กองทุนน้ำมันนี่นะครับ พูดกันจริง ๆ แล้วข้อดีของมันก็คือรักษาเสถียรภาพของราคาเท่านั้น
อย่าไปเข้าใจผิดคิดว่ามีกองทุนแล้วจะทำให้ราคาน้ำมันถูก เพราะกองทุนเพียงแต่รักษาเสถียรภาพของราคาไม่ให้มันขึ้นหรือลงอย่างรุนแรงเท่านั้นเอง
แต่ถ้าดูย้อนหลังไปในระยะยาวจริง ๆ แล้วนี่จะเห็นว่าประชาชนก็ไม่ได้อะไรจากการที่มีกองทุนถ้ามองในแง่ที่ว่าทำให้ราคาน้ำมันถูกลง
คือในช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงอย่างในปี 2529 จากบาร์เรลละ 28 เหรียญ
เหลือเพียงบาร์เรลละ 15 เหรียญหรือลดลงถึงประมาณ 40% รัฐบาลก็ปรับราคาขายปลีกลงด้วย
แต่ไม่ได้ปรับเท่ากับราคาตลาดโลกที่ลดลง และส่วนต่างที่เหลือจากรัฐบาลก็เก็บเข้ากองทุนไว้
เพราะฉะนั้นในกรณีนี้ถ้าไม่มีกองทุนประชาชนก็จะได้ใช้น้ำมันในราคาถูกกว่าที่รัฐบาลกำหนด
แต่ที่นี้เมื่อราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น รัฐบาลก็เอาเงินที่สะสมไว้นั้นมาจุนเจือ
จุดประสงค์ก็เพื่อจะรักษาระดับราคาน้ำมันให้มีเสถียรภาพ
เพราะฉะนั้นจริง ๆ แล้วจะเห็นว่ามันเป็นเพียงการโยกย้ายเงินเท่านั้นเอง
จากที่สะสมไว้ในยามมีก็เอามาใช้ในยามยาก เพราะฉะนั้นถ้าจะมองประโยชน์ของกองทุนวาทำให้ราคาน้ำมันถูกนี่ไม่จริง
เพราฉะนั้นข้อดีของกองทุนก็คือทำให้มีเสถียรภาพของราคา แต่ข้อเสียประการสำคัญคือรัฐบาลมักจะคุมให้ราคาคงที่ติดต่อกันเป็นระยะเวลาอันยาวนานเกินควร
ทำให้ราคาขายปลีกไม่ได้สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงของน้ำมันที่เราใช้อยู่ในช่วงที่ราคาน้ำมันลดนี่
ประชาชนควรจะได้ประโยชน์จากการที่น้ำมันถูกอย่างเต็มที่ เพื่อจะเป็นตัวเร่งรัดให้เศรษฐกิจขยายตัวเท่าที่ควรจะเป็นเพราะว่าต้นทุนการผลิตถูกลง
เนื่องจากราคาน้ำมันถูก การนำเข้าน้ำมันก็ไม่เป็นภาระแก่ประเทศมาก ก็น่าจะสนับสนุนให้มีการใช้น้ำมันราคาถูกกันก็ปรากฎว่ามันก็มได้ถู่กลงเท่าที่ควร
เพราะเหตุว่าต้องไปเก็บเงิน เข้ากองทุนเสียส่วนหนึ่งก็ได้ประโยชน์เต็มที่
แต่พอน้ำมันแพง การนำเข้านี่จำเป็นจะต้องมีการประหยัดน้ำมันกันเพราะว่า
เราต้องเสียเงินตราต่างประเทศซื้อเข้ามา ก็ปรากฏว่า ไปคุมราคาไว้ไม่ให้มันขึ้นเพราะว่าคนใช้ไม่ทราบถึงต้นทุนที่แท้จริงของน้ำมัน
เขาก็ใช้ยังกับว่า ราคาน้ำมันยังถูกอยู่ ก็เป็นสิ่งที่เสียหายต่อประเทศชาติเหมือนกัน
เพราะฉะนั้นไม่ว่าน้ำมันจะขึ้นหรือลง ราคาที่เราไปควบคุมโดยใช้กองทุนนี่จริงอยู่มันมี
เสถียรภาพแต่ในด้านเศรษฐกิจแล้ว มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก เพราะฉะนั้นเมื่อชั่งน้ำหนักระหว่างความมีเสถียรภาพของราคา
(หรือเสถียรภาพทางการเมือง) และราคา อันสะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงแล้ว ผมคิดว่าควรจะให้น้ำหนักแก่อันหลังให้มากกว่าที่เป้นมาในอดีต
ถ้าเงินกองทุนในอนาคตนี่รัฐบาลจะต้องทำอย่างไร ในที่สุดถึงจุด ๆ หนึ่งแล้วรัฐบาลก็ต้องขึ้นราคาน้ำมัน
เพราะกองทุนไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ราคาน้ำมันเพราะกองทุนไม่ใช่สิ่งท่จะทำให้ราคาน้ำมันคงที่ไปได้ตลอดที่ไหนกัน
เมื่อถึงจุดนั้นแล้วราคาน้ำมันก็ต้องขึ้น แต่ข้อเสียของการปล่อยให้เงินกองทุนหมดแล้วค่อยปรับ
นี่คือจะต้องปรับขึ้นค่อนข้างมาก จะเป็นการปรับครั้งใหญ่
เพราะว่าอย่างในปัจจุบันแล้วนี่ รัฐบาลต้องจ่ายเงินชดเชยโดยเฉลี่ยอยู่ประมาณ
65 สตางค์ต่อลิตร ถ้าเกิดถึงวันที่จะต้องขึ้นราคา อย่างน้อยก็ต้องปรับขึ้นเท่าที่ชดเชยไป
คืออย่างน้อยก็จะไม่ลบไม่บวกซึ่งจะต้องปรับราคาขึ้นราวๆ 8-10% แทนที่จะใช้วิธีว่าพอเงินกองทุนร่อยหรอลงก็ปรับเป็นระยะ
ๆ ไป แต่ปรับครั้งละน้อย อันที่หนึ่งก็จะได้ประโยชน์ในแง่ที่ว่าประชาชนจะมีความรู้สึกว่าน้ำมันแพงขึ้น
ก็น่าจะเริ่มมีการประหยัดน้ำมันกันบ้าง อันที่สองก็น่าจะเป็นการยืดอายุกองทุนให้ยาวออกไป
การใช้ก็ถูกต้องขึ้นและก็หลีกเลี่ยงการที่จะต้องปรับราคาน้ำมันกันคราวละมาก
ๆ
แต่ถ้ารัฐบาลใช้วิธีรอจนกว่าเงินกองทุนหมดจึงค่อยปรับ เพราะเกรง ผล กระทบทางการเมืองเมื่อถึงเวลาที่จะต้องปรับ
ก็ต้องปรับกันใน ราคาสูงทีเดียว เว้นแต่วาจะเกิดปรากฎการณ์ว่าราคาน้ำมัน
ในตลาดโลกเกิดลดลงก่อนที่ เงินกองทุนจะหมดแต่ถ้ามันไม่ลด ถึงแม้ว่าจะใช้มาตรการทางภาษีมาช่วย
โดยการลดภาษีลงก็คงจะช่วยยืดอายุกองทุนออกไปได้ไม่นานประมาณเดือนหรือสองเดือนเท่านั้นเองจากนั้นแล้วก็คงต้องถึงเวลาที่
รัฐบาลจะต้องตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรกันต่อไป เพราะกองทุนมันหมดแล้ว
ทีนี้ถ้าเผื่อว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ แล้วรัฐบาลก็ต้องชดเชยไปเรื่อย
ๆ ถึงจุด ๆ หนึ่ง เงินกองทุนก็คงจะต้องหมดลงนอกจากจะมีการลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกในช่วงนี้
พอถึงจุด ๆ หนึ่งรัฐบาลก็มีทางเลือกอยู่ 3-4 ทาง อันแรกรัฐบาลก็อาจจะยืดอายุของกองทุนออกไปอีกโดยการลดภาษีลงอีก
ซึ่งอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าทางกระทรวงการคลังจะยอมหรือเปล่า
อันที่สองรัฐบาลก็อาจจะทำอย่างที่เคยทำในอดีตคือปล่อยให้เงินกองทุนติดลบ
หมายถึงว่ารัฐบาลก็ยังคงชดเชยต่อไป โดยที่ไม่ขึ้นราคาขายปลีกแต่ปล่อยให้เงินกองทุนติดลบไปเรื่อย
ๆ อันที่สามต้องปรับราคาขายปลีกขึ้น อันที่สี่คือปล่อยให้ราคาน้ำมันลอยตัว
ทางเลือกก็มีอยู่แค่นี้เท่าที่เห็นนะครับ
ทางเลือกสองทางแรกคงเป็นไปได้ยาก เพราะกระทรวงการคลังคงจะไม่ยอมลดภาษีลงไปอี
และบริษัทน้ำมันคงจะประท้วงถ้าให้กองทุนติดลบ คือรัฐบาลต้องติดเงินชดเชยให้บริษัทน้ำมันไว้ก่อน
ดังนั้นรัฐบาลควรจะต้องปรับราคาขายปลีกขึ้นเมื่อกองทุนหมด
แต่การปรับราคาขายปลีกก็มีทางเลือกอยู่หลายทางเหมือนกัน ถ้าเป็นในอดีตก็ปรับราคาขายปลีกขึ้น
แต่ปรับในอัตราส่วนที่ไม่เท่ากัน ก็หมายความว่าให้ผู้ใช้น้ำมันบางประเภทรับภาระมากกว่าผู้ใช้น้ำมันอีกประเภทหนึ่ง
ก็อาจจะในทำนองว่าให้ผู้ใช้น้ำมันเบนซินรับภาระมากกว่าผู้ใช้น้ำมันดีเซล
แต่ถ้าใช้วิธีนี้มันก็จะกลับไปรูปเดิม คืออาจจะสร้างความบิดเบือนในโครงสร้างราคาน้ำมันอีกในขณะที่ตอนนี้ความบิดเบือนได้ลดน้อยลงไปมากแล้ว
อันเป็นผลมาจากรัฐบาลได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างตั้งแต่ปี 2529 ช่วงราคาน้ำมันโลกตกต่ำในคราวนั้น
รัฐบาล ก็ได้ถือ โอกาสปรับปรุงโครงสร้างราคาน้ำมันให้ดีขึ้น หมายถึงว่าช่องว่างระหว่างราคาน้ำมันเบนซินกับดีเซลนี่มันแคบลง
อัตราภาษี น้ำมันดีเซลก็ใกล้เคียงกันมากขึ้นแล้วก้มีการเก็บภาษีน้ำมันเตาและโครงสร้างราคาแก๊สแอลพีจีก็ไม่บิดเบือนเพราะมีการปรับราคาขายปลีกของ
แอลพีจี ซึ่งขายในขนาดต่าง ๆ ให้เท่ากัน
ดังนั้นโครงสร้างราคาน้ำมันในปัจจุบันนี้เรียกได้ว่าถูกต้องมากขึ้น การใช้ก็เป็นไปในสิ่งที่ควรจะเป็น
ดังนั้นผมจึงคิดว่า รัฐบาลคงจะไม่ปรับราคาในลักษณะที่จะนำไปสู่การบิดเบือนอีก
ตอนนี้ก็มาถึงจุดที่รัฐบาลจะต้องปรับราคาขายปลีก ซึ่งมีทางเลือกอยู่ 2-3
ทางที่รัฐบาลจะต้องทำ แต่ก็มีการพูดถึงอีกทางหนึ่งอยู่เหมือนกันว่ารัฐบาลอาจจะปล่อยน้ำมันลอยตัว
ซึ่งอันนี้ก็เป็นไปได้อยู่เหมือนกันขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะตัดสินใจอย่างไร
ในการปล่อยน้ำมันลอยตัว นี่จะดูรวมทั้งหมดคงจะไม่ได้ เนื่องจากว่าน้ำมันแต่ละชนิดลักษณะการค้าไม่เหมือนกัน
ผู้ใช้ก็ไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างก็คือ น้ำมันเตานี่เป็นน้ำมันที่มีลักษณะการค้าส่ง
การค้าซึ่งผู้ซื้อกับผู้ใช้มีการติดต่อกันโดยตรง ถ้าซื้อเป็นจำนวนมากก็มีการต่อรองราคากัน
มีการให้ส่วนลด มีการให้เครดิตระยะยาว เพราะฉะนั้นก็เป็นการค้าที่มีการแข่งขันกันสมบูรณ์อยู่แล้วราคาซื้อขายก็ไม่ได้เป็นราคาขายปลีก
มีการตัดราคากัน เพราะฉะนั้นก็เป็นราคาลอยตัวหรือกึ่งลอยตัวอยู่แล้ว
ฉะนั้นถึงแม้จะกึ่งลอยตัวในปัจจุบัน โดยไม่คุมราคาขายปลีก มันก็ไม่มีผลอะไร
และแท้ที่จริงแล้ว ราคาน้ำมันเตาในปัจจุบันก็คุมกันอยู่แค่ 3 จังหวัดเท่านั้นคือ
กรุงเทพฯ นนทบุรี และสมุทรปราการ ส่วนที่เหลือทั้งหมดของประเทศก็ไม่มีการคุมกันอยู่แล้ว
บริษัทน้ำมันก็แข่งขันกันดี ในส่วนจังหวัดอื่น ๆ ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรถึงแม้จะยกเลิกราคาควบคุมไปก็คงไม่มีผล
และผู้ใช้ก็เป็นผู้ใช้ในวงการอุตสาหกรรมซึ่งมีอำนาจต่อรอง เป็นตลาดของผู้ซื้อ
เพราะฉะนั้นในส่วนของน้ำมันเตานี่ไม่น่าเป็นห่วง สามารถลอยตัวได้เลย โดยไม่ต้องรอให้เงินกองทุนน้ำมันหมดเสียก่อน
ที่นี้ถ้าเป็นน้ำมันชนิดอื่น ๆ ก็ต้องดูให้รอบคอบมากกว่านั้น โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลและเบนซินเพราะลักษณะการค้ามันต่างกันจากน้ำมันเตา
เพราะเป็นการค้าปลก มีผู้ค้าหลายระดับ ตั้งแต่ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าระดับบริษัท
และผู้ค้าปลีกคือระดับปั๊ม ผู้ค้าแต่ละระดับมีลักษณะการค้าที่ไม่เหมือนกัน
เนื่องจากว่าเป็นการค้าปลีกก็ทำให้มีปัญหาขึ้นมาว่จะมีการฮั้วกันหรือไม่
ในระดับผู้ค้าน้ำมันตั้งแต่ผู้ส่งจนถึงผู้ค้าปลีกจะมีการฮั้วกันหรอืไม่ผมก็มีความเห็นว่การฮั้วกันหรือไม่นี่ขึ้นอยู่กับสภาวะการแข่งขัน
ถ้ามีการแข่งขันกันมาก โอกาสฮั้วกันก็คงจะลำบาก เพราะว่าทุกคนก็คงจะต้องรักษาผลประโยชน์ของตนเอง
อย่างเช่นในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งมีสถานีบริการน้ำมันอยู่มากถึง 425 แห่ง การแข่งขันจึงมีสูงมาก
ในกรณีนี้ผู้ค้าปลีกย่อมจะได้ประโยชน์จากการแข่งขันทางด้านราคาซึ่งปัจจุบันไม่มี
ที่คนเป็นห่วงมากก็คือต่างจังหวัด เพราะต่างจังหวัดมันอาจจะไกลหูไกลตาหน่อย
บางจังหวัดอาจจะมีปั๊มไม่มากพอ อาจจะรู้กันและฮั้วกันได้แต่ในความเห็นของผม
เมื่อดูจากลักษณะการค้าแล้วนี่ ผู้ค้าคงจะฮั้วกันไม่ได้นาน ด้วยเหตุผลหลัก
ๆ 2 ประการคือ ธุรกิจน้ำมันเป็นธุรกิจเงินหมุน และธุรกิจมันมีการลงทุนสูง
ผู้ค้าจึงต้องการขายให้ได้ประมาณมาก ๆ เพื่อจะลดต้นทุนต่อหน่วย ประการแรกธุรกิจน้ำมัน
เป็นลักษณะการค้าที่ใช้เครดิตหรือเงินเชื่อ คือบริษัทผู้ค้าปลีกและส่งนี่จะได้รับเครดิตจากบริษัทผู้ค้าน้ำมันมาประมาณ
7-15 วัน แต่เวลาขาย เขาขายเอาเงินสดเข้ามาเพราะฉะนั้นผู้ค้าจะต้องรีบขาย
เพื่อเอาเงินสดมาก่อน แล้วเอาเงินไปหมุนยังได้กำไรจากส่วนนี้อีก เพราะว่าเขายังไม่ต้องให้บริษัทน้ำมันในทันที
เพราะฉะนั้นก็จะทำให้มองเห็นแรงจูงใจว่าทำไมผู้ค้าน้ำมันจึงแข่งขันกันขาย
แทนที่จะฮั้วกันเพราะการทำอย่างนั้นจะหมุนเงินได้ช้าลง หรือขายได้น้อยลง
ซึ่งมันขัดกับลักษณะการค้าน้ำมันและอันที่สอง คือผู้ค้าแต่ละรายในความเห็นของผมแล้วเขามีต้นทุนไม่เท่ากัน
บางคนก็มีต้นทุนสูงบางคนก็มีต้นทุนต่ำ เพราะบางคนมีประสิทธิภาพในการบริหารในขณะที่บางคนไม่ค่อยจะมี
ฉะนั้นการฮั้วกันนี่ก็หมายความว่าจะต้องไปขายกันในราคาของผู้ค้าที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ซึ่งราคาต้องสูงกว่าแน่นอน ทั้งนี้ในระยะสั้นเขาอาจจะทำได้เพราะอาจจะรู้จักกัน
แต่ในระยะยาวแล้วนี่คนที่จะได้ประโยชน์ก็คือคนที่ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะเขาไม่มีคู่แข่งขัน
แต่เขาก็ยังได้กำไรในอัตราที่เขาเคยได้ ในขณะที่คนอื่นที่มีประสิทธิภาพในการบริหารสูงกว่าจำเป็นจะต้องเสียสละปริมาณการขายที่เขาควรจะได้
ในแง่ที่ว่าเขาสามารถขายได้ในราคาถูกกว่าคนอื่นเขาก็ไม่ได้ขาย เพราะเกรงใจเพื่อนฝูงกัน
ผมคิดว่าในเชิงการค้าแล้วมันทำได้ยากนระยะยาว ถึงแม้จะเป็นญาติกันก็ตามเพราะประโยชน์ของแต่ละคนมันก็สำคัญโดยเฉพาะธุรกิจน้ำมันผลกำไรึ้นอยู่กับปริมาณการขายโดยตรง
บริษัทน้ำมันทุกแห่งก็ให้ส่วนลดแก่ลูกค้าแบบขั้นบันไดคือถ้าซื้อมากส่วนลดก็จะมากขึ้นเป็นลำดับ
แม้แต่ในต่างจังหวัดก็ตาม ในความคิดของผมโอกาสของผู้ค้าจะลดราคายิ่งมีมากกว่าผู้ค้าในกรุงเทพฯเสียอีก
เนื่องจากว่าในต่างจังหวัดเขาจะได้กำไรจากค่าขนส่งด้วย ในกรุงเทพฯนี่ราคาที่รัฐบาลตั้งไว้นี่เป็นราคาซึ่งจะประหยัดค่าขนส่งได้น้อยกว่าและส่วนมากบริษัทผูค้าจะนำรถมาส่งถึงปั๊มอยู่แล้ว
แต่ในต่างจังหวัดปั๊มที่ใหญ่โตพอก็มกจะมีรถบรรทุกเป็นของตนเอง เขาก็สามารถ่จะเอารถเหล่านั้นมารับน้ำมันที่กรุงเทพฯและก็กลับไปต่างจังหวัด
ในราคาขนส่งที่ถูกกว่าราคาที่รัฐบาลตั้งเพราะว่ารัฐบาลได้ตั้งราคาขนส่งไว้ทุกจุดเลอย่างเช่นเชียงใหม่ในปัจจุบัน
รัฐบาลตั้งราคาขนส่ง 40 สตางค์ต่อรัฐ เขาก็อาจจะขนได้ในราคา 35 สตางค์ต่อลิตรจากการที่เขาเอารถมารับเอง
เขาก็สามารถเอากำไรส่วนนี้ไปลดราคาขายปลีกได้ เหมือนกับว่าเขามีประสิทธิภาพในการบริหารกิจการดีขึ้น
ต้นทุนต่อลิตรของเขาก็ถูกลง เพราะฉะนั้นเขาก็น่าจะตัดราคาได้มากกว่าและขายได้มากกว่าเพื่อเอาส่วนลดสูง
ๆ ผมก็ยังไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมเขาจะต้องไปฮั้วกับคนอื่น ๆ ด้วย
ในทางปฏิบัติสถานีบริการในต่างจังหวัดมักจะขายส่งด้วย เช่นจะขายให้แก่รถบรรทุรถโดยสารขาประจำหรือโรงสี
ในราคาที่ต่ำกว่าราคาขายปลีกควบคุม และมีการแข่งขันกันสูงมากผู้ค้าที่มีความได้เปรียบเรื่องการขนส่ง
มักจะตัดราคาเพื่อแย่งลูกค้าจากผู้อื่นอยู่แล้วในรูปของการแจกแถม
การแจกแก้วน้ำแก่ลูกค้าที่เติมน้ำมัน 300 บาท เท่ากับตัดราคาขายปลีกลง
8 สตางค์ต่อลิตร
แต่ก็อาจจะมีบ้างในบางกรณี อย่างเช่นอำเภอห่างไกล มีปั๊มเดียวขายผูกขาดอยู่
อันนี้ไม่ใช่การฮั้วแต่เป็นเพราะมีปั๊มเดียว แต่ในความคิดของผมแล้ว ในปัจจุบันนี้มันก็ยากนะครับที่จะโก่งราคาเพราะข่าวสารข้อมูลมันค่อนข้างกว้างขวาง
อย่างผมเองซึ่งเคยออกไปดูการค้าน้ำมันในต่างจังหวัดหลายครั้งเห็นว่าปัจจุบันเครือข่ายในการค้าน้ำมันในต่างจังหวัดค่อนข้างดี
มีกันแทบทุกจุดที่มีชุมชนอย่างกรณีบางท้องที่ไม่มีปั๊มอยู่ แต่ก็จะสังเกตุเห็นมีปั๊มมือหมุนหรือปั๊มหลอดแก้ว
ซึ่งชาวบ้านเป็นคนเอามาขายเองเต็มไปหมดทั่วประเทศ พูดได้ว่ามีประชาชนอยู่อาศัยถึงจุดไหนก็มีน้ำมันถึงจุดนั้น
เนื่องจากว่าลักษระการค้าน้ำมันมีการขยายตัวค่อนข้างดีอย่างนี้นี่เอง โอกาสที่ใครจะผูกขาดที่จุดใดจุดหนึ่งโดยเฉพาะนี่คงจะลำบาก
แม้ว่าจะมีจุดบอกอยู่บ้าง ซึ่งอันนี้ก็ต้องพิจารณาดูเป็นราย ๆ ไป แต่โดยทั่วไปแล้วมีการแข่งขันค่อนข้างมากในต่างจังหวัด
ทั้งระดับขายส่งและระดับขายปลีก และเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่ารัฐบาลก็กำลังสนับสนุนให้มีผู้ค้าปลีกน้ำมันมากขึ้นในอนาคตอยู่แล้ว
พูดถึงราคาน้ำมันลอยตัวโดยทั่ว ๆ ไปลอยตัวคำเดียวนี่หมายถึงการลอยตัวสมบูรณ์มีการแข่งขันกันทุกจุดเหมือนอย่างในประเทศพัฒนแล้ว
เขาจะไม่มีการตั้งราคาหน้าโรงกลั่นไม่มีการตั้งราคานำเข้า และก็จะไม่มีกองทุนน้ำมันเขาก็จะตั้งอัตราภาษีไว้ในอัตราที่คงที่เท่านั้นเอง
ส่วนราคานำเข้า หน้าโรงกลั่นและขายส่งก็ให้ขึ้น-ลงตามสภาวะของราคาน้ำมันโลก
หรือตามต้นทุนที่แท้จริง หรือว่าตามสภาวะการแข่งขันและราคาขายปลีกก็ลอยตัวกันอย่างเสรีไม่มีการตั้ง
แต่สำหรับบ้านเรา ถ้าลอยตัวก็ต้องดูกันว่าจะให้ลอยตัวกันแบบไหน ถ้าลอยตัวกันจริง
ๆ ไม่คุมราคานำเข้าไม่คุมราคาหน้าโรงกลั่น ในกรณีนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีเงินกองทุน
เพราะฉะนั้นราคาขาปลีก็จะเหมือนประเทศพัฒนาแล้ว คือมีการขึ้นลงตลอด จะช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับราคาตลาดโลกมันผันผวนกันขนาดไหน
แต่อย่างไรก็ตามราคาที่ขายก็จะสะท้อนถึงราคาต้นทุนที่แท้จริงของน้ำมัน
แต่ถ้าเป็นแบบกึ่งลอยตัว ซึ่งผมเห็นว่าถ้าเมืองไทยจะทำก็ควรจะเริ่มที่กึ่งลอยตัวก่อน
ลองดูก่อนว่าเราจะทำได้แค่ไหน ส่วนกึ่งลอยตัวก็คือมีการตั้งราคาหน้าโรงกลั่น
ราคานำเข้า และยังมีการตั้งเงินกองทุนและภาษี แต่ปล่อยให้ราคาขายปลีกเปลี่ยนแปลงอย่างเสรี
อันนี้จะสร้างความเคยชินให้กับประชานว่าราคาจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่ก็จะไม่มากจนเป็นที่น่าตกอกตกใจ
หรือจนมีผลในทางร้าย เพราะยังมีกองทุนอยู่ ในระยะยาวก็ค่อย ๆ ลดบทบาทของเงินกองทุนลง
โดยให้เปลี่ยนแปลงในช่วงที่จำกัด แล้วยกเลิกไปในที่สุด
ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการลอยหรือกึ่งลอยตัวของราคาน้ำมัน คือผู้ซื้อปลีกจะซื้อน้ำมันหน้าปั๊มในราคาที่มีการแข่งขันกันมากขึ้นกว่าปัจจุบัน
ส่วนผู้ซื้อส่งคือซื้อเป็นจำนวนมาก ๆ ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะเขาซื้อในราคาลอยตัวอยู่แล้ว
ทีนี้เราจะเริ่มที่ไหนก่อน ผมว่าน่าจะทำให้เขตที่มีการแข่งขันกันมาก่อน
เช่นกรุงเทพฯซึ่งทุกคนมีความรู้สึกมั่นใจ เพราะว่ามีปั๊มน้ำมันมากโอกาสที่จะรวมกันตั้งราคาคงไม่มี
ต่างคนต่างค้าขายกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นกรุงเทพฯก็น่าจะเป็นสนามที่น่าทดลอง
จากนั้นแล้วถ้าเห็นว่ามีการแข่งขันกันดีขึ้น เนื่องจากผู้ค้ามีการตัดราคากัน
ก็จะนำไปสู่การขยายผลในขอบเขตที่กว้างขวางขึ้น
ผมคิดวาน่าจะเป็นการเริ่มต้นที่เหมาะสม