* สงครามการต่อสู้รอบใหม่ทั้งในเชิงธุรกิจ-การเมืองกำลังเกิดขึ้น
* เมื่อ ทักษิณ ประกาศตั้ง DTV ท้าชน ASTV โดยตรง!
* ทุน-เทคโนโลยี่-คน- เนื้อหา ถูกจัดสรรอย่างเป็นระบบ
* พร้อมดึงแนวร่วมคนดังจากช่อง 3-5-7-9-NBT-PTV ร่วมสถานีข่าวบนโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมจานเหลือง
* ขณะที่ ASTV วางแผนบุกในทุกมิติเพื่อรักษาฐานเดิมและเพิ่มผู้ชมรายใหม่
* ส่วนทีวีดาวเทียมช่องอื่น ๆต่างปรับกลยุทธ์สู้สงครามข่าวสารทุกด้าน....
ภายใต้สถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดวิกฤติในตัวอดีตผู้นำประเทศอย่างทักษิณ ชินวัตร ที่กุมเสียงในสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างเบ็ดเสร็จ และจัดวางบุคคลแทรกเข้าไปในทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ด้วยเหตุที่สามารถกุมอำนาจรัฐและอำนาจเงิน จนไม่มีหน่วยงานใดกล้าที่จะแสดงความเห็นคัดค้าน
แม้กระทั่งสื่อมวลชนเองที่เดิมกลุ่มชินคอร์ปได้ถือหุ้นใหญ่ในสถานีโทรทัศน์ไอทีวี เมื่อพรรคไทยรักไทยถูกยุบพรรค ตามมาด้วยการยึดอำนาจในวันที่ 19 กันยายน 2549 สถานีโทรทัศน์ไอทีวีถูกจัดระเบียบใหม่ให้กลายเป็นทีวีสาธารณะ
หลังจากนั้นคนของไทยรักไทยในนามของพลังประชาชนกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ด้วยการนำของสมัคร สุนทรเวช คราวนี้ได้ชุบชีวิตสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์กลายเป็น NBT ที่มีโฆษณาได้เหมือนกับช่องทั่วไป พร้อมทั้งทำหน้าที่สนับสนุนงานของรัฐบาลพร้อมทั้งเพิ่มบทบาทตรวจสอบฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล ด้วยทีมงานของไอทีวีเดิมที่มีแนวความคิดเดียวกับแนวทางของไทยรักไทยและพลังประชาชน มีทั้งจิรายุ ห่วงทรัพย์และตวงพร อัศววิไล
ขณะที่อีกหลายส่วนของทีมงานไอทีวีเดิมที่กระจายกันไปตามสถานีโทรทัศน์ช่องอื่น ไม่ว่าจะเป็นช่อง 3 ของตระกูลมาลีนนท์ ที่เคยเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลไทยรักไทยมาก่อน ที่มีอัฌชา สุวรรณปากแพรก ไปเป็นที่ปรึกษาให้กับทีมข่าวของช่อง 3 รวมถึงผู้ประกาศหญิงคนดังอย่างสายสวรรค์ ขยันยิ่ง มาสมทบกับสรยุทธ สุทัศนะจินดา ที่กลับมาช่องนี้อีกครั้ง
ขณะที่ช่อง 5 มีจักรพันธ์ ยมจินดา อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคไทยรักไทยไปจัดรายการข่าวสถานีสนามเป้า ช่อง 7 ได้นารากร ติยายนและเชิงชาย หว่างอุ่น เข้ามา ช่อง 9 ได้ทีมของกิติ สิงหาปัดเข้าไป ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับช่อง 3
ทำให้ทิศทางข่าวในช่วงที่มีพรรคพลังประชาชนเป็นผู้บริหารประเทศเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ความเสียหายจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถูกรายงานอย่างต่อเนื่อง อาจจะเว้นแต่สถานีโทรทัศน์ไอทีวีเดิมที่ปรับโฉมเป็นไทยพีบีเอส ที่นำเสนอความเคลื่อนไหวทั้งกลุ่มพันธมิตรและกลุ่มแนวร่วมประชาชนประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ทำถูกกลุ่มคนเสื้อแดงไม่พอใจในการรายงานข่าว
ทางออกในการรับรู้ข่าวสารที่ถูกจำกัด โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมอย่าง ASTV ที่เรียกตัวเองว่าเป็นสื่อเลือกข้างจึงได้รับความนิยมมาตั้งแต่รายงานข้อเท็จจริงความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการบริหารงานของรัฐบาลไทยรักไทย และก่อให้เกิดการรวมตัวกันของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
แม้ได้รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งอย่างพรรคพลังประชาชน ทั้งนายกรัฐมนตรีที่ชื่อสมัคร สุนทรเวชและสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ASTV ยังคงทำหน้าที่ได้รายงานถึงความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลในหลากหลายมิติ
ความนิยมในการรับชมรายการสถานีข่าวผ่านดาวเทียมมีมากขึ้นตามลำดับ ผู้คนตามจังหวัดต่าง ๆ ที่รับชมเคเบิ้ลท้องถิ่นอยู่แล้ว ได้เรียกร้องให้ผู้ประกอบการเคเบิ้ลนำเอาสัญญาณของ ASTV มาเผยแพร่ด้วย จนกลายเป็นจุดขายของผู้ประกอบการติดตั้งเคเบิ้ลทีวีแล้วมีช่องสนธิให้ชมด้วย ทำให้ฐานผู้ชมสถานีข่าวผ่านดาวเทียมเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ
แม้จะมีความพยายามสกัดกั้นของฝ่ายรัฐบาลทุกรูปแบบ แต่ผู้ประกอบการเคเบิ้ลก็ต้องเลือกว่าหากถอดรายการของ ASTV ออกก็ต้องเสี่ยงกับการถูกยกเลิกการรับชมจากลูกค้า ทำให้ภาครัฐต้องหาทางแก้ด้วยการผุดสถานีโทรทัศน์ PTV ขึ้นมาเป็นคู่ต่อกร
เมื่อสงครามข่าวระหว่างสถานีข่าวของกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลไทยรักไทย-พลังประชาชนกับสถานีข่าวของรัฐบาลต่างนำเสนอข้อบกพร่องของแต่ละฝ่าย ทำให้เป็นการดึงคนดูให้มาสนใจในสถานีข่าวทางเลือกในดาวเทียมมากยิ่งขึ้น
ปัจจัยเอื้อ
เมื่อผู้คนโหยหาข้อเท็จจริงมากขึ้น กระแส ASTV เริ่มแรงขึ้น ประกอบกับกฎหมายใหม่อนุญาตให้เคเบิ้ลทีวีมีโฆษณาได้ จานดาวเทียมและอุปกรณ์มีราคาที่ถูกลงมาก ทำให้มีผู้ประกอบการรายอื่นเริ่มโดดลงมาเล่นในสมรภูมิทีวีดาวเทียมมากยิ่ง แม้รายเดิมที่เคยออกอากาศผ่านเสาอากาศเฉพาะอย่าง เนชั่นแชลแนล ก็ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการออกอากาศย้ายมาที่ดาวเทียมเช่นเดียวกัน
จากนั้น POST TV ของกลุ่มบางกอกโพสต์ ที่มีรายการ”สุรนันท์วันนี้”เป็นจุดขาย ด้วยพิธีกรแปลงโฉมจากนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกลายมาเป็นสื่อมวลชนของสุรนันท์ เวชชาชีวะ
ตามมาด้วยการตัดรายการข่าวของทรูวิชั่นส์มาลงในจานดาวเทียมอย่าง TNN24 สถานีข่าว 24 ชั่วโมงที่เริ่มปล่อยสัญญาณมาในช่วงกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา และในปี 2552 นี้ค่ายมีเดียออฟมีเดียส์ของช่อง 7 จะออกอากาศข่าวผ่านทีวีดาวเทียมด้วยทีมงานของอดีตคนข่าวไอทีวี และยังมีอีกหลายกลุ่มที่เตรียมทำทีวีดาวเทียม
ปัจจุบันทีวีดาวเทียมมีช่องรายการที่นำเสนอรายการข่าวเป็นหลักราว 5 ช่องหลัก ประกอบด้วย ASTV, PTV, Nation Channel, Post TV และ TNN ที่เริ่มออกอากาศช่วงกลางเดือนธันวาคม 2551 และปี 2552 เป็นคิวของค่ายมีเดีย ออฟ มีเดียส์
ช่องใหม่ท้าชน ASTV
แหล่งข่าวจากวงการโทรทัศน์กล่าวว่า ในปี 2552 นี้คาดว่าค่ายมีเดีย ออฟมีเดียส์ของชาลอต โทณวณิก คงเริ่มออกอากาศสถานีข่าวผ่านดาวเทียมก่อนค่ายอื่น หลังจากที่เตรียมทีมมาระยะหนึ่งในรายการ”เกาะเจาะติด”ทางช่อง 7 ที่จะมีเชิงชาย หว่างอุ่น เป็นหัวหน้าทีม
แต่ที่น่าสนใจคือมีการเคลื่อนไหวหาทีมงานเพื่อจัดตั้งทีมข่าวของค่ายจานเหลืองหรือ DTV ที่เปิดขายมาตั้งแต่กลางปี 2550 ที่มียอดขายมาแรง เนื่องจากราคาถูกกว่าจานดาวเทียมประเภทเดียวกันและรับสัญญาณฟรีทีวีได้เช่นเดียวกับจานของสามารถและทรูวิชั่นส์ รวมถึงรายการทางช่องดาวเทียมไทยคม KU BAND และมี 2 รายการพิเศษให้เลือกชมคือภาพยนตร์และสารคดีแต่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเล็กน้อย
แม้จะดูว่า DTV เป็นผู้ขายจานดาวเทียมรายเล็ก ๆ คงคิดผิด เนื่องจากเป็นของบริษัท ดีทีวีเซอร์วิส หรือชื่อเดิมคือบริษัท ชิน บรอดแบนด์ อินเตอร์เนต (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทลูกของบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นในไทยคมอยู่ 41.27% แม้จะมีกลุ่มเทมาเส็กจากสิงคโปร์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ หลังจากที่ครอบครัวชินวัตรขายหุ้นออกไป แต่ผู้บริหารส่วนใหญ่ยังเป็นทีมเดิมที่ร่วมทำงานกับครอบครัวชินวัตรมาโดยตลอด
แหล่งข่าวกล่าวต่อไปว่า เนื่องจากไทยคมเป็นผู้ให้บริการดาวเทียมไทยคม ดังนั้นการเปิดธุรกิจขายจานดาวเทียมจึงเป็นสิ่งที่สอดรับกับธุรกิจหลัก หลังจากที่ปล่อยให้คนอื่นขายจานดาวเทียมมานาน ที่ผ่านมาจาน DTV ผลตอบรับดีจากราคาขายจานและอุปกรณ์ครบชุดที่ 1,925 บาท(ไม่รวมค่าติดตั้งราว 1,500 บาท) ซึ่งเป็นช่วงจังหวะที่ตลาดจานดาวเทียมกำลังบูม
“ตอนนี้ DTV มีการทาบทามคนในวงการข่าวจากฟรีทีวีและทีวีดาวเทียมที่มีอยู่ให้เข้ามาร่วมงาน เนื่องจากมีแผนที่จะเปิดสถานีข่าวเหมือนกับค่ายอื่น เชื่อว่าอีกไม่นานคงเป็นรูปเป็นร่างและสามารถออกอากาศได้”
ตอนนี้ค่าย DTV คงต้องรีบจัดทีมงานให้ได้โดยเร็ว เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้มีการพลิกขั้ว ประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล พรรคพลังประชาชนในชื่อของพรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกคนใหม่ที่ดูแลสื่อโดยตรงอย่างสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ก็ออกมาเปรยถึงเรื่องสัญญาที่ไม่ถูกต้องระหว่างสถานีโทรทัศน์ NBT กับบริษัทดิจิตอล มีเดีย โฮลดิ้งส์ ที่เข้ามาเป็นผู้ดำเนินรายการข่าวหลักในช่องนี้นับตั้งแต่รัฐบาลของสมัคร สุนทรเวชและสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จนถึงปัจจุบัน
หากทีมข่าวชุดนี้มีเหตุที่ต้องพ้นจาก NBT ก็จะเข้าไปทำหน้าที่ในสถานีข่าวแห่งใหม่ได้ทันที รวมถึงการดึงทีมงานเดิมของพีทีวีที่รายการความจริงวันนี้ต้องหายไปจากช่อง 11 เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาล ที่ไปออกอากาศที่ทีวีดาวเทียมช่อง MVTV
“ทีมข่าวของ DTV ตัวสถานีและเจ้าของไม่แตกต่างไปจากสมัยที่เป็นไอทีวีที่ชินคอร์ปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ทั้งคนและเจ้าของต่างมีอุดมการณ์เหมือนกัน งานนี้เท่ากับว่าเป็นการท้าชน ASTV โดยตรง”
ทรูฯ ลักไก่
สำหรับรายล่าสุดที่ทดลองออกอากาศคือ TNN24 ของทรูวิชั่นส์นั้น จะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในต้นปี 2552 โดยเป็นการแบ่งรายการลงมาในทีวีดาวเทียม
“ผู้จัดการ360รายสัปดาห์” ได้พยายามขอสัมภาษณ์ผู้บริหารของทรูวิชั่นส์ถึงเหตุผลในการโดดมาร่วมวงสถานีข่าวในระบบจานดาวเทียมผ่านทางฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทมาโดยตลอด แต่ได้รับคำตอบว่าผู้อำนวยการสถานีคือสมพันธ์ จารุมิลิน ติดงานต่าง ๆ จึงไม่ได้รับคำตอบจากผู้บริหารของบริษัท
แต่จากการชมรายการ TNN24 ที่ออกอากาศบนดาวเทียม NSS6 ระบบ KU BAND พบว่ามีโฆษณาคั่นรายการและผู้ที่ลงโฆษณาจะเป็นระดับพรีเมี่ยมเช่น กลุ่ม ปตท. ค่ายรถยนต์ และบริษัทขายตรงอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย
แหล่งข่าวให้ข้อมูลว่า TNN24 เป็นสถานีข่าว 24 ชั่วโมง เดิมคือ UBC7 ที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมจากลูกค้าของทรูฯ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงและมีงบประมาณเพิ่มเข้ามา จึงทำให้จำนวนผู้ชมของทรูฯ เริ่มหันมาให้ความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงเหตุการณ์การชุมนุมที่รายงานได้หลากหลายแง่มุมและรวดเร็วกว่าฟรีทีวี
นอกจากนี้ยังเพิ่มความน่าสนใจด้วยการดึงเอาผู้ประกาศของฟรีทีวีช่องทางต่าง ๆ ที่ไม่ได้ทำงานประจำมาอ่านข่าวให้ เพื่อดึงผู้ชมมากขึ้น ถึงวันนี้ช่อง TNN24 ได้รับความสนใจจากสมาชิกทรูฯ ติดอันดันหนึ่ง แซงรายการอื่น ๆ ที่มีอยู่ในเวลานี้
เมื่อสอบถามถึงการออกอากาศบนทีวีดาวเทียมนั้น ได้รับข้อมูล TNN ตั้งโดยอีกบริษัทหนึ่งทำให้ไม่ขัดต่อสัญญาที่มีไว้กับ อ.ส.ม.ท. และ TNN24 สำหรับสมาชิกของทรูฯ ก็ไม่มีโฆษณาแต่อย่างใด
ขณะที่ฝ่ายผู้ให้สัมปทานอย่างอ.ส.ม.ท. ให้ข้อมูลว่า แม้ว่ากฎหมายใหม่จะเปิดให้เคเบิ้ลทีวีมีโฆษณาได้ 6 นาทีต่อชั่วโมง แต่สัญญาที่มีต่อกันนั้นเกิดขึ้นก่อนกฎหมายมีผลบังคับใช้ จึงต้องเป็นเรื่องของ 2 ฝ่ายคือ อ.ส.ม.ท.และทรูฯ จะต้องมาหาข้อยุติในเรื่องนี้
“ขณะนี้ข้อตกลงเรื่องการให้ทรูฯ มีโฆษณาได้กับอ.ส.ม.ท.นั้นยังไม่ได้ข้อสรุป ดังนั้นทรูฯ จึงมีโฆษณาไม่ได้”
สำหรับการนำเอาช่องรายการที่ออกอากาศในทรูฯ ไปออกอากาศในจานดาวเทียมนั้น เราถือว่า TNN เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงในสัมปทาน การนำไปออกอากาศที่อื่นจึงต้องผ่านข้อตกลงร่วมกัน แต่ไม่ได้มีการนำเอาเรื่องนี้มาหารือกับอ.ส.ม.ท.
ต้นเหตุ”วสันต์”กระเด็น
แหล่งข่าวจาก อ.ส.ม.ท.กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา อ.ส.ม.ท.ในฐานะผู้เสียประโยชน์จากการที่คู่สัญญาดำเนินกิจกรรมทางการตลาดทำให้ขาดรายได้ไปไม่น้อย ซึ่งเรื่องนี้ได้มีการทำหนังสือเตือนไปยังทรูฯ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ
เขายกตัวอย่างให้ดูว่า อ.ส.ม.ท.เสียประโยชน์อย่างไร เริ่มที่กรณีการนำเอาจานแดงของทรูไปขายขาดที่ราคา 3,990 บาท โดยผู้ที่ซื้อไปไม่ต้องจ่ายรายเดือน หรือการใช้โปรโมชั่นค่าโทรศัพท์มือถือของทรูมูฟแลกค่าดูเดือนละ 300 บาท จากรายได้ควรที่จะเข้ามาที่ อ.ส.ม.ท.ก็กลายไปอยู่กับทรูมูฟซึ่งเป็นบริษัทแม่ของทรูวิชั่นส์
ข้อตกลงเรื่องการแบ่งรายได้ที่ 6.5% หักค่าใช้จ่ายของ อ.ส.ม.ท.ที่พึงได้หายไป ยิ่งโปรโมชั่นนี้ประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่ รายได้ของเราก็หายไปเท่านั้น เรื่องนี้ฝ่ายบริหารของ อ.ส.ม.ท.ได้ทักท้วงมาโดยตลอด แต่ติดขัดที่บอร์ดชุดใหม่ที่เพิ่งเข้ามาจากพรรคพลังประชาชน ทำให้วสันต์ ภัยหลีกลี้ ต้องพ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ด้วยเหตุผลที่แนวทางในการทำงานไม่ตรงกับบอร์ด
ASTV ไม่หวั่นย้ำจุดยืน
สมรภูมิของสถานีข่าวบนจานดาวเทียมที่เริ่มมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามามากขึ้น ช่อง 9 อ.ส.ม.ท.ออกอากาศช่อง MCOT1 และ MCOT2 แล้ว หลังจากที่เคยออกอากาศในทรูวิชั่นส์ หรือค่ายของ POST TV ก็มีความพยายามย้ายกลับมาออกอากาศในระบบ C BAND อีกครั้ง มีเดีย ออฟ มีเดียส์ จ่อคิวปี 2552 ขณะที่ช่อง 3 เองก็เตรียมการสถานีข่าวบนดาวเทียมเช่นกัน โดยมีสรยุทธ สุทัศนจินดาเป็นหัวหอก รวมถึงค่าย DTV ที่ดำเนินการในเรื่องนี้อย่างเร่งรีบ
การเพิ่มขึ้นของสถานีข่าวบนโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมที่จะเชื่อมต่อไปยังธุรกิจเคเบิ้ลทีวีท้องถิ่น ที่มีจำนวนผู้ชม 3.5 ล้านครัวเรือนหรือมากกว่า 13 ล้านคน ย่อมส่งผลต่อการแข่งขันของผู้ประกอบการบนทีวีดาวเทียมและกระทบต่อรายการข่าวทางฟรีทีวีไม่น้อย รวมไปถึงการช่วงชิงเม็ดเงินโฆษณามาจาก 5 ช่องหลักบนฟรีทีวี
ท่ามกลางการผุดสถานีข่าวบนโทรทัศน์ดาวเทียมที่รายใหญ่ทุนหนาเริ่มที่จะดาหน้าเข้ามาในพื้นที่แห่งนี้ เจ้าตลาดที่บุกเบิกสถานีข่าวบนจานดาวเทียมอย่าง ASTV จะมองเรื่องนี้อย่างไร
ประเมนทร์ ภักดิ์วาปี ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ ASTV กล่าวว่า “เราไม่เหมือนกับคนอื่น เรามีจุดเด่นของเรา เรายืนคนละจุด เราเป็นสื่อเลือกข้าง เป็นทีวีประชาชน ผ่านการต่อสู้มาแล้ว”
ช่องฟรีทีวีมีข้อจำกัดในเรื่องการรายงานข่าว ไม่กล้าเล่นแรงหรือไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ส่วนของเราเป็นสื่อทางเลือกที่ให้น้ำหนักในการวิพากษ์วิจารณ์มากกว่าการนำเสนอข่าว ดังนั้นค่ายอื่นที่ลงมาในสนามข่าวทีวีดาวเทียม หากไม่มีจุดยืนคงต้องแข่งกับสื่อกระแสหลักอย่างฟรีทีวี
ช่องข่าวผ่านดาวเทียมสำคัญที่ Content ของรายการ ทำอย่างไรถึงจะดึงคนดูได้ ซึ่งในปี 2552 ทาง ASTV จะรุกมากกว่านี้ จะมีการจัดอีเวนต์เพื่อรักษาฐานผู้ชมเดิมของเราและเพิ่มผู้ชมรายใหม่
เขากล่าวต่อไปว่า เชื่อว่าหลังจากนี้สถานการณ์ต่าง ๆ น่าจะดีขึ้นเมื่อการเมืองเริ่มนิ่ง ที่ผ่านมามีเอเจนซี่หลายรายสนใจที่จะลงโฆษณากับเรา เพราะค่าโฆษณาก็ถูกกว่าฟรีทีวี ผู้ชมก็มีนับล้านคน แต่ไม่กล้าลงกับเราเพราะกลัวจะถูกมองว่าเป็นผู้ให้การสนับสนุนทางการเมือง
“เรากล้าพูดได้ว่าตอนนี้ราคาโฆษณาของ ASTV สูงที่สุดที่ประมาณ 15,000-20,000 บาทต่อนาที จากนี้ไปเราสามารถเลี้ยงตัวเราเองได้”
เมื่อสอบถามถึงราคาจานดาวเทียมที่ถูกลง จะกระทบกับผู้ประกอบการเคเบิ้ลทีวีที่ดึงสัญญาณ ASTV ไปออกอากาศหรือไม่ ประเมนทร์ตอบว่า การที่เราขายจาน ASTV นั้นจะไม่เป็นการตัดลูกค้าของเคเบิ้ลท้องถิ่น เพราะจานของเรารับชมได้ไม่กี่ช่อง รับฟรีทีวีก็ไม่ได้ เหมาะสำหรับบ้านที่ไม่ได้ติดเคเบิ้ลท้องถิ่นเท่านั้น
ตอนนี้หลายค่ายเมื่อเห็นตลาดทีวีดาวเทียมได้รับความนิยมมากขึ้นทุกขณะ อาจอยากลงมาในสนามนี้ แต่คงไม่ใช่ทุกรายที่จะทำได้ อีกทั้งปัญหาเศรษฐกิจที่ถดถอยในเวลานี้อาจทำให้บางรายอาจต้องถอนตัวไป
แหล่งข่าวจากวงการฟรีทีวีกล่าวว่า การเปิดตัวสถานีข่าวบนทีวีดาวเทียมถือว่าเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ชม แต่ที่เป็นข่าวจริง ๆ ไม่ค่อยมี ที่ผ่านมาฟรีทีวีมักไม่ค่อยให้ความสำคัญกับรายการข่าวมากนัก นอกจากนี้รายการข่าวของทางฟรีทีวีที่มีอยู่ในเวลานี้อย่างรายการคุยข่าวนั้น มีกันเกือบทุกช่อง โดยส่วนตัวมองว่ามันถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ดังนั้นจึงทำให้ผู้ชมจำนวนหนึ่งหันไปพึ่งทีวีดาวเทียม
ข่าวฟรีทีวีต้องปรับตัว
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พรจิต สมบัติพานิช คณบดี คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า สถานีข่าวบนทีวีดาวเทียมนั้นเป็นการทำเพื่อตอบสนองความต้องการของบุคคล(Nich) เนื่องจากสภาพตลาดเปลี่ยนไป และข่าวจากฟรีทีวีไม่สามารถตอบสนองความต้องการลักษณะนี้ได้
เชื่อว่าการผุดขึ้นของสถานีข่าวดาวเทียมจะกระทบกับรายการข่าวทางฟรีทีวี ที่จำเป็นต้องปรับตัวมากขึ้น การทำข่าวจะต้องเปลี่ยนไปและจะต้องหาจุดยืนในการทำข่าว ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นแค่การรายงานข่าวธรรมดา ย่อมจะส่งผลให้ผู้ชมหันไปพึ่งสถานีข่าวผ่านดาวเทียมมากยิ่งขึ้น
สอดคล้องกับ ผศ.ดร.วิลาสีนี อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการสำนักรณรงค์และสื่อสารสาธารณะเพื่อสังคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กล่าวว่า ปรากฎการณ์ของสถานีข่าวดาวเทียมถือว่าผู้ชมได้ประโยชน์ เพราะต้องมีการแข่งขันกันผลิตรายการที่มีคุณภาพ
“ต้องยอมรับว่าภาวะหิวข่าวเป็นของชนชั้นกลางในเมืองเป็นหลัก คนต่างจังหวัดจะหิวข่าวน้อยกว่า อีกทั้งคนต่างจังหวัดเชื่อนักการเมืองมากกว่า ดังนั้นจึงทำให้เกิดช่องว่างในการรับข้อมูลข่าวสารระหว่างคนในเมืองกับคนต่างจังหวัดกว้างขึ้น”
ที่ผ่านมาฟรีทีวีทำหน้าที่ไม่เต็มที่ เพราะติดเรื่องกลุ่มทุน การตลาดและอำนาจรัฐ ไม่สามารถนำเสนอได้ตลอดเวลา อีกทั้งในฟรีทีวีการนำเสนอต้องระมัดระวังเพราะมีหลายวัย หลายกลุ่ม และต้องพึ่งพารายได้จากโฆษณา ทำให้เป็นโอกาสของทีวีดาวเทียมเกิดของรายการเฉพาะมากขึ้น
โฆษณาเตรียมเทงบ
เมื่อพระราชบัญญัติประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 มีผลบังคับใช้ กิจการเคเบิ้ลทีวีสามารถมีโฆษณาได้ 6 นาทีต่อชั่วโมง ในเรื่องดังกล่าววิทวัส ชัยปาณี นายกสมาคมโฆษณาธุรกิจแห่งประเทศไทย ให้มุมมองที่มีต่อธุรกิจเคเบิ้ลทีวีว่า
“ทิศทางโฆษณาในเคเบิ้ลทีวีไปในทางดี ลูกค้าสนใจจำนวนไม่น้อย Agency สนับสนุนลูกค้าบางรายที่มีความเหมาะสม เช่น ห้างสรรพสินค้าที่มีสาขาตามต่างจังหวัด ทำโปรโมชั่นไม่เหมือนกัน หรือต้องการทำโปรโมชั่นให้กับร้านค้าย่อยที่มีการแบ่งพื้นที่ให้เช่าจำนวนมาก ก็สามารถเลือกลงโฆษณากับเคเบิ้ลทีวีได้”
ในการลงโฆษณาก็สามารถเลือกได้ว่าจะซื้อกับช่องรายการเลย หรือซื้อผ่านสมาคมเคเบิ้ล โดยเฉพาะจังหวัดที่รับชมเคเบิ้ลทีวีมาก ๆ เช่น ชลบุรีหรือระยอง
โฆษณาที่ลงในเคเบิ้ลทีวีส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับความนิยมในช่องรายการ หากจะมีโฆษณาลงเหมือนอย่างฟรีทีวีนั้นคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง อีกทั้งคงต้องรอให้มีการวัด Rating กันอย่างเป็นทางการก่อนเอเจนซี่ถึงจะมองภาพในการวางแผนโฆษณาได้ชัดเจน
ตอนนี้ ASTV กับ NATION ถือว่าเป็นช่องรายการที่มีโฆษณาลง แต่ยังมีไม่มาก หากมีการพัฒนาคุณภาพรายการให้ดีขึ้น มีการทำโปรโมชั่น ๆ ต่างเช่น แถมจานฟรี น่าจะช่วยให้เอเจนซี่ทำงานได้ง่ายขึ้น
ในการพิจารณาลงโฆษณานั้น จะต้องพิจารณาจากตัวเลขผู้ชมกับราคาโฆษณาหากหารเฉลี่ยต่อหัวแล้ว ขณะนี้ต้องยอมรับว่าในฟรีทีวีแม้จะมองว่าขายกันนาทีเป็นแสนแต่เมื่อหารเฉลี่ยต่อผู้ชมแล้วอาจถูกกว่า อีกทั้งต้องพิจารณาอีกว่าผู้ที่ชมทีวีดาวเทียมหรือเคเบิ้ลทีวีนั้นชมรายการอะไรเป็นหลัก เพราะส่วนใหญ่จะเน้นชมฟรีทีวี
ดังนั้นในระยะสั้นการเกิดขึ้นของทีวีดาวเทียมและเคเบิ้ลทีวี คงไม่กระทบต่อโฆษณาในฟรีทีวีกระทบ แต่ในระยะยาวแล้วฟรีทีวีอาจต้องเหนื่อย
เสาอากาศสูญพันธุ์
“รายการทีวีช่วงนี้ไม่เห็นมีอะไรดูเลย” ทั้ง ๆ บ้านเรามีสถานีโทรทัศน์ถึง 6 ช่อง ไม่ว่าจะเป็นช่อง 3,5,7,9,NBT และไทยพีบีเอส เชื่อว่าอารมณ์นี้เกิดขึ้นกับหลาย ๆ คนมาแล้ว คนที่ไม่มีทางเลือกคงต้องปิดทีวีแล้วหาอย่างอื่นทำ
ส่วนคนที่มีทางเลือกอาจต้องหันไปพึ่งพาบริการของเคเบิ้ลทีวีอย่างเช่น ทรูวิชั่นส์ ที่ต้องเสียค่าบริการรายเดือนถูกบ้างแพงบ้างตามความสามารถในการจ่ายของแต่ละคน หรือจะเลือกเอาแบบย่อมเยาคงต้องพึ่งบริการของเคเบิ้ลท้องถิ่นที่เสียค่าบริการรายเดือนราว 300 บาท
ประเภทที่ไม่มีรายเดือนเหมือนกับการเสียค่าติดตั้งเสาอากาศนั้นก็ยังมีให้เลือก เช่น ทรูวิชั่นส์แจกจานแดงฟรีเสียค่าติดตั้งอีก 1 พันบาท แต่ต้องแลกกับการใช้โทรศัพท์ในเครือข่ายของทรู 300 บาทต่อเดือน ถ้าใครเสียค่าโทรศัพท์มือถือเกินกว่า 300 บาทต่อเดือนก็ถือว่าคุ้ม ที่จะมีช่องรายการทีวีให้ดูมากกว่า 6 ช่อง แต่จะถูกใจแค่ไหนคงต้องตัดสินใจกันเอง
ดังนั้นจานดาวเทียมจึงเป็นหนึ่งในทางเลือกในการรับชมรายการที่ให้ได้มากกว่า 6 ช่องหลักของฟรีทีวี และเป็นการตอบสนองได้ตรงความต้องการสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเสียค่าใช้จ่ายรายเดือนในการรับชม เรียกว่า”ติดตั้งครั้งเดียวฟรีตลอดชีพ”
ปัจจุบันจานดาวเทียมมีราคาถูกลงมาก การติดตั้งมีค่าใช้จ่ายใกล้เคียงกับการติดตั้งเสาอากาศ แต่ได้ช่องรายการให้รับชมมากกว่า
“ค่าติดตั้งเสาอากาศที่รับงานอยู่ตอนนี้หากเป็นปีกรวมคิดราคา 1,800 บาทขึ้นไป หากเป็นปีกแยกราคา 3,000 บาท ขณะที่ราคาจานดาวเทียมที่ใช้กันทั่วไปขนาด 60-75 เซนติเมตรค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 3,000 บาทเช่นกัน” ช่างรับติดตั้งเสาอากาศให้ข้อมูล
เขากล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมาจานดาวเทียมขนาดดังกล่าวขายดีมาก ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าสถานการณ์ทางการเมืองมีส่วนอย่างมากที่ทำให้ผู้ชมหันมาติดจานดาวเทียมกัน โดยเฉพาะการชุมนุมทางการเมืองที่มีสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ส่วนใหญ่จะเรียกกันว่า”ช่องสนธิ” ที่ถ่ายทอดสดตลอด 24 ชั่วโมง
อีกทั้งจานดาวเทียมเป็นตัวแก้ปัญหาเรื่องความไม่คมชัดของการชมรายการฟรีทีวีในบางบ้าน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีตึกสูง ๆ บังสัญญาณ หรือบางพื้นที่อับสัญญาณเช่นบริเวณภูเขาสูง เนื่องจากสัญญาณจากทีวีดาวเทียมเกือบทั้งหมดเป็นระบบดิจิตอล จึงมีความคมชัดสูง เมื่อราคาติดตั้งถูกลง รายการเริ่มมีมากขึ้นผู้คนส่วนใหญ่จึงเลือกติดจานดาวเทียมกันมากขึ้น
“ยอมรับว่าลูกค้าส่วนใหญ่เลือกติดตั้งจานดาวเทียมมากกว่าเสาอากาศ เพราะผู้ขายจานมีการทำการตลาดมากขึ้น ส่วนหนึ่งต้องการเพื่อให้ชมฟรีทีวีชัดและมีรายการต่าง ๆ ให้เลือกมากกว่า 6 ช่องหลัก ที่สำคัญในแง่ของการติดตั้งก็ทำได้ง่ายใช้พื้นที่และเวลาในการติดตั้งไม่นาน”
แม้ว่าการรับชมทีวีดาวเทียมจะมีข้อดีในแง่ของการได้ช่องรายการมากกว่าเดิม ค่าติดตั้งไม่แพง แต่ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของการขยายจุดที่ 2 หรือ 3 ที่ต้องใช้เครื่องรับสัญญาณเฉพาะจุด ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม แตกต่างจากเสาอากาศที่ติดตั้งแล้วจะขยายกี่จุดก็ได้
อย่างไรก็ตามการรับชมรายการทีวีจากดาวเทียมก็มีข้อจำกัดอื่นอีก เช่น ปัญหาในการรับชมในช่วงที่ฝนตกหนัก จานดาวเทียมบางประเภทจะไม่สามารถรับชมได้เพราะสัญญาณถูกปิดกั้นโดยอากาศและฝน ซึ่งเป็นเกือบทุกจานที่รับสัญญาณด้วยระบบ KU BAND เนื่องจากมีหน้าจานขนาดเล็ก จานที่รับสัญญาณด้วยระบบดังกล่าวได้แก่จานทึบที่ขายกัน 60-75 เซนติเมตร
หากต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าวอาจต้องเลือกใช้จานดาวเทียมที่ใหญ่ขึ้นตั้งแต่ 150 เซนติเมตรขึ้นไปส่วนใหญ่เรียกกันว่าจานโปร่ง ที่รับชมด้วยระบบ C BAND จึงไม่มีปัญหาในการรับชมเมื่อฝนตกและสามารถรับชมรายการจากต่างประเทศและรายการของไทยที่ออกอากาศผ่านระบบนี้ได้ด้วย ซึ่งค่าอุปกรณ์และการติดตั้งจะสูงกว่าจานระบบ KU BAND
เขายังให้คำแนะนำในการเลือกจานดาวเทียมอีกว่า ก่อนอื่นต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าท่านต้องการชมรายการประเภทใด คนไทยส่วนใหญ่เน้นไปที่ชมฟรีทีวีและรายการอื่นเพิ่มเติม หากติดตั้งจานใหญ่ก็ไม่มีปัญหารับชมได้ทั้งฟรีทีวีและรายการอื่น ๆ ทั้งในและต่างประเทศ
ส่วนคนที่เลือกติดจานทึบ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีมากที่สุดในเวลานี้ ต้องตรวจสอบก่อนว่าจานดังกล่าวรับชมได้รายการใดบ้าง หากเน้นรับชมฟรีทีวีเป็นหลักคงต้องเป็นจานของค่ายสามารถ ดีทีวี(จานเหลือง)และของทรูวิชั่นส์(จานแดง) ส่วนจานของ ASTV ไม่สามารถรับชมฟรีทีวีได้ ดูได้เฉพาะรายการของสถานี ASTV เท่านั้นและรายการอื่นที่ออกอากาศบนดาวเทียม NSS 6 ราว 14-15 ช่อง เช่นเดียวกันจานของสามารถ ดีทีวีและทรูฯ ก็ไม่สามารถรับชมรายการของ ASTV ได้เช่นกัน
ค่ายของสามารถ ดีทีวีและทรูฯ จะรับสัญญาณจากดาวเทียมไทยคม ส่วน ASTV จะใช้ดาวเทียม NSS6 ที่ระยะหลังมีผู้ผลิตรายการหลายรายเลือกออกอากาศในดาวเทียมดวงนี้ หลังจากที่ ASTV จุดพลุให้จนมีผู้ติดตั้งรับสัญญาณจากดาวเทียมดวงนี้กันมาก รวมถึงผู้ผลิตรายการก็เริ่มส่งสัญญาณที่ดาวเทียมดวงนี้มากขึ้น เช่น Nation Channel และ TNN24 รวมถึงจานส้มของค่ายบีแซทที่มีรายการบันเทิงเพิ่มให้กับลูกค้าอีกราว 20 ช่อง นอกเหนือไปจากรายการที่มีอยู่ในไทยคม KU BAND
เนื่องจากหัวรับสัญญาณ 1 หัวจะเลือกรับชมรายได้ทีวีได้จากดาวเทียมเพียงดวงเดียว ในทางเทคนิคแล้วช่างติดตั้งจานดาวเทียม สามารถหาทางออกให้กับลูกค้าได้ด้วยการทำการเพิ่มหัวรับสัญญาณเพิ่มอีก 1 หัว เรียกว่าการทำ DUO เพื่อให้สามารถรับชมรายการเหล่านี้ได้ด้วยจานเพียงใบเดียว แต่อาจต้องปรับเปลี่ยนเครื่องรับสัญญาณ(Receiver) ให้เหมาะกับรายการที่จะรับชม
ดังนั้นก่อนการเลือกจานต้องตรวจสอบด้วยว่าจานรับดาวเทียมนั้นรับรายการใดได้บ้าง หากเป็นของไทยคมด้วยระบบ KU BAND รายการส่วนใหญ่เพื่อการศึกษาราว 15 ช่อง ที่เหลือเป็นบันเทิงบ้างเล็กน้อย รวมถึงต้องดูเงื่อนไขอื่นเช่นต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อรับชมรายการที่จัดมาให้อีกหรือไม่ เช่น จานของดีทีวีและของทรูวิชั่นส์
สำหรับผู้ต้องการรับชมรายการทีวีที่มากกว่าระบบ KU BAND อาจหันไปเลือกระบบ C BAND ที่มีรายการทีวีของไทยและต่างประเทศให้ชมนับร้อยช่อง แต่ค่าอุปกรณ์และค่าติดตั้งจะสูงกว่าระบบ KU BAND ค่าใช้จ่ายรวมค่าติดตั้งจาน C BAND แบบคงที่ราคาประมาณ 5,000 บาทขึ้นไปหรือหากนำไปติดตั้งเองค่าอุปกรณ์ที่ถูกที่สุดราคาเพียง 1,750 บาท(ขึ้นกับความกว้างของหน้าจานและอุปกรณ์รับสัญญาณ) และสามารถเพิ่มทางเลือกด้วยการทำ DUO รับสัญญาณจากระบบ KU BAND ก็สามารถทำได้และจะได้ช่องรายการที่เพิ่มขึ้นอีก
หากกำลังทรัพย์มีมากก็อาจเลือกจานดาวเทียมระบบ C BAND แบบ MOVE ที่หมุนจานไปรับดาวเทียมดวงอื่น ๆ ได้อีกนับสิบดวงที่จะมีรายการของประเทศอื่น ๆ ให้รับชม เนื่องจากบางรายการไม่สามารถรับชมได้ในประเทศไทยอันเนื่องจากติดปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ แต่ในต่างประเทศเปิดให้ดูฟรี
นอกจากทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการรับชมรายการทีวีที่มีมากกว่า 6 ช่องหลักด้วยการรับชมผ่านจานดาวเทียมแล้วการเลือกชมด้วยเคเบิ้ลทีวีก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่มีให้เลือกทั้งทรูวิชั่นส์และเคเบิ้ลท้องถิ่นแต่จะแตกต่างกันที่ราคาในการให้บริการและคุณภาพของรายการ หากเป็นผู้มีรายได้น้อยมีรายการที่ดูได้ในระดับหนึ่งเคเบิ้ลท้องถิ่นที่เสียค่าบริการรายเดือนราว 300 บาทก็เป็นทางออกที่ดี ด้วยช่องรายการไม่ต่ำกว่า 50 ช่องและจะขยับขึ้นถึง 100 ช่องในอีกไม่นาน
ส่วนรายการของทรูวิชั่นส์โดยใช้ค่าโทร 300 บาทต่อเดือนแลกเป็นค่าดูนั้น มีรายการ 39 ช่อง ซึ่งรายการส่วนใหญ่เป็นรายการฟรีทีวีหลักและช่องเพื่อการศึกษา รายการบันเทิงอย่างภาพยนตร์ เพลงหรือสารคดีก็มีในระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่รายการเกรด A ซึ่งบางรายการก็นำมาปล่อยในจานดาวเทียมและเคเบิ้ลท้องถิ่น
ทั้งนี้คงต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ชมแต่ละรายว่าต้องการเลือกรับชมรายการแบบใด พร้อมที่จะจ่ายครั้งเดียวแบบไม่มีรายเดือน หรือยอมจ่ายรายเดือนในราคาและรายการที่ยอมรับได้
ไม่ว่าจะเลือกรูปแบบการรับชมด้วยวิธีใด หากความต้องการรับชมรายการที่มากกว่าฟรีทีวีปกติ ย่อมส่งผลให้เสาอากาศที่เคยเป็นอุปกรณ์หลักในการรับชมรายการทีวีของบ้านเรามาเนิ่นนานที่ทำได้เพียงแค่ 6 ช่องเท่านั้น อาจต้องหายไปจากประเทศไทยในระยะเวลากันใกล้นี้
เคเบิ้ลทีวีโตสวนกระแส ปี"52 ผู้ชมทะลุ 5 ล้านครอบครัวแน่
นายกสมาคมเคเบิ้ลทีวีระบุธุรกิจเติบโตสวนกระแสปีหน้าเติบโตกว่า 20% คาดอีก 5 ปีข้างหน้าพร้อมครอบคลุมผู้ชม 5 ล้านครอบครัว เผวิกฤ๖เศรษฐกิจกลายเป็นโอกาสให้เพราะคนไทยลดการออกนอกบ้านขึ้น ชี้ในปี 52 พร้อมเปลี่ยนสัญญาณเป็นดิจิตอลทั่วประเทศ
ต้องยอมรับว่าในปี 2551 ซึ่งเป็นช่วงการเมืองไทยกำลังครุกรุ่น การออกมาชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองกลายเป็นประเด็นส่งเสริมให้ธุรกิจเคเบิ้ลทีวีและทีวีดาวเทียม ซึ่งมีกระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศได้เป็นที่รู้จักของประชาชนมากยิ่งขึ้น
ระบุ กม.ใหม่เป็นตัวช่วย
เกษม อินแก้ว นายกสมาคมเคเบิ้ลทีวี บอกกับ "ผู้จัดการรายสัปดาห์ 360 ํ" ว่าต้องยอมรับว่าในช่วงสามปีที่ผ่านมาเคเบิ้ลท้องถิ่นมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มมากขึ้น ผู้ประกอบการหลายๆแห่งเริ่มปรับเปลี่ยนตัวเองให้สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคโดยเฉพาะการเพิ่มทางเลือกในการนำเสนอข่าวสารต่างๆ ซึ่งแต่ละแห่งต่างนำเสนอรูปแบบเนื้อหาที่เน้นความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก
อย่างไรก็ตามโดยส่วนตัวเชื่อว่าสาเหตุที่ธุรกิจเคเบิ้ลทีวีมัอุตราการเติบโตที่ต่อเนื่องเกิดจากปัจจัยหลัก 3 ประการคือ ประการแรก การออก พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 (ก.ม.วิทยุทีวี) ที่ค่อนข้างมีความชัดเจน โดยเฉพาะประเด็นการการออกใบอนุญาตที่มีเนื้อหาครอบคลุมทุกด้านส่งผลดีต่อผู้ประกอบการโดยตรง
ประการที่สอง การเปิดโอกาสให้เคเบิลทีวีมีโฆษณาได้ ส่งผลให้ธุรกิจเคเบิลทีวีคึกคักขึ้นทันตาและธุรกิจนี้สามารถมีโฆษณามากขึ้นซึ่งปัจจัยนี้ทำให้ผู้ประกอบการมีรายได้เพิ่มขึ้นและส่งผลต่อการขยายช่องสัญญาณเพิ่มขึ้นด้วย
"หากว่าเคเบิลทีวีสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าเชื่อได้ว่าเงินที่ลงไปนั้นมีคนได้เห็นและคุ้มค่าเงินจริงๆ ก็จะเกิดเป็นผลดีแก่ทุกฝ่าย ลูกค้าก็ได้งานสื่อสารที่อิมแพค ทางผู้ประกอบการก็มีเงินไปซื้อคอนเทนท์ดีๆ เข้ามาเพิ่ม และเมื่อคอนเทนท์ดีก็ย่อมดึงคนดูมาดูช่องนั้นๆ เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งนี่คือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ธรกิจนี้มีอัตราการเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ"
ประการที่สาม ในช่วงที่ผ่านมาทางสมาคมฯของเรามีทิศทางนโยบายที่ชัดเจนที่จะผลักดันให้เคเบิ้ลทีเวกลายเป็นอุตสาหกรรมอีกประเภทหนึ่งที่ผู้ประกอบการายเล็กๆสามารถจะประสบผลสำเร็จในการทำธุรกิจได้
"องค์ประกอบทั้งสามอย่างนี้เป็นหลักเกณฑ์สำคัญที่ทำให้ธุรกิจดังกล่าวนี้เกิดการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและคาดว่าอัตราการเติบโตของเคเบิ้ลทีวีจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น"
เชื่อปีหน้าโตได้อีก 20%
การประกาศใช้กฎหมายใหม่สำหรับธุรกิจนี้เจ้าของเคเบิ้ลทีวีแต่ละแห่งล้วนได้รับผลประโยชน์กันถ้วนหน้าด้วยอัตราการขยายฐานของผู้บริโภคทั่วประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เกษม อธิบายต่อไปว่า อัตราการเข้าถึงของเคเบิ้ลและทีวีดาวเทียมในประเทศไทย ของจำนวนครัวเรือนในประเทศไทยอยู่ที่ 15% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกถึง 25% ในอนาคตอันใกล้ ซึ่งนั่นเท่ากับว่าธุรกิจเคเบิ้ลและทีวีดาวเทียมน่าจะโตขึ้นในอัตรา 50-100 เปอร์เซ็นต์ และน่าจะมีการใช้เม็ดเงิน ในเคเบิ้ลประมาณ 100 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามแม้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจะถดถอยลงแต่เกษมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้กระทบต่อการดำเนินธุรกิจของสมาชิกแต่กลับกลายเป็นโอกาสให้ธุรกิจนี้เติบโตขึ้นได้อีกเนื่องจากผู้บริโภคลดค่าใช้จ่ายอื่นๆลงโดยเฉพาะการลดออกไปจับจ่ายใช้สอยนอกบ้านซึ่งนั่นหมายถึงจะมีคนอยู่บ้านเพิ่มขึ้น
"เศรษฐกิจไม่ดีคนไม่ออกนอกบ้านตรงนี้ถือเป็นโอกาสทองของเราซึ่งตอนนี้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ก็กำลังรอที่จะเปลี่ยนสัญญาณจากระบบอนาล็อกมาเป็นระบบดิจิตอลในปีหน้านี้ ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคสามารถเลือกรับชมรายการเพิ่มมากขึ้นเท่าตัว"
จับมือปรับโฉมเพื่อการแข่งขัน
เมื่อธุรกิจเคเบิลทีวีกลายเป็นขุมทองแห่งใหม่ผู้ประกอบจำนวนไม่น้อยที่ลงทุนไปจึงจำเป็นที่จะต้องปรับตัวเพื่อพัฒนาตนเองให้ธุรกิจที่ลงแรงไปนั้นอยู่รอดและเตรียมความพร้อมรับมือกับผู้ประกอบการรายใหม่ๆที่กำลังจะเกิดขึ้น
เกษม อธิบายว่า ที่ผ่านมาสมาคมเคเบิลทีวีฯได้ร่วมมือกับสมาชิกสมาคมทั่วประเทศทำการยกระดับภาพลักษณ์ของตัวเองใหม่ โดยมีแผนปรับแพ็กเกจรายการให้ผู้ให้บริการแต่ละรายออกอากาศไม่ต่ำกว่า 40 ช่องราย การ พร้อมทั้งจัดช่องออกอากาศใหม่ให้เป็นช่องเดียวกันทั่วประเทศ พร้อมทั้งมีแนวคิดที่จะพัฒนาให้เคเบิลทีวีท้องถิ่นเป็นสื่อใหม่อีกสื่อหนึ่งที่เป็นทางเลือกของบรรดาเจ้าของสินค้าและมีเดียเอเยนซี่ ขณะเดียวกันยังเป็นแนวทางที่ดีของการเริ่มต้นวัดเรตติ้ง (ความนิยม) ของช่องรายการต่างๆ อีกด้วย
ปัจจุบันผู้ประกอบการเคเบิลทีวีท้องถิ่นมีจำนวนช่องรายการที่ออกอากาศอยู่มีตั้งแต่ไม่ถึง 40 ช่องรายการ กระทั่งไป 80 ช่องรายการ โดยทางสมาคมมีแนวทางจัดแพ็กเกจรายการใหม่ให้มีจำนวนช่องรายการออกอากาศอย่างต่ำไม่น้อยกว่า 40 ช่องรายการ ซึ่งขณะนี้ทางสมาคมได้ลงทุนอีกประมาณ 1 ล้านบาท สำหรับพัฒนาเครื่องรับสัญญาณเคเบิลทีวีให้รับสัญญาณได้อย่างต่ำ 40 ช่องรายการแล้ว พร้อมกันนี้ทางสมาคมยังได้จัดช่องออกอากาศใหม่ ให้ช่องที่ 20-40 ออกอากาศคอนเทนต์ช่องเดียวกันทั่วประเทศอีกด้วย
"ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเคเบิลทีวีที่ให้บริการช่องรายการต่ำกว่า 40 ช่อง ประมาณ 25% ที่เหลือส่วนใหญ่ประมาณ 60 ช่องรายการ และสูงสุดออกอากาศ 80 ช่องรายการ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคอนเทนต์ไทยแทบทั้งสิ้น เพราะคอนเทนต์ต่างประเทศส่วนใหญ่จะถูกผูกขาดจากผู้ประกอบการรายใหญ่"
นอกจากนี้ ทางสมาคมยังมีแนวทางในการพัฒนาเคเบิลทีวีท้องถิ่นให้เป็นสื่อที่มีความใกล้ชิดกับผู้บริโภคในท้องถิ่น โดยระดมทีมข่าวทั่วประเทศรวมกว่า 100 ทีมสำหรับทำข่าวภูมิภาคในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยสมาคมจะเป็นตัวกลางในการประสานงานและจัดสรรรายการข่าวไปออกอากาศตามความต้องการของผู้ให้บริการแต่ละราย ขณะเดียวกันในอนาคตสมาคมยังจะเป็นตัวกลางในการสำรวจความนิยม (วัดเรตติ้ง) ช่องรายการต่างๆ อีกด้วย
เกษม ระบุอีกว่า จากแนวทางต่างๆ ข้างต้นนี้น่าจะทำให้ผู้ประกอบการเคเบิลทีวีท้องถิ่นมีศักยภาพในการแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่อย่างยูบีซีได้บ้าง โดยเฉพาะการจัดแพ็กเกจราคาถูก อาทิ โนว์เลดจ์ แพ็กเกจ, ซิลเวอร์ แพ็กเกจ รวมทั้งแพ็กเกจติดตั้งจานดาวเทียมของทรูมูฟ ที่ถือเป็นรูปแบบการให้บริการที่มีผลกระทบต่อการขยับขยายฐานสมาชิกของกลุ่มผู้ประกอบการเคเบิลทีวีท้องถิ่นพอสมควรทีเดียวในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจาก
ยูบีซีและทรูมูฟไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของการส่งสัญญาณออกอากาศ ขณะที่เคเบิลทีวีในท้องถิ่นยังต้องอาศัยการเดินสายเคเบิลอยู่เหมือนเดิม
ฟันธงผู้บริโภคได้ประโยชน์
เมื่อเคเบิลทีวี กลายเป็นขุมทรัพย์ใหม่ที่ใครก็อยากจะเข้ามาร่วมแย่งแชร์ด้วย เกษม ยืนยันว่าหลังจากนี้ต่อไป จะได้เห็นการลงทุนด้านคอนเทนท์กันมากขึ้นในหมู่คอนเทนท์โพรวายเดอร์ทั้งรายเก่าและรายใหม่ซึ่งจ่อคิวจะเข้าร่วมด้วย
โดยปัจจุบันนี้พบว่ามีเคเบิลทีวีอยู่ทั่วประเทศแล้วกว่า 500 ราย ซึ่งผลิตคอนเทนท์รวมแล้วมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท แต่เชื่อว่าหลังจากนี้เพียง 2 ปี จะได้เห็นการลงทุนในกิจการนี้เป็นเท่าตัว หรืออีก 1 หมื่นล้านบาท ทำให้คาดว่ามูลค่ารวมธุรกิจสูงถึง 2 หมื่นล้านบาทในปี 2553
"จากความพร้อมในหลายๆ ด้านทำให้ขณะนี้มีผู้ผลิตคอนเทนต์ที่สนใจเข้ามาสู่ธุรกิจเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมและเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเคเบิลทีวีท้องถิ่นเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันมีคอนเทนต์ไทยที่ออกอากาศอยู่ประมาณ 80 ช่อง และในปีหน้าสมาคมฯมีแผนที่จะปรับปรุงระบบออกอากาศให้เป็นดิจิทัลทั้งหมด ทำให้คาดว่าปีหน้าจะมีคอนเทนต์ไทยออกอากาศเพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 70 ช่อง หรือประมาณ 150 ช่อง ซึ่งเป้าหมายในอนาคตของสมาคมอยากให้มีคอนเทนต์คนไทยออกอากาศไม่ต่ำกว่า 200 ช่อง ซึ่งผู้ที่ได้ประโยชน์จากการขยายตัวของธุรกิจนี้ก็คือผู้บริโภคนั่นเอง"เกษมกล่าวในที่สุด
|