|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บลจ.ให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มพลังงาน โดดเด่นสุดในปี 2552 หลังปีที่ผ่านมาถูกหลายปัจจัยลบถล่มจนรูดหนัก ถัดมาชูกลุ่มสื่อสาร - พาณิชย์ โอกาสสร้างผลประกอบการเติบโตเพิ่มและต้นทุนที่ต่ำยังมีอยู่สูง เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มแบงก์ เตือนนักลงทุนอย่าชะล่าใจ ต้องรอดูสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกแม้ขณะนี้ตลาดหุ้นจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาแต่อาจจะเป็นเพียงช่วงสั้น ระวังอาจเจอการเทขายทิ้งเพื่อทำกำไรเมื่อดัชนีดีดตัวขึ้นไปแตะ 500 จุด
นางณัฐรา อิสรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม พรีมาเวสท์ จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับการลงทุนในกองทุนตราสารทุนของบริษัทในปีที่ผ่านมาพบว่ามีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนในกองทุนรวม 2 ช่วงด้วยกัน โดยช่วงแรกนั้นเป็นช่วงก่อนที่จะเกิดปัญหาซัพไพรม์ ซึ่งถือเป็นช่วงที่นักลงทุนได้เข้ามาลงทุนในกองทุนตราสารทุนเป็นจำนวนมาก แทนการถือครองเงินสดไว้กับตัว อีกช่วงคือช่วงปลายปีที่มีการกระตุ้นการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อใช้สิทธิทางด้านภาษี
ทั้งนี้ การจัดพอร์ตการลงทุนของกองทุนได้เลือกลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคาร และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัทมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไม่น้อยกว่า 85-90% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2551จากปัญหาวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นและส่งผลกระทบไปทั่วโลกทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงไปกว่า 50% ส่งผลให้บริษัทมีการลดน้ำหนักการลงทุนในกองทุนหุ้นลงเหลือเพียง 70-75% โดยลดสัดส่วนการลงทุนจากลุ่มพลังงาน และปรับเปลี่ยนไปลงทุนในกลุ่ม พาณิชย์และกลุ่มบันเทิงแทน เพราะมองว่าการลงทุนในกลุ่มสื่อสารนั้นจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ มีสภาพคล่องสูง อีกทั้ง เมื่อพิจารณาหุ้นกลุ่มสื่อสาร พบว่านอกจากจะมีสภาพคล่องสูง ยังสร้างเม็ดเงินได้มาก ในขณะที่หนี้สินต่ำ
โดยในปี2552 นี้ บริษัทมองว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวเนื่องมาจากผลกระทบจากวิกฤตการเงินในปีที่ผ่านมา โดยในช่วงสองวันที่ผ่านมา(5-6 มกราคม 2552) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 20 จุด ซึ่งจากการปรับเพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการที่นักลงทุนเข้ามาลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(แอลทีเอฟ)ในช่วงปลายเดือนธันวาคม ปี 2551 มาจนถึงต้นเดือนมกราคม จึงทำให้ดัชนีสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย นอกจากนี้ปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศที่เริ่มนิ่ง และข่าวเรื่องสงครามของปาเลสไตรส์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามราคาน้ำมันที่เริ่มมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนหน้านี้ ถึงแม้ดีมานด์ไม่ได้กลับมาอย่างแท้จริง
สำหรับการลงทุนของบริษัทหลังจากนี้จะกลับเข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานเพิ่มขึ้นเนื่องจากมองว่าให้จะเป็นกลุ่มหุ้นที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้ อีกทั้งยังเป็นหุ้นกลุ่มนำตลาด โดยโอกาสที่หุ้นในกลุ่มนี้จะสามารถดีดกลับมาจึงมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า
ขณะเดียวกัน การลงทุนในตลาดหุ้นบริษัทยังคงกังวลในเรื่องของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน เนื่องจากในปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไม่ค่อยจะดีนัก จึงทำให้คาดว่าในส่วนของผลประกอบการที่จะประกาศออกมาจะไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลให้ตัวเลขเศรษฐกิจที่ควรจะปรับตัวเพิ่มขึ้นกับปรับตัวลดลง โดยสาเหตุที่ตัวเลขเศรษฐกิจที่ปรับตัวลดลงเนื่องมาจากภาคการส่งออกซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศได้เกิดการชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก
นางณัฐรา กล่าวอีกว่า การที่ภาครัฐทั่วโลกได้มีการออกมาตรการมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจะสามารถทำให้ตลาดหุ้นสามารถฟื้นตัวกลับมาได้อีกครั้ง โดยจากมาตรการต่างๆจะส่งผลให้นักลงทุนกลับมาลงทุนในตลาดทุน ทำให้การลงทุนในตลาดทุนหลังจากนี้จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่นักลงทุนได้ เนื่องจากว่าดัชนีตลาดหุ้นได้ผ่านช่วงที่ต่ำสุดมาแล้วในปีที่ผ่านมา และมองว่าตลาดหุ้นจะไม่ปรับตัวลดลงไปมากกว่าที่ผ่านมาอีกแล้ว อย่างไรก็ตามสำหรับการปรับพอร์ตการลงทุนของบริษัทนั้น จะเน้นลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีอนาคตไกล อีกทั้งเป็นหุ้นกลุ่มที่มีหนี้ต่ำ และสามารถให้ปันผลที่ดี
นายกรวุฒิ ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ. ยูโอบี(ไทย)จำกัด กล่าวว่า สำหรับการดีดกลับของตลาดหุ้นในช่วงนี้ ไม่รู้ว่ามีเสถียรภาพมากน้อยแค่ไหน โดยการที่หุ้นดีดกลับส่วนหนึ่งนั้นมาจากการที่สหรัฐอเมริกามีการออกแผนการกระตุ้นเศรษษฐกิจ ซึ่งนาย โอบามา ประธานาธิปดีสหรัฐอเมริกาได้เร่งผลักดันโครงการต่างๆให้เกิดขึ้น ทั้งนี้จะทำให้นักลงทุนมองว่าหากเศราฐกิจมีการฟื้นตัวแล้วจะส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นดีดกลับมาเร็วกว่าที่คาดการณ์จากที่ก่อนหน้านี้ดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวลดลง อีกทั้งที่ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นอาจจะมาจากปรากฏการณ์เดือนมกราคม หรือ แจนยัวรี่ เอฟเฟค(january effect)มากระทบ
ส่วนการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทย อาจจะส่งผลให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวได้เร็ว แต่การปรับขึ้นอาจจะต้องใช้เวลาสักระยะในการปรับตัว โดยสาเหตุน่าจะมาจากการคาดหวังของนักลงทุนในเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ต่างคาดหวังว่าตลาดหุ้นจะดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ จึงทำให้กลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นแทนการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ แต่การที่ตลาดหุ้นกลับมาเป็นบวกเช่นนี้อาจจะเป็นเพียงช่วงสั้นเท่านั้น นอกจากนี้ จากความคาดหวังของนักลงทุนตลาดหุ้นจึงได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงถึง 7% พร้อมทั้งเป็นการปรับขึ้นของตลาดหุ้นทั่วภูมิภาคด้วย
"การปรับตัวโดยรวมของตลาดหุ้นในครั้งนี้ น่าที่จะเป็นการปรับขึ้นเพียงช่วงสั้นๆเท่านั้น โดยการลงทุนในตลาดหุ้นปีนี้ภาพรวมของตลาดดัชนีได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปี 2551 อีกทั้งแนวโน้มตลาดหุ้นจะดีกว่าในปีที่แล้วอย่างแน่นอน แต่สำหรับการคาดการณ์ตลาดนั้นนักลงทุนจำเป็นที่จะต้องติดตามสถานการณ์และภาวะการณ์ต่างอย่างใกล้ชิดเพื่อความปลอดภัยในการลงทุน"
อย่างไรก็ตาม การลงทุนกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และพลังงาน ยังคงสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ โดยหุ้นกลุ่มดังกล่าวถือเป็นหุ้นกลุ่มหลักของตลาดหุ้นไทย อีกทั้งหุ้นกลุ่มนี้เวลาปรับตัวลดลงได้ปรับตัวลดลงไปมากว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆดังนั้นเมื่อหุ้นดีดกลับจึงเป็นกลุ่มนี้ที่สามารถดีดกลับได้เร็ว นอกจากนี้สำหรับหุ้นในกลุ่มสื่อสารนั้นถึงแม้ว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนที่ดี ให้ปันผลที่ดี แต่หุ้นในกลุ่มนี้ไม่ค่อยที่จะมีการเคลื่อนไหวมากนัก เนื่องจากไม่มีข่าวต่างๆมากระทบทำให้ราคาหุ้น โดยจะให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงที่ตลาดหุ้นเป็นช่วงขาลง แต่ตลาดหุ้นในขาขึ้นนั้นการลงทุนไม่น่าจะมีการเคลือนไหวมาก เท่ากับหุ้นกลุ่มธนาคารและพลังงาน ที่มีข่าวสารต่างๆอกมาทำให้ราคาหุ้นเคลือนไหวอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังมีการปรับขึ้นลงได้ง่ายกว่าหุ้นกลุ่มต่างๆ นาย กรวุฒิ กล่าว
นายวิโรจน์ ตั้งเจริญ รักษาการ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด1 บลจ.กรุงไทย จำกัด(มหาชน)กล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจะเป็นการปรับเพิ่มเพียงช่วงสั้นเท่านั้น โดยหุ้นที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นหุ้นกลุ่มที่มีการปรับตัวลดลงมาก่อนหน้านี้ ทั้งนี้การลงทุนในตลาดหุ้นจะต้องมองถึงบรรยากาศการลงทุนในประเทศสหรัฐอเมริกาที่เริ่มดีขึ้นหลังจากที่มีแผนการกระตุ้นเศราฐกิจเกิดขึ้น แต่ทั้งนี้จะต้องมองถึงภาคปฏิบัติว่ามาตรการต่างๆที่ออกมานั้นสามารถนำมาใช้จริงได้หรือไม่ อีกทั้งจะต้องศึกษาถึงระบบเศรษฐกิจหลังจากนี้ว่าจะมีแนวโน้มไปในทิศทางใด รวมถึงรัฐบาลจะมีเสถียรภาพในการบริหารมากน้อยเพียงใด
โดยการลงทุนในตลาดหุ้นนักลงทุนจะต้องพิจารณาถึงเศรษฐกิจของโลก การลงทุนในต่างในตลาดหุ้นต่างประเทศ พร้อมนโยบายของภาครัฐว่าจะสามารถปฏิบัติจริงได้มากน้อยแค่ไหน พร้อมทั้งพิจารณาถึงเสถียรภาพทางด้านการเมืองภายในประเทศ ซึ่งปัจจัยเหล้านี้จะมีผลกระทบโดยตรงต่อตลาดหลักทรัพย์ด้วย
"บริษัทมองว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 2 อาจจะมีการชะลอตัว เพราะที่ผ่านมาตลาดหุ้นเป็นการรีบาวด์ทางจิตวิทยาเท่านั้น การลงทุนจำเป็นจะต้องศึกษาปัจจัยหลักหลายๆอย่างเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งหากไม่มีข่าวร้ายเกิดขึ้นดัชนีตลาดหุ้นจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นไปถึง 480-500 จุดอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้นักลงทุนจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังการลงทุนมากขึ้นเนื่องจากหากดัชนีเพิ่มขึ้นไปถึง 480-500 จุดอาจจะมีนักลงทุนเทขายหน่วยลงทุนเพื่อทำกำไรออกมาได้"นายวิโรจน์กล่าว
|
|
|
|
|