดูการปรับปรุงแผนการให้บริการในฐานะผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ระดัยหรูรายใหญ่ของเมืองไทย ในสภาวะที่ต้องแข่งขันกับ ดีลเลอร์จากแบรนด์รถหรูรายใหญ่ ทั้งเมอร์เซเดส-เบนซ์, บีเอ็มดับเบิลยู และวอลโว่ ที่ต่างล่วงหน้าปรับตัวกันไปหมดแล้ว
|