“แสนสิริ”เร่งเครื่องโกยยอดขาย หลังตัวเลขห่างผู้นำตลาดแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์เพียง 300-400 ล้านบาทเท่านั้น มั่นใจใน 2 ปี ก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ผู้นำ ด้วยยอดขายเฉียด 20,000 ล้านบาท ปีหน้าปูพรมเปิดโครงการใหม่ 16 โครงการ มูลค่า 20,700 ล้านบาท
เป้าหมายการก้าวขั้นสู่บังลังก์ผู้นำตลาดในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มบริษัท แสนสิริ เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว เห็นได้จากยอดรับรู้รายได้ของปี 2551 ณ เดือนพ.ย.ที่มีตัวเลขสูงถึงเกือบ 16,000 ล้านบาท น้อยกว่าผู้นำตลาดอย่างบมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ที่มียอดขายกว่า 16,000 ล้านบาท หรือน้อยกว่าเพียง 300-400 ล้านบาทเท่านั้น และคงไม่ใช่เรื่องยากนัก หากบมจ.แสนสิริจะเร่งโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงปลายปีนี้ เพื่อให้ใกล้ยอดรับรู้รายได้ใกล้เคียงแลนด์ฯให้มากที่สุด และมีเป้าหมายสร้างยอดขายและยอดรับรู้รายได้มากกว่าแลนด์ในปี 2552 หรืออย่างช้าไม่เกินในปี 2553
ทั้งนี้ แสนสิริ วางเป้าหมายเป็นผู้นำตลาดนับตั้งแต่ 5-6 ปีที่ผ่านมา ด้วยการพยายามสร้างแบรนด์อย่างต่อเนื่อง ด้วยการทุ่มงบโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ รวมทั้งมีสร้างภาพยนตร์โฆษณาเพื่อตอกย้ำแบรนด์จนทำให้แบรนด์แสนสิริเป็นที่รู้จักและยอมรับในกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่
นอกจากความแข็งแกร่งของแบรนด์แล้ว แสนสิริก็พัฒนาสินค้าให้ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ตั้งแต่ระดับกลางถึงระดับบน และมีสินค้าหลากหลาย ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ บ้านแฝด และคอนโดมิเนียมผ่านแสนสิริ และบริษัทในเครือ คือบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัดและบริษัท พร้อมพัฒน์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัดโดยสินค้ามีราคาตั้ง 1 ล้านบาทขึ้นไป จนถึง 40-50 ล้านบาท อีกทั้งยังมีสินค้ากระจายในทุกทำเลที่มีความต้องการสูง
เศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มแสนสิริมีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนารวม 57 โครงการ มียอดรับรู้รายได้รวมประมาณ 16,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายปี 2552 อยู่ที่ 17,000 ล้านบาท และมียอดรับรู้รายได้ 17,000 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวเป็นยอดขายที่รอโอนมากกว่า 10,000 ล้านบาท คิดเป็น 65%
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2552 กลุ่มแสนสิริจะเปิดโครงการใหม่รวม 16 โครงการ มูลค่าขายรวม 20,700 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 7,600 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 6 โครงการ มูลค่า 7 ,600 ล้านบาท และทาวน์เฮาส์ 7 โครงการ มูลค่า 5,500 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรก จะเปิดโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ ซึ่งโครงการแรก จะเปิดภายใต้แบรนด์ใหม่ เพื่อไม่ให้ลูกค้าสับสน บริเวณแนวรถไฟฟ้า BTS ใกล้สถานีทองหล่อ ราคายูนิตละ 1 ล้านบาทปลาย ๆ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินงาน คาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในเดือนก.พ. 2552 และหลังจากที่กลุ่มแสนสิริเปิดตัวโครงการใหม่แล้ว จะทำให้มีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินงานรวม 60 โครงการในปี 2552
“การลงทุนโครงการคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ จะไม่ซ้ำซ้อนกับแสนสิริ และบริษัทในเครือคือพลัสฯ เพราะพลัสฯจะเน้นลงทุนโครงการทาวน์เฮาส์เป็นหลัก ส่วนแสนสิริยังเน้นพัฒนาสินค้าระดับกลางถึงสูง”
กรรมการผู้จัดการ กล่าวอีกว่า ดีเวลลอปเปอร์หลายรายอาจจะคิดว่าตลาดคอนโดมิเนียมถึงจุดอิ่มตัว มีซัปพลายล้นตลาดจึงชะลอการลงทุนโครงการใหม่ ทั้งจากรายใหญ่ และรายกลาง ขณะที่มีความต้องการซื้อเช่นเดิม จึงทำให้แสนสิริเห็นช่องว่างในการทำตลาด และเดินหน้าลงทุนโครงการคอนโดมิเนียม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมการพักอาศัยในคอนโดมิเนียมมากกว่าบ้านเดี่ยว หรือทาวน์เฮาส์
|