ในวงการค้าที่ดินย่านชายฝั่งทะเลตะวันออก ชื่อของเขาโดดเด่นกว่าใครอื่น
ด้วยความสามารถเยี่ยงมืออาชีพในวงการนี้จะพึงมี บวกับจังหวะและโอกาสที่โครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลตะวันออกกำลังเดินหน้า
วันนี้ สมญานามของเขาคือ ….เจ้าพ่อบ้างฉาง…
ย้อนหลังกลับไปเมื่อหกเจ็ดปีที่แล้ว บ้านฉางซึ่งเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวะระยองยังเป็นเพียงชุมชนเล็ก
ๆ บนเส้นทาระหว่างสัตหีบ-ระยอง เว้นจากผู้ที่มีพื้นเพอยู่ในแถบนั้นแล้ว น้อยคนที่จะเคยได้ยินชื่อนี้
อาชีพหลักของชาวบ้านฉางคือการทำไร่ ทำสวนผลไม้ โดยเฉพาะสับปะรดเป็นผลิตผลที่พบเห็นได้ทั่วไปมากกว่าผลผลิตอื่นชีวิตความเป็นอยู่ไม่ต่างจากความเป็นไปในท้องถิ่นภูมิภาคอื่น
ๆ แม้จะห่างจากพัทยาเพียง 40 กิโลเมตรความเคลื่อนไหวในบ้านฉางก็ยังดำเนินไปอย่างช้า
ๆ แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เกิดขึ้นให้เห็นได้อย่างชัดเจน
จนกระทั่งเมื่อสามปีที่แล้ว ชีวิตของชุมชนแห่นี้เริ่มแปรผันอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่ใครจะคาดคิดมาก่อนเมื่อโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกที่รัฐบาลเปรมประกาศออกมาตั้งแต่ปี
2524 และผลุบ ๆ โผล่ ๆ หยุดชะงักลงในช่วงหนึ่ง เริ่มเป็นรูปเป็นร่างเดินหน้ากันอย่างจริงจังอีกครั้งกับโครงการอุตสาหกรรมปิโตรเคมี
ท่าเรือน้ำลึกนิคมอุตสาหกรรมและเมืองใหม่ที่มาบตาพุด และท่าเรือน้ำลึก นิคมอุตสาหกรรมที่แหลงฉบัง
การฟื้นคืนชีพใหม่ของโครงการพัฒนาที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกนำความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่มาสู่บ้านฉาง
ทำเลที่ตั้งของบ้านฉางนั้นอยู่ระหว่างแหลมฉะลังกับมาบตาพุด ห่วงจากมาบตาพุดประมาณ
10 กิโลเมตรและอยู่กึ่งลกางระหว่างมาบตาพุดกับสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งมีโครงการพัฒนายกระดับขึ้นเป็นสนามบินนานาชาติในเร็ววัน
บ้านฉางจึงเป็นทำเลที่เหมาะสมที่สุดแห่งหนึ่งต่อการเป็นพื้นที่สำคัญอยู่อาศัยของประชาชนที่เข้ามาทำงานในมาบตาพุด
ซึ่งจากการประเมินอย่างคร่าว ๆ มีจำนวนสองแสนคน และจะอาศัยอยู่ที่มาบตาพุด
ระยอง และบ้านฉางสำหรับบ้านฉาง นักลงทุนที่เข้าไปทำโครงการที่นั่นคาดการณ์ไว้ว่า
จะมีคนเข้าไปพักอาศัยไม่ต่ำกว่า 50,000 คน ทำให้ความต้องการที่พักอาศัยมีสูงมาก
บ้านฉางในอีกไม่เกินห้าปีข้างหน้าก็คือชุมชนใหม่ขนาดย่อย ๆ ทำนอง
ที่ดินในบ้างฉางจึงเป็นที่หมายปองของนักลงทุนผู้มีความหวังอันบรรเจิดกับความรุ่งเรืองในวันข้างหน้าของบ้านฉาง
เพื่อรองรับโครงการที่พักอาศัยทั้งคอมโดมิเนียม บ้านจัดสรร อาคารพาณิชย์และศูนย์การค้าผืนดินซึ่งเคยมีค่าเพียงแค่เครื่องมือทำมาหากินเลี้ยงตัวไปวัน
ๆ กลับกลายเป็นที่มาของความมั่งมีศรีสุขกว่าเดิมของชาวบ้านฉางในวันนี้ เมื่อถนนทุกายต่างมุ่งไปสู่บ้านฉาง
พาเอานักลงทุนต่างถิ่นเข้าไปด้วยเป็นขบวนแถวเพื่อกว้านหาซื้อที่สำหรับดครงการของตน
ราคาที่ดินที่เคยซื้อขายกันถูก ๆ ไม่กี่หมื่นบาทต่อไร่ เขยิบพรวดพราดขึ้นเป็นหลักแสนและถึงหลักล้านในบ้านฉางเริ่มต้นที่
500,000 บาทต่อไร่ จนถึง 1-3 ล้านบาทต่อไร่
"ที่เคยเห็นซื้อขายกันสูงสุดประมาณไร่ละ 4 ล้านบาทถ้วน" ชาวบ้านย่านตัวอำเภอบ้างฉางรายหนึ่งเปิดเผย
จนถึงวันนี้ เงินทุนเวียนในการซื้อขายที่ดินในเขตอำเภอบ้านฉางมีไม่ต่ำกว่า
1,000 ล้านบาท ว่ากันว่าราคาที่ดินมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลาจนเรียกได้ว่า
แทบทุกชั่วโมง วันนี้ชาวบ้านฉางหลาย ๆ รายอยู่ในฐานะผู้มีอันจะกินรายย่อย
ๆ หลังจากขายที่ดินของตนออกไปแล้ว แม้ว่าราคาที่ขายออกไปในครั้งแรกกับราคาปัจจุบันของที่ดินแปลงเดียวกันจะต่างกันอย่างลิบลับก็ตาม
และอีกมากมายหลายคนมีอาชีพที่ทำเงินเป็นกอบเป็นกำโดยไม่ต้องเหนื่อยแรงมากคือ
เป็นนายหน้ารวบรวมที่ดินขายให้กับนักลงทุนที่มาจากกรุงเทพฯและจากถิ่นอื่น
คนที่เคยเดินหรือขี่จักรยานก็มีเงินซื้อมอเตอร์ไซค์ขี่เวียนว่อนไปมา ที่เคยรองน้ำฝนไว้ดื่มก็หันมาซื้อน้ำโพราลิสหรือน้ำอัดลมแช่ตู้เย็นที่บ้านที่เพิ่งซื้อมาด้วยเงินค่านายหน้าจากการขายที่ดิน
หลายคนกำลังตัดสินใจซื้อตึกแถวในตัวอำเภอเพื่อเปลี่ยนวิถีชีวิตไปเป็นพ่อค้า
บ้างฉางให้ชีวิตใหม่กับคนหลาย ๆ คนที่จับทิศทางการเคลื่อนตัวของการพัฒนาได้
และรู้จักฉกฉวยเอาประโยชน์จากสถานการณ์ แทรกตัวเข้าไปอย่างสอดคล้องกับจังหวะ
ทิศทางของการพัฒนา
ไพโรจน์ เปี่ยมพงศ์สานต์คือคนหนึ่งที่ยืนอยู่แถวหน้าสุดของคนกลุ่มนั้น
ปัจจัยแห่งความสำเร็จของไพโรจน์นั้นอยู่ที่การสร้างสายสัมพันธ์ทั้งในทางธุรกิจและทางการเมือง
และจับเอาสายสัมพันธ์ที่มีอยู่มาร้อยรัดเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายรองรับธุรกิจของตน
ไพโรจน์มีสายสัมพันธ์ทางการเมืองที่ใกล้ชิดกับพลเอกประมาณ อดิเรกสาร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยผ่านทางพ่อตาของตนที่ชื่อประทีป
เชิดธรนินทร์ ประทีปเป็นเลขาส่วนตัวของพลเอกประมาณ และเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งพรรคชาติไทยเมื่อ
พ.ศ. 2527 ด้วย ไม่ว่าพลเอกประมาณจะไปนั่งกินตำแหน่งทางการเมืองที่ไหน ประทีปก็จะตามไปนั่งเป็นหน้าห้องอยู่เสมอ
หน้าที่สำคัญประการหนึ่งของประทีปคือ คอยประสานงานกับคนที่จะเข้าพบกับพลเอกประมาร
ในสมัยรัฐบาลเปรม 1-2-3 ซึ่งมีอายุระหว่างเดือนมีนาคม 2523 ถึงเดือนเมษายน
2526 พลเอกประมาณซึ่งขณะนั้นยังเป็นพลตรีและเป็นหัวหน้าพรรคชาติไทยอยู่ด้วยเป็นรองนายกรัฐมนตรี
ไพโรจน์เริ่มเดินเข้าออกทำเนียบรัฐบาลบ่อยขึ้น ความที่เป็นคนคล่องแคล่ว อัธยาศัยดี
และเป็นนักคิดโครงการระดับ "เจ้า" บวกกับความเป็นลูกเขยของประทีป
ไพโรจน์ จึงเป็นคนใกล้ชิดที่พลตรีประมาณให้ความไว้เนื้อเชื่อใจมากคนหนึ่ง
"ผมนับถือท่านเหมือนพ่อ" ไพโรจน์เอ่ยถึงพลตรีประมาณด้วยความเคารพนับถือเช่นนี้เสมอ
ไพโรจน์ได้รับการแต่งตั้งจากพลตรีประมาณ ให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการศึกษาปัญหาตะวันออกกลาง
เพราะเขาเองมีธุรกิจที่เกี่ยวกับการส่งคนงานไปทำงานในตะวันออกกลางอยู่ด้วยในชื่อของบริษัท
ซีทีซี (COMMERCIAL TRADE COMPANY LIMITED)
ซีทีซี เริ่มต้นกิจการในยุคไล่เลี่ยกับบริษัทสล็อตของประจวบ ไชยสาส์น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์
เป็นบริษัทที่มีผลงานอยู่ในขั้น 1 ใน 10 จากการจัดอันดับบริษัทส่งคนไปตะวันออกกลางดีเด่นที่ให้คะแนนโดยกรมแรงงาน
ธุรกิจนี้ชักนำเขาให้ไปรู้จักกับลูกน้องมือขวาของชี้ค อับดุลลาห์ ซาเล่ห์
มหาเศรษฐีชาวาอุดีอาระเบีย ซึ่งกำลังมีความคิดที่จะมาลงทุนในเมืองไทยอยู่พอดี
ปลายปี 2525 ไพโรจน์นำสายสัมพันธ์ระหว่างเขากับพลตรีประมาณ และระหว่างเขากับชี้คซาเล่ห์มาบรรจบกัน
เมื่อติดต่อนำซาเล่ห์เข้าพบกับพลตรีประมาณและพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ พร้อมกับโครงการตั้งธนาคารเพื่อการลงทุน
บังเอิญที่เรื่องนี้ไปติดอยู่ที่กระทรวงการคลังเสียนาน ทางชี้ค ซาเล่ห์เลยปรึกษาหารือกับทางฝ่ายไทยตั้งบริษัทเงินทุนขึ้นมาก่อนในชื่อ
อารเบียนไทย อินเวสท์เมนท์ โดยทางฝ่ายซาเล่ห์นำเงินเข้ามาราว 10 ล้านเหรียญ
มียงยศ อดิเรกสาร ลูกชายพลตรีประมาณเป็นประธานกรรมการ ตัวไพโรจน์เองเป็นกรรมการบริหารคนหนึ่ง
โดยมีวิสิษฐ์ ตันสัจจาเป็นกรรมการผู้จัดการซึ่งได้นำทีม่งานจากกลุ่มตึกดำคือวัฒนา
ลัมพะสาระและจิตเกษม แสงสิงแก้วเข้ามาร่วมบริหารงานด้วย
ไพโรจน์ถึงแม้จะไม่มีบทบาทที่ชัดเจนในด้านการบริหารงานเท่าไรนัก แต่เขาอยู่ในฐานะตัวแทนดู่แลผลประโยชน์ของชี้ค
ซาเล่ห์ร่วมกับยงยศ เพราะมีเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่ซาเล่ห์รู้จักคุ้นเคยด้วยมากที่สุด
อารเบียน ไทย อินเวสท์เมนท์ตั้งขึ้นมาเมื่อ พ.ศ. 2526 พอถึงปี 2527 เกิดวิกฤตการณ์บริษัทเงินทุนขึ้น
เงิน 10 ล้านเหรียญที่ซาเล่ห์นำเข้ามานั้นถูกกรรมการและผู้บริหารบางคนนำไปอุดกิจการบริษัทเงินทุนของตัวเอง
มีการกล่าวหากันไปมาระหว่างกลุ่มตึกดำกับกลุ่มของยงยศว่านำเงินบริษัทไปใช้ในกิจการของตัวเอง
กิจการอันหนึ่งของยงยศก็คือ บริษัทซีทีซีที่เขาถือหุ้นร่วมกับไพโรจน์ ตัวไพโรจน์อยู่ในฐานะที่ลำบากเพราะเป็นคนดึงซาเล่ห์เข้ามา
แล้วมาเกิดปัญหาขึ้น ตอนนั้นเขาปิดปากเงียบ ไม่ยอมออกความเห็นในเรื่องนี้
(รายละเอียดเรื่อง อารเบียน ไทย อินเวสท์เมนท์ "ผู้จัดการ" ได้นำเสนอไว้ในฉบับที่
10 เดือน มิถุนายน 2527 และฉบับที่ 35 เดือนสิงหาคม 2529…บรรณาธิการ)
การเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายน 2526 พรรคชาติไทยตกเป็นฝ่ายค้าน ทำให้แผนการลงทุนตั้งธนาคารเงียบหายไป
ชี้ค ซาเล่ห์เองได้เรียนรู้วิธีการบริหารบริษัเงินทุนแบบไทย ๆ ในช่วงนั้นด้วยราคาที่สูงลิบลิ่วเลยถอนตัวกลับไป
ยุติเรื่องราวของอารเบียน ไทยไว้เพียงแค่นั้น
พรรคชาติไทยเป็นฝ่ายค้านอยู่เป็นเวลาถึง 3 ปีกว่า เป็นช่วงที่อำนาจ บารมีทางการเมืองของพลตรีประมาณตกต่ำ
ไพโรจน์กลับไปเอาจริงเอาจังกับธุรกิจส่งคนงานไปตะวันออกกลาอีกคครั้งหนึ่ง
หลังจากที่ห่างเหินไปเสียหลายปี
"เขายังทำธุรกิจอื่นอีกหลาย ๆ อย่าง แต่ดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก"
คนที่เคยใกล้ชิดกับเขากล่าว
ธุรกิจอย่างหนึ่งที่เขาเข้าไปร่วมคือ การเปิดบริษัทเอราวัณแอร์ โดยร่วมกับพิทักษ์
อิทรวิทยนันท์ คนสนิทของพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ แต่ก็ต้องล้มเลิกไปในไม่นาน
เพราะปัญหาเรื่องใบอนุญาตการบินและความไม่มั่นใจในเรื่องตลาด
การเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม 2529 ไพโรจน์มีส่วนร่วมในการสนับสนุนผู้สมัครของพรรคชาติไทยคนหนึ่งที่ลงสมัครในเขตบางเขน
กรุงเทพฯ ว่ากันว่าเขาให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่ผู้สมัครคนนั้นเป็นเงินเกือบ
10 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ระดับกลางแห่งหนึ่งที่เขารู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดีกับผู้บริหารระดับสูงของธนาคารนา
ผลการเลือกตั้ง ผู้สมัครที่เขาให้การสนับสนุนคนนั้นได้รับเลือกเข้ามาในสภา
แต่ก็ไม่ได้มีบทบาทมากเท่าไรนัก พรรคชาติไทยถึงจะได้เข้าร่วมกับรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง
แต่คราวนี้พลตรีประมาณไม่ได้รับตำแหน่งทางการเมืองสักตำแหน่งเดียว เพราะเกิดความขัดแย้งขึ้นภายในพรรคในประเด็น
"เอา หรือไม่เอา ป๋าเปรม" พลตรีประมาณอยู่ในสายที่ไม่เอาป๋า ในขณะที่ความเห็ส่วนใหญ่ของพรรคชาติไทยสรุปบทเรียนจากการต้องเป็นฝ่ายค้านอยู่ถึงสามปีกว่า
ว่าไม่เกิดผลดีในด้านใด ๆ ทั้งสิ้น ข้อสรุปของพรรคจึงออกมาว่าสนับสนุนพลเอกเปรมเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อจะได้เข้าร่วมรัฐบาลชุดเปรม
5
ความขัดแย้งนี้ทำให้พลตรีประมาณหลุดจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคไปเป็นประธานคณะที่ปรึกษาของพรรคแทน
ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ไม่มีบทบาทอะไรมากนัก และพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคแทน
การที่พลตรีประมาณไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคแทน การที่พลตรีประมาณไม่ได้เป้ฯส่วนหนึ่งของรัฐบาลเปรม
5 พลอยทำให้ไพโรจน์อยู่ในสภาพที่ไม่ดีเท่าไรนัก เพราะไม่อาจใช้ประโยชน์จากสายสัมพันธ์ที่เขามีอยู่กับพลตรีประมาณได้มากเท่าไรนัก
หลังการเลือกตั้ง 2529 ไพโรจน์กลายเป็นคนที่มีหนี้สินมาก ประมาณ 30-40
ล้านบาท ส่วนหนึ่งของหนี้สินนั้นเกิดจากการใช้เงินไปในการสนับสนุนการเลือกตั้ง
อีกส่วนหนึ่งนั้นเกิดจากค่าใช้จ่ายส่วนตัวของเขาเอง
นิสัยของไพโรจน์ที่เป็นที่รู้กันในหมู่คนใกล้ชิดก็คือ เป็นคนที่มีน้ำใจ
ใจกว้าง รักเพื่อนพ้อง ถ้าใครมีปัญหาเรื่องการเงินแล้วไปขอความช่วยเหลือจากเขา
ไพโรจน์ไม่เคยปฏิเสธ
"เขาเป็นคนมีหน้ามีตา ใช้จ่ายไม่ค่อยระมัดระวัง" เพื่อนคนหนึ่งของเขาเปิดเผย
รายได้ที่ทำให้เขาอยู่ได้ในช่วงั้นมีเพียงกำไรจากกิจการส่งคนงานไปตะวันออกกลางซึ่งตกเดือนละ
1-2 ล้านบาท
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของไพโรจน์มาถึงเมื่อเขากลับคืนสู่บ้านเกิดในช่วงที่โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกเริ่มเดินหน้าอีกครั้ง
หลังจากหยุดชะงักอยู่ระยะหนึ่ง
ไพโรจน์เป็นคนบ้านฉาง นามสกุลเปี่ยงพงศ์สานต์นั้นเป็นตระกูลเก่าแก่ มีชื่อเสียงของจังหวัดระยอง
เขามีศักดิ์เป็นหลายของเสวต เปี่ยงพงศ์สานต์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคลังแต่ก็เป็นเรื่องน่าแปลกที่เสวตมักจะบอกว่า
ไม่เคยรู้จักกับไพโรจน์มาก่อน
หลังจากจบการศึกษาที่วิทยาลัยครูบ้านสมเด็จและวิทยาลับครูพระนครแล้ว ไพโรจน์กลับไปเป็นครูที่บ้านฉางอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษในหลักสูตรการบริหารระยะสั้น
เมื่อกลับมาแล้วจึงได้ตั้งบริษัทซีทีซีขึ้น
การกลับคืนสู่บ้านฉางในครั้งนี้ จุดมุ่งหมายของไพโรจน์คือการทำธุรกิจที่ดิน
เพื่อรองรับความเจริญที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุนในโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก
ตัวเขาเองและครอบครัวนั้นมีที่ดินอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อเพิ่มเติมจากชาวบ้าน
ถึงแม้จะจากบ้านเกิดไปนาน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากสำหรับเขาในการกว้านซื้อที่ดินเพื่อมเติมเพราะไพโรจน์มีพี่สาวคนหนึ่งชื่อ
"ไพโรจน์" เป็นแม่ค้าขายส่งผลไม้อยู่ในตลาดระยอง พี่สาวคนนี้เป็นกำลังสำคัญในการติดต่อรวบรวมที่ดินจากชาวบ้านในระยะแรก
ไพโรจน์เข้าไปซื้อที่ดินในบ้างฉางตั้งแต่ช่วงกลางปี 2530 จากคำบอกเล่าของเขาเอง
ที่ดินที่อยู่ในความครอบครองมีประมาณ 2,000 ไร่ ส่วนใหญ่อยู่บริเวณด้านใต้ลงมาทางชายฝั่งทะเลตามแนวทางหลวงหมายเลข
3
กลยุทธ์สำคัญที่เขาใช้ในการติดต่อซื้อที่ดินหรือการสร้างความสัมพันธ์กับกำนันผู้ใหญ่บ้านในการซื้อที่ดินความที่เป็นคนท้องถิ่นซึ่งมีการศึกษา
ผ่านเมืองนอกมาแล้ว ประกอบกับบุคลิกส่วนตัวที่เป็นคนพูดจาคล่องแคล้ว อัธยาศัยดี
จึงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะสร้างแนวร่วมกับคนเหล่าให้เป็นกลไกในการกว้านซื้อที่ดิน
ความสำเร็จในการทำธุรกิจซื้อขายที่ดินนั้นอยู่ที่การขายที่ดินที่ซื้อมาออกไปให้เร็วที่สุดและในราคาที่ดีที่สุดด้วย
ปกติหลังจากที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงในเรื่องราคากันได้แล้ว ฝ่ายผู้ซื้อจะวางเงินมดัจำประมาณ
10% ของราคาทั้งหมด และทำสัญญาจะซื้อจะขายขึ้นเพื่อกำหนดวันที่จะต้องชำระเงินส่วนที่เหลือทั้งหมดและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน
ส่วนมากจะมีระยะ 1-3 เดือน ขึ้นอยู่กับการตกลงของทั้งสองฝ่าย
สำหรับนักลงทุนประเภทซื้อมาขายไปแล้ว ช่วงเวลาหลังจากวางมัดจำจนถึงกำหนดการโอนคือช่วงที่ต้องขายออกไปให้เร็วที่สุด
เพื่อลดภาวะดอกเบี้ยของเงินมัดจำ
ช่วงที่ไพโรจน์กลับไปเริ่มธุรกิจที่บ้านฉางนั้นจัดได้ว่าเขายังเป็นหน้าใหม่ในวงการค้าที่ดินอยู่
ถึงแม้จะสามารถรวบรวมที่ดินไว้ในมือได้เป็นจำนวนมาก แต่ก็มีปัญหาในการปล่อยทีดิ่นออกไปจากมือเพราะมีแต่นักลงทุนที่มีประสบการณ์และมีเงินทุนหนุนหลังก้อนใหญ่เท่านั้น
ถึงจะมีกำลังซื้อได้ ส่วนใหญ่ไม่พ้นไปจากนักลงทุนจากกรุงเทพฯ
เขาใช้สายสัมพันธ์ที่มีกับบุคคลในวงการธุรกิจให้เป็นประโยชน์กับตัวเองได้มากที่สุดในตอนนี้
ไพโรจน์เป็นเพื่อนกับจอห์น ยัง มืออาชีพทางการตลาดในวงการเรียลเสเตท จอห์น
ยังนั้นรู้จักกับทนง ลำไย ในฐานะนักเรียนโรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา ด้วยกัน
ไพโรจน์จึงรู้จักกับทนง ด้วยการแนะนำของจอห์น ยัง และหลังจากนั้น ทนงซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งของธนาคารทหารไทยได้ในสมัยที่ประยูร
ยังเป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารทหารไทยอยู่
คนที่อยู่ในวงการธนาคารมาตลอดอายุการทำงานของตนแถมยังมีตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับสูงอย่างประยูรนั้น
ย่อมที่จะเป็นผู้ให้คำแนะนำ ชี้ช่องในเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ที่ไพโรจน์จะหมุนเวียนมาใช้ในธุรกิจของตนได้
แม้ว่าประยูรจะเกษียณจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารทหารไทยเมื่อปี
2530 แต่ก็ยังเป็นกรรมการอยู่และยังมีบารมีพอสมควรในธนาคารแห่งนี้ ประยูรจึงน่าจะเป็นที่ปรึกษาของไพโรจน์ในด้านการเงินได้เป็นอย่างดีคนหนึ่ง
นอกเหนือไปจากเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ แล้ว ความกว้างขวางในวงการธุรกิจของนายแบงก์เก่าอย่างประยูร
ยังเป็นสื่อชักนำให้ไพโรจน์ได้รู้จักกับนักธุรกิจใหญ่ ๆ อีกหลายคนด้วย หนึ่งในจำนวนนั้นคือ
เกษม วิศวพลานนท์ นักค้าที่ดินระดับ "เซียน" คนหนึ่งในวงการซึ่งประยูรได้แนะนำให้รู้จักกับไพโรจน์ด้วย
ประสบการณ์และฝีไม้ลายมือของเกษมช่วยเหลือไพโรจน์ได้เป็นอย่างดีในการระบายที่ดินที่กว้านซื้อเอาไว้
สายสัมพันธ์อันกว้างขวางของเกษมในวงการค้าที่ดินและนักลงทุนในธุรกจเรียลเอสเตท
บวกกับบ้านฉางเองก็เป็นทำเลที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาให้เป็นชุมชนแห่งใหม่
ดึงดูดนักลงทุนจากกรุงเทพฯ ให้หลั่งใหลไปสู่บ้านฉางได้โดยไม่ยาก โดยทางฝ่ายไพโรจน์จะจัดเตรียมข้อมูลเกี่ยวกับทำเลที่ดินในย่านต่าง
ๆ ของบ้านฉาง รวมทั้งลู่ทางในการพัฒนาโครงการต่อไปเพื่อบรรยายให้นักลงทุนที่เกษมเป็นคนชักชวนไปได้รับรู้
และพาไปดูที่ดินในย่านบ้านฉางจนถึงมาบตาพุดด้วย
ถ้านักลงทุนคนใดสนใจ แน่นอนว่าจะต้องติดต่อผ่านไพโรจน์ ถ้าเป็นที่ที่ไพโรจน์รวบรวมไว้แล้วก็ซื้อขายกันได้ทันที
หรือถ้าเป็นที่ดินที่นอกเหนือไปจากที่ไพโรจน์มีอยู่ ไพโรจน์ก็จะเป็นผู้ติดต่อกับเจ้าของทำหน้าที่เป็นนายหน้าให้เสร็จสรรพ
กลุ่มนักธุรกิจรายใหญ่จากกรุงเทพฯ ที่ไปซื้อที่ในบ้างฉางได้แก่ กลุ่มดุสิตธานีของชนัตถ์
ปิยะอุย ซึ่งมีโครงการสร้างโรงแรมชั้นหนึ่งในเนื้อที่ 40 ไร่ กลุ่มของโชติ
โสภณพนิช ที่มีโครงการทำรีสอร์ทชายทะเล รังสรรค์ ต่อสุวรรณ กับโครงการคอนโดมิเนียมราคาแพง
ชนัฎ เรืองกฤตยากับโครงกสรกรีนวัลเล่ย์ รีสอร์ทซึ่งเป็นโครงการสนามกอล์ฟและบ้านพักตากอากาศ
และเฉลียว อยู่วิทยา เจ้าพ่อทีซีมัยซิน กับโครงการบ้านพักตากอากาศชายทะเล
จนถึงวันนี้โครงการต่าง ๆ ที่ประกาศออกมาแล้วมีเกือบ 20 โครงการซึ่งมีทั้งบ้านจัดสรร
คอนโดมิเนียมศูนย์การค้าและโรงแรม ทั้งหมดซื้อที่โดยผ่านบริษัทพัฒนาชายฝั่งทะเลบ้านพักของไพโรจน์
และหลาย ๆ โครงการเขาเข้าไปถือหุ้นด้วยแต่ไม่มากนัก ซึ่งเป็นการถือเป็นหลักประกันความมั่นใจของผู้ที่มาซื้อที่ไปจากเขา
เล่ากันในหมู่คนใกล้ชิดว่า เพียงชั่วระยะเวลา 3-4 เดือนของต้นปี 2531 ไพโรจน์สามารถชำระหนี้สินเก่า
ๆ ได้หมดสิ้นด้วยรายได้จากธุรกิจค้าที่ดินในบ้านฉาง พลิกฐานขึ้นมาเป็นนักธุรกจิที่ดินรายใหญ่ที่เรียกขายกันว่า
"เจ้าพ่อบ้านฉาง"
ไพโรจน์พูดอยู่เสมอว่า สิ่งที่เขาต้องการคือพัฒนาบ้านเกิดให้เป็นชุมชนที่มีความเจริญทันสมัย
แต่ถึงวันนี้ภาพของเขายังหยุดอยู่เพียงแค่การเป็นนักค้าที่ดินที่ซื้อมาขายไปมากกว่าที่จะลงทุนพัฒนาโครงการขึ้นมาอย่างจริงจัง
แม้แต่โครงการบ้างฉางพล่าซ่า ซึ่งเขาประกาศว่าเป็นหนึ่งในโครงการลงทุนของตัวเอง
ร่วมกับหุ้นส่วนนักธุรกิจจากกรุงเทพฯ ก็ยังต้องมาติดขัดด้วยปัญหาขัดแย้งกันระหว่างผู้ถือหุ้น
โครงการบ้านฉางพลาซ่าเป็นโครงการก่อสร้างพลาซ่าสูง 9 ชั้น และมีอาคารพาริชย์หลาย
ๆ ขนาดให้เช่า เป็นโครงการที่ประกาศตัวว่าใหญ่ที่สุดในบ้านฉางบนเนื้อที่
10 ไร่ ริมถนนสุขุวิท ในเขตสุขาภิบาลบ้านฉาง
เจ้าของโครงการนี้คือบริษัทบ้านและที่ดินตะวันออก ซึ่งตั้งขึ้นมาเมื่อเดือน
พฤศจิกายน 2531 ผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือกลุ่มวานิช ไชยวรรณ ถือหุ้นอยู่ 40%
ของทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท วานิชนั้นรู้จักและเข้าทุนร่วมธุรกิจกับไพโรจน์โดยการชักนำของประยูร
ซึ่งสนิทสนมกับวาณิชมาก่อน
ผู้ถือหุ้นอีกกลุ่มหนึ่งคือ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ถือหุ้น
30% ในนามบริษัทแสนสุรัตน์ การมีสำนักงานทรัพย์สินฯเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นร่วมด้วยนั้น
ได้สร้างภาพพจน์ ความน่าเชื่อถือให้กับโครงการบ้านฉางพลาซ่าได้เป็นอย่างมาก
กลุ่มทรัพย์สินฯเข้ามาโดยผ่านการชักชวนจากเพื่อนคนหนึ่งของไพโรจน์ ซึ่งสนิทสนมกับ
ดร.จิรายุทธ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินฯ ตัวดร.จิรายุเองก็เข้ามาถือห้นุส่วนหนึ่งด้วยและได้รับตำแหน่งเป็นประธานบริษัท
การเข้ามาของกลุ่มทรัพย์สินฯ นอกจากจะสร้างเครดิตให้กับโครงการนี้แล้ว
ยังได้นำเอาธนาคารไทยพาณิชย์เข้ามาถือหุ้นอีก 10% ด้วย และธนาคารไทยพาณิชย์ก็คือ
ผู้สนับสนุนเงินลงทุนให้กับโครงการนี้
หุ้นอีก 20% ที่เหลือนั้นเป็นหุ้นของไพโรจน์ร่วมกับเพื่อนฝูงอีกบางคน หนึ่งในจำนวนนี้คือ
บวรยสินทร ซึ่งรับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของบริษัท
ชุมชนบ้านฉางนั้นมีคามหวังกับโครงการนี้มาก เพราะเป็นโครงการขนาดใหญ่ซึ่งถ้าสำเร็จลงแล้วจะนำความเจริญ
และทำให้ธุรกิจในบ้านฉางคึกคักขึ้นและเป็นสิ่งที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ที่จะเข้ามาลงทุนรายอื่น
ๆ ต่อไปด้วย
แต่เพียง 7 เดือนให้หลัง ยังไม่ทันที่จะได้เริ่มต้นอะไรเลย ก็เกิดความขัดแย้งกันในกลุ่มผู้บริหารจนถึงขั้นออกใบปลิวโจมตีกัน
จนในที่สุดบวรซึ่งตกเป็นเป้าการโจมตีในใบปลิวว่าดำเนินงานล่าช้าต้องขอลาออกจากกรรมการผู้จัดการ
ก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ดร.จิรายุได้ลาออกจากตำแหน่งประธานไปแล้ว
ข่าวคราวที่ถูกเผยแพร่ออกมาเกี่ยวกับความขัดแย้งในครั้งนี้ ก็คือเป็นความขัดแย้งระหว่างบวรกับวาณิช
ไชยวรรณ ซึ่งบวรถูกกล่าวหาว่าดำเนินงานอย่างล่าช้า จนโครงการไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควรในขณะที่ฝ่ายบวรบอกว่า
เขาทำงานไปอย่างเต็มที่และทุกอย่างเป็นไปตามแผนการ
เบื้องหลังของความขัดแย้งในครั้งนี้นั้น เป็นความแตกต่างในเรื่องแนวความคิดในการทำโครงการบ้านฉางพลาซ่าของผู้ถือหุ้นด้วยกันเอง
กลุ่มสำนักงานทรัพย์สินฯนั้นต้องการที่จะพัฒนาโครงการให้เกิดขึ้นในขณะที่ผู้ถือหุ้นอีกกลุ่มหนึ่งนั้น
ต้องการขายที่ดินออกไปเพื่อเอากำไรมากกว่าลงทุนทำโครงการให้เสร็จซึ่งต้องลงทุนอีกมากและยังไม่แน่ว่าจะขายโครงการได้ทั้งหมดหรือไม่
"ทางทรัพย์สินฯรู้สึกว่าตัวเองถูกหลอก ตัวดร.จิรายุก็เลยลาออก ขอเป็นผู้ถือหุ้นเฉย
ๆ ดีกว่า" แหล่งข่าวในวงการค้าที่ดินระยองรายหนึ่งเปิดเผยและต่อมาธนาคารไทยพาณิชย์ก็ชะลอแผนการให้สินเชื่อด้วยเหตุผลว่า
ขอศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการให้แน่ใจมากกว่านี้ก่อน
ว่ากันว่า ปัญหาความขัดแย้งในโครงการบ้านฉางพลาซ่านี้ทำให้ไพโรจน์ พูดอะไรไม่ออก
เพราะเขาเองอยู่ในฐานะคนกลางที่ชักชวนผู้ถือหุ้นแต่ละฝ่ายมาลงทุนร่วมกัน
นอกจากนี้ เขายังถูกจับตามองจากชาวบ้านฉางว่า โครงการนี้ที่เขาเป็นผู้ริเริ่ม
ผลักดันขึ้นมาจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่
แต่ไม่มีใครรู้ว่า เขาคิดอย่างไรกันแน่ระหว่างความคิดที่จะพัฒนาโครงการขึ้นมากับความต้องการขายที่ดินออกไป
แต่ที่แน่นอนก็คือ ไม่ว่าโครงการนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป เขาไม่ได้รับความกระทบกระเทือนแน่
เพราะว่าที่ดินที่เป็นที่ตั้งของโครงการนี้เป็นที่ดินที่ซื้อไปจากไพโรจน์เองในมูลค่า
100 กว่าล้านบาท หุ้นส่วนในบริษัทบ้านและที่ดินตะวันออกนั้นก็มีเพียง 10%
และบริษัทยังมีที่ดินที่เป็นที่ตั้งของโครงการเป็นทรัพย์สินซึ่งมีราคาสูงขึ้นกว่าตอนที่ซื้อมาหลายเท่าตัว
สิ่งเดียวที่จะกระทบกระเทือนต่อตัวเขาก็คือความสำเร็จหรือล้มเหลวของโครงการนี้จะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ในระดับหนึ่งว่า
เขาคือนักพัฒนาที่ดินผู้มีความตั้งใจจริงที่จะสร้างบ้านฉางให้เป็นชุมชนแห่งใหม่หรือว่าเป็นเพียงนักค้าที่ดินธรรมดา
ๆ คนหนึ่งที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากที่ดินในบ้านฉางแล้วก็จากไปเท่านั้น