Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2532








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2532
พันธุ์ทิพย์พลาซ่า ถึงยุคหัวเลี้ยวหัวต่อเจริญอาจขายทิ้ง             
โดย ปฏิญา เจตนเสน
 


   
search resources

พันธุ์ทิพย์พลาซ่า
ทิพย์พัฒน อาเขต, บจก.
เจริญ สิริวัฒนภักดี
Shopping Centers and Department store




เจริญ สิริวัฒนภักดี เข้ามาซื้อหนี้ทั้งหมดของกลุ่มบุนนาคที่ติดค้างอยู่กับเจ้าหนี้รายใหญ่แบงก์ไทยทนุ และบงล.ภัทรธนกิจ กว่า 500 ล้านบาทในโครงการอสังหาริมทรัพย์ พันธุ์ทิพย์พลาซ่าที่ล้มเหลวมาตลอด เขาพยายามฟื้นฟูทรัพย์สินตัวนี้ โดยให้กลุ่มทีซีมัยซินของเฉลียว อยู่วิทยา เข้ามาบริหารจัดการคู่กับมงคล ทัฬหะกุลธร ลูกหม้อเก่าพันธุ์ทิพย์ฯ ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการซื้อขายทรัพย์สินตัวนี้ และเป็นผู้เดียวที่รู้ความซับซ้อนในปัญหาของพันธุ์ทิพย์มากที่สุด พันธุ์ทิพย์พลาซ่าได้มาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อแล้ว…

ทุกวันนี้พันธุ์ทิพย์พลาซ่าเงียบเหงาซบเซาสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น หากแต่เนิ่นนานมาแล้ว ที่เป็นเช่นนั้น ตั้งแต่แรกเริ่มเดิมทีที่ก่อตั้ง เพราะความผิดพลาดของดีพาร์ทเมนท์สโตร์ที่น่าจะเป็นแกนหลักในการดึงลูกค้า แต่ก็กลับล้มเหลว ความล้มเหลวผิดพลาดเริ่มพอกพูนสะสมนานนับเดือนนับปี ที่ว่างในส่วน PLAZA ถูกขายคืนแก่ทิพย์พัฒนอาเขตเกือบหมด ภาระดอกเบี้ยจากของใหม่ ภัตตาคารพันธุ์ทิพย์ลงทุนขนาดใหญ่เกินไป หาจุดคุ้มทุนต่อเดือนยากแสนเข็ญ ภาวะการแข่งขันที่รุนแรงของศูนย์การค้าทุกอย่างเหมือนพายุลูกใหญ่ที่โหมกระพือพัดเข้าสู่พันธุ์ทิพย์

บริษัททิพย์พัฒนอาเขต ซึ่งเป็นผู้ลงทุนในทรัพย์สินอาคารศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์จึงอยู่ในภาวะอึดอัดมาก

การแก้ปัญหา ผู้ที่เป็นเจ้าหนี้ผู้ค้ำประกันมักจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้เงินที่ปล่อยไปต้องสูญ นั่นเป็นเหตุผลง่าย ๆ ซึ่งอยู่ในข่ายของการแก้ปัญหาพันธุ์ทิพย์ในครั้งแรก บริษัทไพบูลย์ สมบัติของตระกูลบุนนาคเข้ามารับซื้อกิจการทรัพย์สินพันธุ์ทิพย์เพราะดุลยเดช บุนนาคเป็นผู้ค้ำประกันฐานะการเงินตั้งแต่ต้นโครงการ และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ ซึ่งนำทีมโดยวิโรจน์ นวลแข (บุนนาค) ก็เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ เปลี่ยนมือจากเจ้าของเก่า กลุ่มศรายุทธ อัศวทิพย์ไพบูลย์มาเป็นของตระกูลบุนนาค เมื่อมีนาคม 2528

ครั้งที่สองและเป็นครั้งล่าสุด คือเจริญ สิริวัฒนภักดี แห่งค่ายหงส์ทอง รับซื้อทรัพย์สินจากตระกูลบุนนาค ทรัพย์สินที่ว่าก็ไม่ใช่แต่เฉพาะที่พันธุ์ทิพย์แห่งเดียวเท่านั้น ยังมีที่ดินอีก 5 แปลง คือ 28 ไร่ตรงข้ามโกดังอี๊สต์เอเชียติ๊ก ถนนเจริญกรุง 270 ไร่ ที่สวนเกษตรทับสะแก ที่ดินบริเวณตลาดเก่าเยาวราช สวนปาล์มที่ชุมพร 1,000 ไร่และที่ดินย่านถนนวิภาวดีฯอีก 5 ไร่ ซึ่งเป็นของตระกูลบุนนาค เรียกว่ารับซื้อภาระหนี้มาทั้งหมด 1,000 ล้านบาทเศษ เมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2531

เจริญซื้อทรัพย์สินจากไพบูลย์สมบัติครั้งนี้เงื่อนไขดีมากเงินซื้อ 1,000 ล้านบาทเศษอยู่จ่ายเป็นรายเดือนกำหนด 10 ปี ซึ่งไม่รู้ว่าอีก 10 ปีข้างหน้าที่ดิน 5 แปลงที่ว่านั้นราคาสูงขึ้นไปอีกเท่าไร

ปัจจุบันพันธุ์ทิพย์ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นของเจริญนักซื้อ แต่ถ้าพูดถึงผู้ที่เข้ามาดูาแลกิจการอยู่เวลานี้กลับไม่ใช่คนที่มาจากค่ายหงส์ทอง กลุ่มกระทิงแดงบริษัท ทีซี มัยซินของเฉลียวอยู่วิทยาประมาณ 6-7 คนเข้าไปนั่งสั่งการในทรัพย์สินของเจริญหลายอย่างที่ตึกทีซีซี (สำนักงานของค่ายหงส์ทอง) แถวเจริญกรุงนั่น พันธุ์ทิพย์เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น

การเปลี่ยนมือเจ้าของ หรือแม้กระทั้งตัวผู้บริหารที่ผ่านมาครั้งแล้วครั้งเล่า เปลี่ยนคอนเซ็ปท์ของอาคาร จนกระทั่งจะพยายามให้เป็นอาคารสำนักงาน แต่ก็ยังมีคนที่ดำรงอยู่กับพันธุ์ทิพย์อย่างไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่สมัยพันธุ์ทิพย์เป็นของตระกูลาบุนนาค เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เขาอยู่มาจนปัจจุบัน มีงานวิจัยอย่างน้อย 3 ชิ้นเกี่ยวกับพันธุ์ทิพย์พลาซ่าและตั้งข้อสังเกตว่า จุดล้มเหลวมันอยู่ที่ MISMANAGEMENT และตัวเขาเองก็เป็นผู้นำของขบวนการอันซับซ้อนเหล่านั้น เรื่องมันจึงประกอบกันไปหมด ผลก็คือความเหงาหงอยของพันธุ์ทิพย์เท่าที่เห็นอยู่ทุกวันนี้

บริษัท ทิพย์พัฒนอาเขต ซึ่งเป็นบริษัทที่ลงทุนพันธุ์ทิพย์พลาซ่า และภัตตาคารพันธุ์ทิพย์ พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นผู้บริหารเนื้อที่ทั้งหมดภายในตึก วัตถุประสงค์เดิมคือ การสร้างศูนย์การค้าที่ยิ่งใหญ่และสมบูรณ์แบบ ก่อนที่จะเป็นตึกสวยหรูนี้สถานที่ตรงนั้นเคยเป็นย่านสลัมมาก่อน เป็นที่ดินของหม่อมราชวงศ์พันธุ์ทิพย์ บริพัตร ศรายุทธ อัศวทิพย์ไพบูลย์ ผู้เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ทิพย์พัฒนอาเขตขณะนั้นได้ทำสัญญาเช่าที่ ในราคาค่าเช่าเดือนละ 150,000 จากหม่อมพันธุ์ทิพย์ด้วยบารมีสนอง ตู้จินดา ซึ่งเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินให้กับ หม่อมราชวงศ์ พันธุ์ทิพย์บริพัตร ในฐานพ่อของศรายุทธเป็นเพื่อนสนอง และเช่าที่หม่อมพันธุ์ทิพย์ที่เวิ้งนครเกษมมาก่อน จึงไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด

ตึกพันธุ์ทิพย์ก่อสร้างแล้วเสร็จก็เปิดดำเนินการเมื่อปี 2527 แบ่งส่วนประกอบของที่ว่าง เพื่อการใช้ประโยชน์ในตอนแรกไว้ให้เป็นพลาซ่าหรือศูนย์การค้า โดยขายที่วางให้กับร้านค้าต่าง ๆ ตามความเหมาะสม และทำเป็นดีพาร์ทเมนท์สโตร์อีกส่วนหนึ่ง โดยให้บริษัทเอ็กเซลดีพาร์มเมนท์สโตร์ของเสี่ย "เป็ด" โอภาส รางชัยกุล เข้ามารับผิดชอบในส่วนนี้

แหล่งข่าวกล่าวว่า "ช่วงแรกพื้นที่ของศูนย์การค้านี่ขายดีมาก ขายได้กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ บางเจ้าจองถึง 5 ห้อง เอาไว้เก็งกำไร" ปรากฎว่าตรงนี้นี่เอง ที่เป็นเสมือนดาบที่ย้อนกลับเข้ามาแทงบริษัท ทิพย์พัฒนอาเขต ในเวลาต่อมา เพราะตามสัญญากู้ซึ่งร้านค้าต่าง ๆ จะต้องทำกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจระบุไว้อย่างชัดเจนว่า กรณีที่ลูกค้าไม่สามารถจ่ายเงินค่าห้องตามสัญญาได้ บริษัท ทิพย์พัฒนอาเขต ต้องซื้อพื้นที่ตรงนั้นคืน

เมื่อเกิดการล้มเหลวของดีพาร์ทเมนท์สโตร์ จุดที่จะดึงคนเข้ามาก็ไม่มี พวกร้านค้าต่าง ๆ จึงไม่ต้องการพื้นที่อีกต่อไปในที่สุดก็ปล่อยให้ขาดการผ่อนชำระแล้วปล่อยให้เป็นภาระหน้าที่ของบริษัททิพย์พัฒนอาเขต ขายได้ 70% แต่ปรากฎว่าตีกลับคืนมาเสีย 60% เป็นจำนวนเงินถึง 300 ล้านบาท ที่ซื้อจริง ๆ มีเพียง 50 ล้านบาทเท่านั้น นั่นหมายถึงรายได้เพื่อนำไปชำระดอกเบี้ยอีกล้านสิบล้านต่อปี เฉพาะตรงนี้เท่านั้นนะตกหล่นหายไปยังไม่รวมดอกเบี้ยจากหนี้สินที่ใช้ในการลงทุนกับตึกพันธุ์ทิพย์นี่อีก 300 กว่าล้านบาท ดอกเบี้ยจึงบายไม่รู้เท่าไหร่ คิดง่าย ๆ แค่ 10% ก็ปาเข้าไป 55 ล้านบาทแล้ว" แหล่งข่าวเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

มรสุมลูกต่อมาคือ การจัดตั้งภัตตาคารพันธุ์ทิพย์บนชั้น 5 มันเป็นความผิดพลาดที่เกิดจากลงทุนในภัตตาคารที่มีขนาดใหญ่เกินไป ใช้เนื้อที่มากถึง 5,000 ตร.เมตร ภัตตาคารแห่งนี้สามารถรองรับแขกได้ถึง 1,500 ที่ เคยโฆษณาว่าใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากมูแรงรูจในปารีส จุดคุ้มทุนในการเปิดแต่ละครั้งต้องมีคนประมาณ 40-50 เปอร์เซ็นต์ตกประมาณ 700-800 คน ซึ่งถ้าไม่มีการวางแผนที่ดีโอกาสที่จะขาดทุนนั้นมีสูงมาก่และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ "เค้าตัดสินใจกันผิด แคชโฟลที่มันช็อตอยู่แล้ว เพราะดอกเบี้ยมันสูงมาก แล้วยังต้องเอาเงินที่หมุนมาจากการขายพื้นที่ตรงพลาซ่า มาลงทุนกับภัตตาคารขนาดโอเวอร์ไซส์ อย่างนั้นมันก็ยิ่งไปกันใหญ่ ขาดทุนเดือนละประมาณ 2 ล้าน ปีละกว่า 20 ล้านบาทยังไม่รวมค่าดอกเบี้ย" แหล่งข่าวกล่าว

จากนั้น ตระกูลบุนนาคก็จับมือกันเข้ามาซื้อหุ้นไว้ทั้งหมด จากกลุ่มศรายุทธในวงเงินประมาณ 400 ล้านบาทในนามบริษัทของตระกูลคือบริษัทไพบูลย์สมบัติ จำกัด นัยว่าเพื่อเข้ามาช่วย ดุลยเดช บุนนาค มงคล ทัพพะกุลธร จึงถูกแนะนำตัวมาในช่วงนี้ โดยไพบูลย์ สำราญภูติ อ้างว่าเขาเป็นผู้แนะนำมงคลให้แก่พวกบุนนาคเอง เมื่อมีนาคม 2528 หลังจากที่เปิดได้เพียง 1 ปีก็เปลี่ยนมือ ทั้งเจ้าของและผู้บริหารบริษัท ทิพย์พัมนอาเขต จึงตกเป็นทรัพย์สินส่วนหนึ่ง ของตระกูลบุนนาคทรัพย์ส่วนหนึ่ง ของตระกูลบุนนาคมาตั้งแต่บัดนั้น ส่วนบริษัท เอก็เซลดพาร์มเมนท์สโตร์ถูกเปลี่ยนเป็น บริษัท พันธุ์ทิพย์ ดีพาร์ทเมนส์สโตร์ ทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแลของมงคล

มงคลเคยทำงานอยู่ในบริษัท อินเตอร์ไลฟ์ประกันชีวิตเคยอยู่ด้วยกันมากับไพบูลย์ สำราญภูติที่นั่น เมื่อถูกทาบทามตัวให้ไปทำงานที่เดอะมอลล์ ของตระกูลอัมพุช ก็ตัดสนิใจไปและสร้างผลงานจนตระกูลอัมพุชไว้ใจให้มงคลดูแลที่สาขารามคำแหงในตำแหน่งผู้จัดการใหญ่เดอะมอลล์รามคำแหง (เปิดใหม่) แล้วในที่สุดก็ถูกเสนอตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ของบริษัท ทิพย์พัฒนอาเขตให้ดูแลพันธุ์ทิพย์พลาซ่า ดีพาร์มเมนท์สโตร์ รวมถึงภัตตาคารบนชั้น 5 ด้วย

ในช่วงเวลานั้นมงคลคงพยายามกู้สถานการณ์ จากภาวะหนี้ต่าง ๆ ปัญหาฟ้องร้องทั้งหลาย (อ่าน "ผู้จัดการ" รายเดือนศึกอีรุงตุงนังในพันธุ์ทิพย์ดีพาร์ทเมนท์สโตร์ ฉบับ 39 ธันวาคม 2529) และการบริหารในลักษณะต่าง ๆ แหล่งข่าวรายหนึ่งกล่าวว่า "พันธุ์ทิพย์ภัตตาคาร ขาดทุนน้อยลงนะสมัยมงคล" การพยายามพัฒนาปรับปรุงนั้นไม่เป็นผลสำเร็จ ด้วยสาเหตุหลายอย่าง อย่างน้อยก็ลูกติดพันจากปัญหาเก่า ๆ ทำให้สถานภาพโดยตัวมันเอง มีอาการแย่ ยากที่จะเยียวยารักษาถ้ายังต้องการให้ดำรงสภาพเป็นศูนย์การค้าและดีพาร์ทเมนท์สโตร์อย่างที่กำหนวไว้แต่แรก บางคนบอกว่าเป็นเพราะสถานที่ตั้ง ประกอบกับถนนวันเวย์ ไม่มีกำลังการต่อรองจากซัพพลายเออร์ ไม่มีการทุ่มงบโฆษณา ไม่มีการเปิดขยายสาขา แถมท้ายด้วยปัญหาการแข่งขันอย่างรุนแรง แหล่งข่าวบางคนบอกว่า "การบริหารใช้ระบบครอบครัว ของตระกูลบุนนาค" จึงทำให้ไม่มีเอกภาพในการบริหาร

แต่ตามความเป็นจริง กลุ่มตระกูลบุนนาคไม่สู้จะมีความรู้ความชำนาญทางด้านศูนย์การค้าเท่าใดนัก นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ต้องดึงมงคลเข้ามา เวลา 3 ปีมนนานพอที่จะจัดการระบบวางแผนการดำเนินงานให้เข้ารูปเข้ารอยตามความสามารถของมงคลผู้ที่มีความชำนาญ ผ่านประสบการณ์จากห้างใหญ่ ๆ มาแล้ว ในทำนองเดียวกันเวลา 3 ปีก็นานพอที่เขาจะสร้างอะไรที่มันสลับซับซ้อน ให้ยุ่งยากพอที่จะไม่มีใครแก้ได้นอกจากเขาคนเดียวได้เช่นกัน

บริษัท รัชทัต และบริษัท พันวัง เป็นบริษัทที่ถูกตั้งขึ้นในระหว่างที่มงคลเข้าไปดูแลวัตถุประสงค์ที่ตั้งขึ้นมา ก็เพื่อรับซื้อรับฝากขายร้านค้าในศูนย์การค้าที่ไม่ต้องการจะค้าขายต่อไปแล้วนำไปให้เช่าต่อ มีลักษณะเป็นบริษัทโบรกเกอร์ ที่ต้องตั้งขึ้นมาอีกสองบริษัทก็เพราะว่า หากจะใช้เป็นชื่อบริษัททิพย์พัฒนอาเขตเลย ก็จะดูไม่เหมาะ แต่สำหรับผู้บริหารก็เป็นทีมเดียวกับทิพย์พัมนอาเขต คือมงคลและพรรคพวก 7 ทหารเสือที่เป็นเสือจริง ๆ

ข้างในนั้นมีผลประโยชน์หลายอย่างที่แสวงหาได้ พึงจะมีพึงจะได้คล้าย ๆ กับ "ถ้าให้มาก็เอา" สิ่งที่ได้ตอบแทนก็คือความสะดวก จะว่าไปก็คนไทยเราชอบช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันแบ่งกันกินแบ่งกันใช้บ้าง ไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นเรื่องตามน้ำธรรมดา ๆ แต่จะเอากันจริง ๆ ก็มีมากกว่านั้น

พื้นที่ของร้านค้าบางเจ้าถูกเช่าในอัตราที่ถูกกว่าคือตารางเมตรละ 60-70 บาท ซึ่งอัตราปกติจะราคาตั้งแต่ 200-600 บาท นัยว่ารู้จักกัน จึงได้ราคาถูก

บริษัทคู่มือซื้อขายของเพื่อนซี้ที่ชื่อณรงค์ที่ยอมรับว่ามงคลมีเอี่ยวถือหุ้นด้วยในนามบริษัทิพย์พัฒนอาเขตอยู่ 50% เช่าพื้นที่ 1,500 ตร.เมตร เป็นตัวอย่างที่ยืนยัน

ทุกอย่างยังคงคาราคงซังอยู่ในพันธุ์ทิพย์ มงคลและพรรคพวก 7 ทหารเสือคงจะตอบปัญหาเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี

เป็นเวลาเนิ่นนาน กิจการทรัพย์สินของตระกูลบุนนาคกลับมีอันต้องเข้าสู่วิกฤติการณ์ที่ล่อแหลมอันตรายด้วยภาระหนี้สินมากมาย "เจริญอาจจะถูกขอร้องให้ซื้อ หรืออาจถูกเสนอให้พิจารณา ในฐานะเป็นนักซื้ออยู่แล้วก็เลยซื้อไว้"

และมงคลก็เป็นตัวหลักที่ปั้นข้อเสนอนี้ให้เจริญซื้อ

เจริญ สิริวัฒนภักดี แห่งค่ายหงส์ทองผู้มีฉายาว่าเป็นนักซื้อตัวยง ประกอบกับอยู่ในฐานะที่สามารถทำได้และอาจจะมีเหตุผลมากกว่านั้น ดร.มารตี บุนนาค ซึ่งเป็นผู้ชี้ขาดในการขายทรัพย์สินตระกูลบุนนาคครั้งนี้ ก็เป็นภรรยาของเฉลิมชัย วสีนนท์ อธิบดีกรมสรรพสามิต )ปัจจุบันเกษียณแล้ว) ผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกับเจริญในครั้งนี้ขอใบอนุญาตผลิตเหล้าอยู่ด้วย

แต่ที่สำคัญที่ใคร ๆ อาจจะมองไม่เห็น คือเหตุผลส่วนตัวของนักซื้ออย่างเจริญคงจะมองไปไกลในระยะยาวที่แสนคุ้มนั้นก็เป็นได้ แหล่งข่าวที่เคยทำงานกับเจริญอย่างใกล้ชิดหลาย ๆ คนบอกว่า คน ๆ นี้ละเอียดรอบคอบ มองการณ์ไกลกว่าพวกนักวิชาการเป็นไหน ๆ จนบางอย่างเราคิดไม่ถึง การซื้อขายกันครั้งนี้มีมูลค่าเป็นพันล้านบาท พันธุ์ทิพย์นั้นเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีที่ดินอีกหลายร้อยไร่ของตระกูลบุนนาคกระจายไป ต่างจังหวัดบ้างกรุงเทพฯบ้าง ผู้ที่โล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกคือเจ้าหนี้รายใหญ่ ภัทรธนกิจและธนาคารไทยทนุ โดยเฉพาะภัทรธนกิจของวิโรจน์ นวลแข ถึงขนาดต้องไปบวชแก้บน เพราะเท่ากับเจริญได้รับสภาพหนี้แทน บริษัท ไพบูลย์สมบัติ ของบุนนาคทั้งหมดเงินทองที่ปล่อยกู้ไปกว่า 200 ล้านบาทก็เป็นอันว่าจะได้คืน

ถึงจะนานถึง 10 ปีกว่าจะได้คืนทั้งหมด ก็ยังดีกวาการยึดเอาศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ของไพบูลย์สมบัติเอาไว้เฉย ๆ เสียอีกนั้นเป็นแง่มุมมองของสถาบันการเงิน เนื่องจากทรัพย์สินจะเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ยาก โดยเฉพาะศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ในเวลานั้นก็มีแต่เงียบเหงาซบเซาทุกวัน

สิงหาคม 2531 พันธุ์ทิพย์ถูกเปลี่ยนมือมาสู่เจริญ และช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่เจริญมีโครงการที่จะพัฒนาทรัพย์สินที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นของเก่าหรือที่ซื้อมาใหม่ก็ตาม โครงการพัฒนาทีดิ่นเป็นโครงการใหญ่ ซึ่งมีทั้งโรงแรม คอนโดฯ โกดังสินค้า บ้านจัดสรร สวนเกษตร และภัตตาคาร ความไม่ชำนาญในด้านต่าง ๆ ทำให้เจริญต้องดึงมือดี ๆ มาช่วยหลายคน ทางด้านการขายคนที่ถูกแนะนำเข้ามาโดยมงคงคือไพบูลย์ สำราญภูติ ด้านบัญชีคือ อนุสรณ์ เกียรติกังวาลไกล ด้านโรงแรมคือโรเบิร์ตผู้ที่บริหารตึกใบหยกอยู่ในเวลานี้

ส่วนที่พันธุ์ทิพย์คือบริษัท ทิพย์พัมนอาเขต มงคลยังคงดูแลอยู่ในตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ ส่วนภัตตาคารเจริญดึงมือดีอีกคนหนึ่งเข้ามาช่วยคือ วิชิต ฟราสซิส ตันติประสูต จาก ร.ร.แอม บาสซาเดอร์

นอกจากนี้เจริญยังทำการโยกย้ายพนักงานจากค่ายหงส์ทอง (ทีซีซี) มาอยู่ที่พันธุ์ทิพย์ไปที่ซีซี หนึ่งคือ สุวิทย์ ธนปกิจ สองคือ ไพบูลย์ ลิ้มวินิจฉัย ทั้งสองบ้วนแล้วแต่เป็นคนเก่าแก่ของพันธุ์ทิพย์

การปรับปรุงพันธุ์ทิพย์ภายใต้การดูแลของเจริญในช่วงนี้ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าที่ควร

ถึงแม้จะมีมือดีมาร่วมงานอยู่หลายคน ส่วนใหญ่ก็ยังคงให้มงคลบรรเลงต่อไป เหมือนเมื่อครั้งที่ตกอยู่ในมือของบุนนาคที่มงคลทำงานได้อย่างสบายมือ เพราะเป็นผู้สานความซับซ้อนด้วยตัวเอง แหล่งข่าวรายหนึ่งกล่าวว่า "ก็ไม่มีใครรู้เรื่องอะไรถ้าไม่ให้มงคลทำก็ไม่มีใครทำได้ มงคลเท่านั้นที่เหมาะสมที่สุด"

พื้นที่ตรงดีพาร์ทเมนท์สโตร์กว่า 2,000 ตร.เมตร และพลาซ่าที่แบ่งเป็นห้อง ๆ 10% ที่ขายไป ยังเป็นปัญหาหนามยอกออกที่ทิ่มแทงกลุ่มผู้บริหารและเจริญอยู่ พูดอีกนัยหนึ่ง ยังไม่มีทางออกในการแก้ปัญหา

รายได้จากพื้นที่ส่วนเป็นพลาซ่า แทบจะไม่เข้ามาบริษัททิพย์พัฒนอาเขตมากจนคุ้มต่อค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดในการเปิดดำเนินการ

พูดง่าย ๆ เวลานี้ การดำเนินงานของพันธุ์ทิพย์ขาดทุนตลอดและกินทุนบริษัททิพย์พัมนอาเขตเข้าไปทุกที

เจริญคงเข้าใจสถานการณ์ มงคลจึงยังนั่นอยู่ที่ ทิพย์พัฒนอาเขต พันธุ์ทิพย์ชั้น 4 ไม่ไปไหน

มือดีหลาย ๆ คนยังไม่มีโอกาสได้ทำอะไร ก็ทยอยขอลาออกไปเสียก่อน ที่จริงพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้รับผิดชอบ เพียงแต่พันธุ์ทิพย์ดังกล่าวข้างต้น เพราะฉะนั้นจึงเป็นสาเหตุให้มงคลยังคงต้องดูแลพันธุ์ทิพย์เหมือนเก่าต่อไป แต่…มันจะเริ่มมีความยากลำบากมากขึ้น เมื่อมีบุคคลเหล่านี้เข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงต่าง ๆ ในบริษัทที่ไม่สะอาดเท่าไหร่นักทุกคนที่เข้าไปสัมผัสย่อมต้องรู้แม้แต่เจริญ เขาไม่ใช่คนที่ไม่รู้เรื่อง ที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอไร เครื่องมือที่เจริญมีอยู่ในการแก้ปัญหาขณะนั้น ก็คือมือดี ๆ ทั้งหลายแต่ก็อีกนั่นแหละ ความซับซ้อนซ่อนเงื่อนที่เปรียบเสมือนแดนสนธยาของบริษัท ทิพย์พัฒนอาเขต ทำให้คนที่จะเดินเข้าไปมืดแปดด้าน จับต้นชนปลายไม่ถูก รู้แต่เพียงว่า มันผิดปกติ ประกอบกับไม่ได้เชี่ยวชาญทางศูนย์การค้าเป็นพิเศษ จึงไม่สามารถให้ความเห็นกับเจริญได้อย่างชัดเจนนัก

ข้อผิดพลาดของเจริญประการสำคัญที่ไม่สามารถดึง มือดี ๆ เหล่านั้นไว้เป็นแขนขาของตัวเองได้ ทั้งที่ได้ไปติดตามตื้อให้มาร่วมงานกันหลายครั้งหลายครา กว่าแตะละคนจะตกปากรับคำ แต่อยู่ได้เพียงไม่กี่เดือนก็ลาออกไปจนหมด คือลักษณะผูกขาดอำนาจการตัดสินเองทุกเรื่องขณะที่การตัดสินใจที่ไม่เด็ดขาด เพราะความละเอียดถี่ถ้วนมากจนเกินไป ทำให้ลังเลไม่อนุมัติโครงการใดง่าย ๆ หลาย ๆ กรณีที่เกิดขึ้น แม้แต่พันธุ์ทิพย์พลาซ่าเอง ซึ่งมงคลดูแลอยู่ก็ไม่มีอิสระในการทำงานเหมือนเดิม อย่างน้อยจะทำอะไรต้องเสนอให้เจริญรับทราบทุกเรื่อง และอยู่ภายใต้อำนาจการตัดสินใจของเจริญ ซึ่งมงคลไม่สามารถจะผลีผลามทำอะไรได้เลย เขาเคยระบายความรู้อึดอัดออกมาว่า เจริญน่าจะตัดสินใจออกมาเลยวาจะเอายังไงกับพันธุ์ทิพย์

ความจริงแล้ว ถ้ามองในฐานะของเข้าของกิจการ เจริญก็ละเอียดรอบคอบมาก แต่สำหรับผู้ร่วมงานคนอื่น ๆ อาการลังเลของการตัดสินใจของเจริญ เป็นสิ่งที่ขัดขวางการทำงานของพวกเขาอย่างมากมาย เพราะเมื่อเจริญบอกว่า "เออ…อันนี้ก็ใช้ได้ แตคุณลองเอาไปทบทวนใหม่อีกครั้งแล้วกันนะ" นั่นหมายถึง โครงการนั้นไม่สามารถเดินทางได้ งานอะไรก็ยังไม่ต้องเริ่ม เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นบ่อยในที่ประชุม หรือเวลาที่มีการเสนอโครงการต่าง ๆ มือดี ๆ เหล่านั้นเมื่อมีพละกำลังมาก แต่ใช้อะไรไม่ได้ จึงต้องขอลาออกไป เพื่อไปหาทางปลดหล่อยพละกำลังลงสู่ที่อื่นไปโดยปริยาย ดังรายไพบูลย์ สำราญภูติ ที่ไปอยู่กับกลุ่มนครไทยสตีลเวอร์คของสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ขายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราชอนุสรณ์ เกยรติกังวาลไกล กลับไปทำธุรกิจส่วนตัว ที่ปรึกษากฎหมายและบัญชีเหมือนเดิม

ผู้ที่ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จในการทำงานให้เจริญเป็นชิ้นเป็นอัน และใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่เห็นจะเป็นฟรานซิส ตันติประสูต ซึ่งเข้ามานั่นในตำแหน่งผู้จัดการพันธุ์ทิพย์ภัตตาคาร ตั้งแต่กันยายน 2531 ฟรานซิสสามารถทได้แตกต่างจากมือดีรายอื่น ๆ นั้นอยู่ตรงที่ เขาลุยงานโดยไม่ต้องของบประมาณจากเจริญมากนัก หลาย ๆ อย่างที่เขาจัดการเปลี่ยนแปลง ซ่อมแซมโดยใช้คนเก่า ๆ ที่เคยทำใช้กันมา ก็ได้ราคาถูก แล้วเขาก็ใช้รายได้จากการดำเนินงานของภัตตาคารเองมาหนุนใช้จ่าย ทำให้ไม่ต้องรอการอนุมัติงบจากเจริญเหมือนเช่นกรณีอื่น ๆ ประกอบกับฝีมือและประสบการณ์ของเขาเอง ในการบริหารางานภัตตาคาร ถึงแม้จะเป็นภัตตาคารที่มีขนาดใหญ่มากจนหาจุดคุ้มทุนลำบากแล้ว แต่เขาก็ยังสามารถเพิ่มยอดขายได้สูงขึ้นเรื่อย ๆ แหล่งข่าวรายหนึ่งเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า "สมัยก่อนทัวร์จีนรับมาถูก ซึ่งจะไปตำหนิคุณมงคลก็ไม่ได้ เพราะแกไม่มีความชำนาญ แต่เดี๋ยวนี้เราไม่เอาทัวร์ ส่วนใหญ่เป็นแขกชั้นสูงในกรุงเทพฯ แล้วตั้งราคาสูงก็เลยไปได้อีกประการหนึ่ง ฟรานซิสฉลาดลดต้นทุนรายจ่ายด้านจัดซื้ออาหารลงได้ 30% ยอดขายเพียง 20% ของจำนวนที่ทั้งหมดก็พอลดการขาดทุนไปได้มาก"

หลังจากที่มือดีทยอยออกไปหมดเมื่อเดือนพฤษภา-มิถุนาที่ผ่านมา กลุ่มบริษัททีซีมัยซินหรือกระทิงแดงของเฉลียว อยู่วิทยาที่ส่งเฉลิม อยู่วิทยา ลูกชายให้ส่งพรรคพวกเข้ามานั่งบริหารทรัพย์สินหลายอย่างที่ทีซีซี

ยังไม่มีใครทราบว่ามันเป็นวิธีการของเจริญที่แสดงความไม่ไว้ใจมงคล หรือว่าเป็นการแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกัน หรือเป็นการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์สั้น ๆ ของกลุ่มกระทิงแดงโดยเฉพาะ หรือเจริญมองผลประโยชน์ระยะยาวที่ไกลกว่านั้น ทรัพย์สินที่กลุ่มกระทิงแดงเข้าไปบริหารนั้นอย่างน้อยก็มีที่โรงแรมแม่ปิง เสนานิเวศน์ และที่แน่นอน คือพันธุ์ทิพย์เวลานี้

ความเกี่ยวข้องของเจริญกับกลุ่มกระทิงแดง (ทีซีมัยซิน) เกิดจากสาเหตุที่ว่า กลุ่มกระทิงแดงของเฉลียวก็ได้ใบอนุญาติจากสรรพสามิตในการผลิตเหล้าเหมือนกัน และในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะผลิตขายเพื่อออกมาแข่งขันกับหงส์ทอง ความร้อนตัวที่จำเป็นต้องตัดทอนคู่แข่ง ทำให้เจริญต้องไปเจรจากับกลุ่มกระทิงแดงเพื่อไม่ให้มาแข่งขันกันเปล่า ๆ ทางเจริญได้ขอตลาดเหล้าในประเทศ ส่วนต่างประเทศให้กลุ่มกระดิงแดงจัดการไป

ความสัมพันธ์ที่มีอยู่ระหว่างและเฉลียวที่อยู่ขนาดไหนก็ยากที่จะเดา แต่วิธีการที่กลุ่มกระทิงแดงจะเข้าไปบริหารในเครือของทีซีซีนั้น ทางกลุ่มกระทิงแดงจะเป็นผู้ดูแลดำเนินงานเองทั้งหมด โดยทำการพัฒนาปรับปรุงวางแผน ส่วนเจริญก็จะเป็นผู้สามารถทำรายได้มากพอเมื่อหักส่วนที่จะต้องจ่ายให้เจริญแล้วยังเหลือ ก็จะถือว่าส่วนนั้นเป็นรายได้จากการดำเนินงานของเขาแต่ถ้าทำรายได้ไม่พอกับผลตอบแทนที่เจริญตั้งไว้ กลุ่มกระทิงแดงก็ต้องพิจารณาตัวเอง

แหล่งข่าวบางรายบอกว่า เจริญยืมมือคนอื่นเข้ามาควบคุมมงคล บางรายก็บอกว่า เจริญเก่งกว่านั้นอีกที่ปล่อยให้เป็นอย่างนี้เรียกว่าควบคุมมงคลได้ ในขณะเดียวกันก็เป็นการบังคับให้กลุ่มกระทิงแดงต้องทำงานให้ดีด้วย เพราะต้องจ่ายผลตอบแทนให้กับเจริญทุกเดือนตามที่กำหนด

ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใด จะเป็นของเจริญหรือของกลุ่มกระทิงแดง 2-3 เดือนที่ผ่านมาสำหรับการบริหารบริษัท ทิพย์พัฒนอาเขต ซึ่งประกอบด้วยพลาซ่าและภัตตาคาร ก็มีแนวโน้มที่จะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างจริงจัง

วันนี้ คอนเซ็ปท์เก่าลูกบิดไป จากศูนย์การค้าที่สมบูรณ์แบบให้กลายมาเป็นอาคารสำนักงาน ผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ กระแสเสียงเห็นด้วย แถมยังกล่าวสนับสนุน ว่าสถานที่ตั้งตรงนี้เหมาะมาก

ในเมื่อสิ่งที่ผ่านไปไม่มีใครติดใจเอาความ ภาระหนี้สินก็สามารถทยอยคืนไปได้อย่างไม่มีปัญหา แล้วถ้าควบคุมไม่ให้มีความผิดพลาดในการบริหารเกิดขึ้นอีก พันธุ์ทิพย์จะเริ่มต้นใหม่ด้วยรูปแบบอาคารสำนักงาน

มีทั้งสองทางที่เป็นไปได้ ถ้ากลุ่มกระทิงแดงมีความสามารถที่จะดำเนินงาน สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพเดิมของตึกที่เป็นศูนย์การค้า ให้เป็นอาคารสำนักงานได้อย่างเหมาะสม อนาคตของพันธุ์ทิพย์ คือบริษัททิพย์พัฒนอาเขตก็จะไม่ต้องย้อนกลับไปสู่สภาพเก่า ๆ ที่มีหนี้สินมากมาย ดอกเบี้ยเป็นร้อยล้าน ซึ่งที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างน้อยโครงสร้างของตึกก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นอาคารสำนักงานเลยแม้แต่นิดเดียว ห้องที่เคยเป็นร้านค้าเล็ก ๆ จะปรับปรุงให้เป็นสำนักงานสำหรับบริษัทใหญ่จะต้องใช้งบประมาณสูงมาก และข้อที่น่าสังเกตคือ พันธุ์ทิพย์จะสามารถคัดเลือกลูกค้าได้มากน้อยแค่ไหน เพราะต้องแข่งกับอาคารที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสำนักงานโดยเฉพาะ ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นมาอีกหลายแห่งลูกค้านั้นถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าลูกค้านั้นเป็นบริษัทเล็ก ๆ ที่ฐานะการเงินไม่สู้จะมั่งคงนัก หรือมีการดำเนินกิจการที่ไม่แน่นอนโอกาสที่จะค้างชำระค่าเช่า หรือจ่ายไม่ตรงตามกำหนดมีความเป็นไปได้สูงมาก และนั่นหมายถึงการถอยหลังเข้าคลอง สถานการณ์ย้อนกลับไปเป็นเช่นอดีต

นอกจากนี้แล้ว พื้นที่ตรง 10% ที่ขายออกไปแล้วก่อนหน้าตั้งแต่สมัยกลุ่มผู้ถือหุ้นชุดแรก ศรายุทธฯ เมื่อปี 2527 จะทำอย่างไร ในเมื่อมันเป็นหนามยอกอก พวกนี้หลายรายซื้อพื้นที่ไว้เก็งกำไรอีกไม่น้อยก็เข้าไปเปิดร้านดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว ซึ่งว่ากันจริง ๆ แล้วคิดเป็นจำนวนเนื้อที่เท่าไรก็ยังไม่ทราบแน่ชัด แม้แต่เจริญเองก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ ในสถานการณ์ที่พันธุ์ทิพย์พลาซ่าซบเซาเช่นทุกวันนี้ พวกเขาต้องการขายให้เจริญหรือใครก็ได้ที่ให้ราคางาม ๆ

จุดนี้เป็นอุปสรรคที่ไม่อาจทำให้การปรับปรุงพื้นที่ส่วนที่เป็นพลาซ่าเป็นสำนักงานให้เช่าทั้งหมด เป็นไปได้สะดวกง่ายดาย

แล้วถ้าถึงวันนั้น เจริญผู้เป็นเจ้าของจะทำอย่างไร อาจจะขายต่อให้ตกไปสู่มือต่อไป ซึ่งก็มีกลุ่มกระทิงแดงกลุ่มเดียวที่เป็นไปได้เพราะเขานั่งบริหารอยู่ทุกวันนี้ "แต่…คุณเจริญคงไม่ขายง่าย ๆ หรอกเพราะแกเป็นคนที่ชอบแก้ปัญหา ชอบอะไรที่มันซับซ้อนน่ะ" วันนั้นเขาต้องคำนวณดูแล้วว่าเขาได้กำไรไม่ใช่เพียงแต่เท่าทุน

แต่หากว่าแนวโน้มของอาคารสำนักงานในพันธุ์ทิพย์เป็นไปในทางที่ดี นั่นหมายถึงรายได้ที่แน่นอนของเจริญ และความสำเร็จของกลุ่มกระทิงแดง ก็อย่างนั้นแล้ว กลุ่มกระทิงแดงยังจะต้องการที่จะบริหารภายใต้ชื่อที่เป็นสินทรัพย์ของเจริญอยู่อีกหรือ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us