ซี.พี.แลนด์เทงบพันล้านพร้อมลุยซื้อตึกออฟฟิศ หลังวิกฤตกระทบความเชื่อมั่น เจ้าของเร่ขายเพียบ ชะลอขายคอนโดที่พัทยา เตรียมปรับแผนใหม่ หลังวิกฤตซับไพรม์ซัดตลาดต่างชาติวูบ เบรคยาวนำที่ดินระยองทำนิคมอุตสาหกรรม

ความโดดเด่นของกลุ่มซี.พี. ที่ขึ้นแท่นในฐานะธุรกิจขนาดใหญ่ของไทย มีแขนขากระจายไปในหลายธุรกิจ แม้จะปีหน้าจะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว ทุกคนหนีไม่พ้นที่จะได้รับผลกระทบดังกล่าว และเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับดีเวลลอปเปอร์รายกลางและรายเล็ก แต่สำหรับซี.พี. แลนด์ที่มีความแข็งแกร่งในด้านเงินทุน ประสบการณ์ และแลนด์แบงก์ในปีหน้า แม้จะต้องเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังมากขึ้น แต่หัวเรือใหญ่ของซี.พี. แลนด์ก็ยังมั่นใจว่า ซี.พี.แลนด์ก็ยังต้องเติบโตอยู่ และยังสามารถเติบโตได้ทุกปี โดยคาดว่าปี 2551 รายได้ของซี.พี แลนด์จะเติบโตประมาณ 8%

ที่ผ่านมาการลงทุนของซี.พี. แลนด์ตลอด 20 ปีให้น้ำหนักไปที่การลงทุนอาคารสำนักงาน เพื่อเก็บเกี่ยวรายได้จากค่าเช่าเป็นหลัก ทำให้สัดส่วนรายได้มาจากการเช่ามากถึง 90% และในภาวะวิกฤตเศรษฐกิจขณะนี้ กับฐานะการเงินในตอนนี้ที่มั่นใจว่าแข็งแกร่งที่สุด เพราะมีเงินสดเหลืออยู่ในมือ ทำให้สุนทร อรุณานนท์ชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด เชื่อว่า เป็นจังหวะที่ดีที่ซี.พี. แลนด์จะลงทุนเพิ่มด้วยการซื้อตึกเก่า หรือตึกที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ทั้งอาคารสำนักงานและโรงแรม หลังจากวิกฤตซับไพรม์ขยายวงกว้าง กระทบเศรษฐกิจโลก ประกอบกับความเชื่อมั่นลดลง จนทำให้เจ้าของอาคารสำนักงาน โรงแรมทั้งไทยและต่างชาติที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตนำตึกมาเสนอขายมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา

“เรากำลังอยู่ระหว่างพิจารณาซื้อตึกเข้ามาใหม่ สนใจทั้งตึกเก่าที่มีคนเช่าอยู่แล้ว หรือตึกที่กำลังสร้างอยู่แต่มีปัญหา ซึ่งต้นทุนถูกกว่าการไปเริ่มต้นซื้อที่ดินสร้างใหม่เอง ทั้งต้นทุนราคาที่ดิน ราคาวัสดุ ยังไงของที่ทำมาก่อนหน้านี้ก็ถูกกว่า ตอนนี้หลายตึกก็ขายแบบมีส่วนลด ทำแบบนี้จะทำให้เราคืนทุนเร็วกว่าไปสร้างตึกใหม่เอง ซึ่งใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี และเดิมเราก็เชี่ยวชาญ มีธุรกิจบริหารออฟฟิศให้เช่า โรงแรมอยู่แล้ว” สุนทรกล่าว

ในขณะที่ความซบเซาของเศรษฐกิจจะกระทบต่อการขยายตัวของดีมานด์การเช่าอาคารสำนักงานในปีหน้า แต่ซี.พี. แลนด์กลับยังมีมุมมองที่เป็นบวกต่อตลาดอาคารสำนักงาน เพราะธุรกิจในเครือซี.พี. ซึ่งเป็นผู้เช่ารายใหญ่ของซี.พี. แลนด์ก็ยังมีดีมานด์ต้องการขยายพื้นที่เช่าเพิ่มอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากปัจจุบันบางบริษัทในเครือขยายตัวมาก จนมีพื้นที่ในอาคารเดียวกันไม่พอ ต้องไปเช่าอาคารใกล้เคียงเพิ่ม รวมถึงผู้เช่าประจำรายอื่นๆ นอกเครือ เช่น สถาบันการเงิน ประกันภัย ประกันชีวิตก็ยังมีแผนจะขยายพื้นที่สำนักงานอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ผู้เช่าส่วนใหญ่เกินครึ่งหนึ่งเป็นบริษัทในเครือ ทำให้การย้ายออกมีไม่มากนัก ทำให้ซี.พี. แลนด์มั่นใจว่าหากซื้ออาคารสำนักงานใหม่เข้ามาในมือ ก็มีตลาดเช่ารองรับอย่างแน่นอน ซึ่งซี.พี. แลนด์เตรียมงบสำหรับลงทุนในส่วนนี้กว่าพันล้านบาท

ส่วนโครงการเดอะ เฌอ คอนโดมิเนียมกลางเมืองพัทยา รวม ยูนิต มูลค่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งร่วมทุนกับบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ธุรกิจส่วนตัวด้านอสังหาริมทรัพย์ของทิพาภรณ์ เจียรวนนท์ บุตรสาวธนินท์ เจียรวนนท์ หลังจากเกิดวิกฤตครั้งใหญ่ที่กระทบต่อผู้ซื้อต่างชาติและตลาดท่องเที่ยว ทำให้บริษัทฯ หยุดการขายโครงการชั่วคราว ขณะนี้อยู่ระหว่างปรับแผนใหม่ ยังไม่มีกำหนดแน่นอนว่าจะเปิดขายอีกครั้งในช่วงใด แต่จะรอให้สถานการณ์ปรับดีขึ้นก่อน โดยจะกำหนดรูปแบบสินค้า ราคาขาย และกลุ่มเป้าหมายใหม่ทั้งหมด จากเดิมที่เน้นกลุ่มเป้าหมายเป็นชาวต่างชาติครึ่งหนึ่ง และจะเปิดขายรวม 3 เฟส ทำให้การรับรู้รายได้ต้องเลื่อนออกไปจากเดิมอีกระยะหนึ่ง

นอกจากนี้แลนด์แบงก์ของกลุ่มซี.พี. ที่ จ.ระยอง รวม 3,000 ไร่ ซึ่งเคยมีแผนจะพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรมตั้งแต่ก่อนปี 2540 แต่หยุดชะงักไปหลังเกิดวิกฤต สุนทรกล่าวว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต้องชะลอแผนการออกไปอีกครั้ง โดยที่ดินดังกล่าวมีแผนจะพัฒนาเพื่อรองรับนักลงทุนรายใหญ่ในกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น ยานยนต์ ซึ่งจะใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ และมีอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เกี่ยวข้องกับการส่งออก ซึ่งที่ดินตั้งอยู่ใกล้มาบตาพุด สะดวกสำหรับการส่งสินค้าลงเรือ เบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบลงทุนรวม 6,500 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นการพัฒนาสาธารณูปโภค ซึ่งจะทยอยลงทุนเป็นเฟส

แผนการพัฒนาที่อยู่อาศัยของซี.พี. แลนด์ในปีหน้าจะยังเน้นจับกลุ่มเรียลดีมานด์ ในเซกเมนต์ 9 แสน-2 ล้านบาทเป็นหลัก โดยมีแผนจะลงทุนรวม 3 โครงการ เน้นโครงการแนวราบ คอนโดโลว์ไรส์ เป็นโครงการขนาดเล็ก มูลค่าโครงการละไม่เกิน 500 ล้านบาท ซึ่งสามารถจบโครงการ รับรู้รายได้และคืนทุนได้เร็ว เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์ในปีหน้า