เกษม จาติกวณิช อยู่กับ กฟผ.มา 30 ปี อยู่ ๆ ก็ถูกปลด โดยอำนาจทางการเมืองโดยไม่มีเหตุผลแน่ชัด
พร้อม ๆ กับกรรมการ กฟผ.อีก 4 คน เพราะเหตุไร แม้เรื่องจะสงบ ด้วยการประนีประนอมไปพักหนึ่ง
แต่หลายคนย่อมรู้ว่า ยุทธศาสตร์ครั้งนี้ พรรคชาติไทยชนะไปแล้วครึ่งหนึ่ง
ปริศนาก็คือ หลังพ้นยุคของเกษม อนาคตของ กฟผ. ทั้งในเรื่องการถูกบังคับให้แปรรูป
และความเป็นรับวิสาหกิจที่มีประสิทธิภาพสูงสุดกำลังถูกต้อนให้จนตรอก ด้วยอิทธิพลทางการเมือง
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เกษม จาติกวณิช กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีความผูกพันกันมานาน
30 ปี ในฐานะที่เกษมเป็นผู้ว่าการคนแรกของกฟผ. เมื่อปี 2512 และเป็นรองผู้ว่าการการการไฟฟ้ายันฮีมาตั้งแต่ปี
2502 ก่อนหน้าที่การไฟฟ้ายันฮีจะถูกผนึกรวมเข้ากับการลิไนต์และการไฟฟ้าตะวันออกเฉียงเหนือ
เป็นการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เมื่อปี 2512 ความยาวนานและบทบาทการเป็นผู้นำของเกษมในกฟผ.
ทำให้ฐานะของเกษมเปรียดุจเป็นเสาหลักของกฟผ. ที่ปั้นกฟผ.ขึ้นมาจากศูนย์แม้กฟผ.จะมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีกฎหมายเฉพาะของตนเองก็ตาม
จึงไม่ผิดนัก ที่จะประเมินฐานะทางประวัติศาสตร์ของเกษมในกฟผ.มีคุณค่าสูงเทียบเท่าเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งที่มีบารมีเทียบเท่า
"ดุจสถาบัน" ในกฟผ.ไปแล้ว
ประจักษ์พยานจุดนี้จะดูได้จากเหตุการณ์เมื่อเดือนมิถุนายนที่เพิ่งผ่านพ้นมานี้เอง
ที่กลุ่มเจ้าหน้าที่ของกฟผ.ทุกคนได้ประท้วงการตัดสินใจของรัฐบาลที่ปลดกรรมการชุดเกษมออกทั้งชุด
จนเหตุการณ์ลามปามสั่นสะเทือนความมั่นคงของรัฐบาล และพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
นายกรัฐมนตรีต้องขอร้องให้เกษมออกมาปราบผู้ประท้วง ทั้ง ๆ ที่เกษมมีฐานะในกฟผ.
เป็นเพียงแค่กรรมการและประธานคณะกรรมการพัฒนาไฟฟ้าของกฟผ.ที่ไม่มีอำนาจบริหารอะไรมากมายนักเหมือนเช่นสมัยเป็นผู้ว่าฯ
ในอดีต
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ เกษมในทุกวันนี้เขามีแต่บารมี แต่ไร้อำนาจในกฟผ.
เกษมเคยกล่าวว่า กฟผ.ในวันนี้ (ปี 2531) มีสินทรัพย์ตามงบดุล 110,377 ล้านบาท
ผลิตไฟฟ้าได้เกือบ 7,000,000 กิโลวัตต์ มีพนักงาน 30,000 คน 10% เป็นวิศวกร
ทำรายได้สุทธิปีละเกือบ 7,000 ล้านบาท ขณะที่มีทุนดำเนินการกว่า 30,000 ล้านบาท
สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นมาจากการทุ่มเทของพนักงานและผู้บริหารทุกคนในอดีตที่เคี่ยวกรำกับกฟผ.มาตั้งแต่ทุนเพียง
600 ล้านบาทและผลิตไฟฟ้าได้เพียงปีละ 75,000 กิโลวัตต์เท่านั้น
แน่นอนความมีประสิทธิภาพในผลการดำเนินงานของกฟผ. แยกไม่ออกจากผลงานของเกษมเขาคลุกฝุ่นร่วมกับพนักงานระดับล่างมาตั้งแต่การพยายาม
แก้ปัญหายกหม้อน้ำขนาดสูง 60 เมตรขึ้นไปติดตั้งในโรงไฟฟ้าบางกรวยเมื่อปี
2504 และเป็นคนแรกที่เจรจาเงินกู้ก้อนแรกจำนวน 66 ล้านเหรียญจากธนาคารโลกมาสร้างเขื่อนภูมิพลเพื่อผันน้ำเข้าไปผลิตไฟฟ้า
หรือแม้แต่การเป็นผู้เจรจาซื้อก๊าซธรรมชาติจากยูโนแคลมาป้อนเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าในราคาเพียง
1.04 เหรียญ/ล้านบีทียู เป็นผลสำเร็จในสมัยเป็นร.ม.ต.อุตสาหกรรมรัฐบาลเกรียงศักดิ์
จนทุกวันนี้เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบผลิตไฟฟ้าที่มีต้นทุนต่ำสุด
กำธน สินธวานนท์ อดีตผู้ว่ากฟผ.และกรรมการกฟผ.ผู้เข้ามาร่วมงานในกฟผ.เมื่อปี
2503 หลังเกษมเพียงปีเดียว เคยกล่าวว่า "การผลิตไฟฟ้าเป็นอุตสาหกรรมการผลิตที่มีค่าใช้จ่ายแพงที่สุด"
ถ้าหากว่าความข้อนี้เป็นความจริง สิ่งที่เกษมได้กระทำลงไปตลอดการเป็นผู้ว่าฯ
และกรรมการมา 30 ปี ย่อมเข้าใจได้ว่าสิ่งที่กฟผ.สร้างหลักปักฐานจนเติบใหญ่และมีผลประกอบการที่ดีเยี่ยม
จนสามารถกู้เงินทั้งจากสถาบันการเงินเอกชนในประเทศและต่างประเทศไม่จำเป็นต้องค้ำประกันเลยแม้แต่บาทเดยวนั้น
ส่วนหนึ่งย่อมมาจากบารมีของเกษมอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
กฟผ.ทำธุรกิจอย่างไรหรือจึงมีความสามารถทำรายได้สุทธิและสินทรัยพ์ได้มากมายก่ายกองล้ำหน้ารัฐวิสาหกิจอื่น
ๆ แม้แต่การบินไทย
ในกม.พระราชบัญญัติการไฟฟ้า ปี 2511 ที่ร่างโดยเกษม, ด รงหยุด แสงอุทัย
และเจ้าหน้าที่ธนาคารโลกได้พูดถึงเจตนารมณ์ของกม.ในมาตรา 6 ไว้ชัดเจนว่าให้กฟผ.เป็น
"ผู้ผลิต จัดให้ได้มา จัดส่งหรือจำหน่าย ซึ่งพลังงานไฟฟ้าอื่นตามก.ม.ว่าด้วยการนั้น
ตลอดจนผู้ใช้ไฟฟ้าตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา เช่น บริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
ๆ ปูนซิเมนต์ ถลุงเหล็ก สังกะสี เปโตรเคมีคัล เป็นต้น รวมถึงหน่วยงานผู้ใช้ไฟฟ้าในประเทศใกล้เคียงด้วย"
เจตนารมณ์ของร่างกม.ในมาตรา 6 นี้ แม้จะไม่ได้ระบุไว้ชัดให้กฟผ.เป็นผู้ผูกขาดดำเนินธุรกิจนี้เพียงรายเดียว
แต่สภาพความจริงที่อุตสาหกรรมการผลิตนี้ใช้เทคโนโลยีและเงินลงทุนสูง จึงไม่มีเอกชนรายใดเข้ามาร่วมผลิตหรือทำธุรกิจนี้ด้วย
กฟผ.ก็เลยกลายเป็นผู้ดำเนินธุรกิจไฟฟ้าแต่เพียงผู้เดียวมาตลอด เมื่อสินค้า
คือพลังงานไฟฟ้าเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ในการผลิตและการดำเนินชีวิตประจำวัน
อุปสงค์หรือความต้องการพลังงานไฟฟ้าจึงมีแนวโน้มสูงขึ้นตลอดตามสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจและการเติบโตของชุมชน
ปัญหาสำคัญของกฟผ.มีอยู่เพียงว่าทำอย่างไรจึงผลิตไฟฟ้าในต้นทุนต่ำและบริหารปริมาณการผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอและสำรองเหลือใช้หรือที่เรียกว่า
RESERVE MARGIN ได้ดีที่สุด ซึ่งตามมาตรฐานของธนาคารโลกกำหนดว่าวควรจะอยู่ในระหว่าง
15-30% ของการผลิตรวม
กฟผ.ซื้อก๊าซธรรมชาติจากปตท.ในราคา 70 บาท/1 ล้านบีทียู ขณะที่ปตท.ซื้อจากยูโนแคลในราคาประมาณ
65 บาท/1 ล้านบีทียู
ต้นทุนเชื้อเพลิงจากก๊าซระดับนี้ เมื่อคิดออกเป็นค่าพลังงานไฟฟ้าต่อ 1
KWH. จะตกประมาณ 61-62 สตางค์/1 KWH. (กิโลวัตต์ชั่วโมง)
ซึ่งเมื่อเทียบกับต้นทุนจากน้ำจะตกประมาณ 93 สตางค์/1 KWH. ขณะที่การผลิตไฟฟ้าเกือบ
60% มาจากการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง
มองจากแง่นี้ แสดงว่าต้นทุนการผลิตของกฟผ.ต่ำสุดเมื่อเทียบจากการเลือกใช้วัตถุดิบชนิดต่าง
ๆ ซึ่งจุดนี้เชื่อมโยงกับบทบาทของเกษมอย่างแน่นอนเพราะเกษมเป็นผู้เจรจากับยูโนแคลให้นำก๊าซมาป้อนให้กฟผ.เป็นผลสำเร็จขณะที่ปตท.ยังไม่เกิดด้วยซ้ำไป
การเลือกก๊าซเป็นวัตถุดิบเชื้อเพลิงมาผลิตไฟฟ้า เป็นการตัดสินใจที่ถูกของเกษมในยุควิกฤติการณ์ราคาน้ำมันแพงครั้งที่สอง
เพราะขณะนั้น (ปี 2523) กฟผ.ใช้น้ำจากเขื่อน น้ำมันเตาและลิกไนต์เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตไฟฟ้า
เมื่อราคาน้ำมันเตาแพงก็ย่อมกระทบต้นทุนการผลิตของกฟผ.ด้วยการใช้น้ำจากเขื่อนก็เช่นกัน
ตั้นทุนการลงทุนสร้างเขื่อนนับวันจะแพงขึ้นและจำกัดด้วยแรงกดดันจากกระแสการอนุรักษ์ธรรมชาติที่ทำให้โครงการสร้างเขื่อนต้องลำบากมากขึ้น
ส่วนการนำลิกไนต์มาเป็นวัตถุดิบเชื้อเพลิงทำไฟฟ้าก็เช่นกัน การลงุทนเปิดเหมืองหน้าดินต้องใช้อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือมูลค่าหลายพันล้านบาท
ไม่นับค่าจ้างแรงงานของแรงงานที่ต้องใช้นับพันคน ในการทำลิกไนต์ออกมาใช้แต่ละจุดที่สำรวจพบ
ที่ย่อมเกี่ยวพันกับต้นทุนการใช้จ่ายด้านเวนคืนที่ดินและปัญหาการเคลื่อนย้ายชุมชนในชนบท
ต้นทุนเหล่านี้มีราคาแพงมากทั้ง ๆ ที่กระบวนการการสำรวจและนำลิกไนต์มาใช้เป็นเทคนิคขั้นต่ำ
ดังนั้น ความสำเร็จของกฟผ.ที่ใช้ก๊าซเป็นวัตถุดิบเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าจึงเท่ากับยิงกระสุนนัดเดียวได้นกหลายตัว
และดอกผลของมันก็ส่งมาถึงปัจจุบันที่ฐานะการดำเนินธุรกิจของกฟผ.มั่นคงมาก
เพราะหนึ่ง - กฟผ.ไม่สามารถขึ้นราคาค่าไฟฟ้าที่ขายให้กับกฟน., กฟภ. และอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่อย่างปูนซิเมนต์และผาแดงฯได้ง่าย
ๆ เนื่องจากราคาไฟฟ้าเป็นสาธารณูปโภคที่ไม่สามารถสะท้อนตามกลไกราคาได้เสรี
การเปลี่ยนแปลงราคาไฟฟ้าจึงทำได้ยากและต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเท่านั้นและสอง
- กฟผ.มีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจที่ต้องดำเนินธุรกิจโดยมีเป้าหมายกำไรตามข้อตกลงที่ร่วมกันกับธนาคารโลก
เจ้าหนี้รายใหญ่ของกฟผ.
"ธนาคารโลกกำหนดให้กฟผ.มีผลตอบแทนจากการลงทุนเมื่อเทียบจากมูลค่าสินทรัพย์
ในอัตราไม่ต่ำกว่า 8%" แหล่งข่าวระดับสูงในกระทรวงการคลังกล่าว ซึ่งกฟผ.สามารถทำได้
10.11% ในปี 2531 สูงขึ้นจาก 8.27% ในปี 2527
การที่ราคาค่าพลังงานไฟฟ้าถูกควบคุมจากคณะรัฐมตรี ขณะที่ต้นทุนการผลิตของวัตถุดิบบางชนิดเช่น
น้ำมันเตา ลอยตัวตามภาวะตลาด "ทุกวันนี้ กฟผ.ซื้อน้ำมันเเตาจากปตท.แพงกว่าราคามาตรฐานถึงลิตรละ
5 สตางค์อยู่แล้วขณะที่อุตสาหกรรมทั่ว ๆ ไปที่บโอไอให้การส่งเสริมสามารถซื้อได้ในราคาแพงกว่าราคามาตรฐานเพียงลิตรละ
1 สตางค์เท่านั้น" แหล่งข่าวระดับสูงในหน่วยงานพลังงานของรัฐเล่าให้
"ผู้จัดการ" ฟัง ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความลักลั่นที่กฟผ.ได้รับจากหน่วยงานรัฐวิสาหกิจด้วยกัน
และเป็นหลักฐานยืนยันถึงความถูกต้องที่เกษมได้ลงทุนเจรจาอย่างสุดฤทธิ์กับยูโนแคลที่จะนำก๊าซออกมาใช้ให้ได้
"ลองคิดในมุมกลับ ถ้าเกษมไม่สู้เรื่องก๊าซกับยูโนแคล ก๊าซก็ไม่ถูกนำขึ้นมาใช้อย่างมากมายก่ายกองอย่างทุกวันนี้
อุตสาหกรรมต่อเนื่องจากก๊าซเช่นเปโตเคมี 1, 2 ก็ไม่เกิด กฟผ.ก็ยังคงย่ำต๊อกกับน้ำมันเตาและน้ำเรื่อยไป
ฐานะกฟผ.ไม่มีทางทำกำไรได้ปีละ 6,000-7,000 ล้านบาทอย่างทุกวันนี้ได้"
แหล่งข่าวในวงการพลังงานเล่าเป็นเชิงข้อสังเกตให้ "ผู้จัดการ"
ฟัง
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ 20 ปีของกฟผ.และเกษมในหน่วยงานแห่งนี้ จะถูกวิจารณ์อยู่บ้างในการสร้างเขื่อนและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
ที่สร้างความหวั่นวิตกแก่กลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติ และหนี้สินต่อประเทศชาติในการลงทุน
แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในเกียรติภูมิของประชาชนที่มีต่อชาวกฟผ.และเกษมเลย
จะมีก็แต่เรื่อง การบริหาปริมาณการผลิตไฟฟ้าสำรองเพื่อความมั่นคงเท่านั้นที่
กฟผ.และเกษมถูกตีหนัก
หน้าที่ กฟผ.ตามกฎหมายเขียนไว้ชัดให้ผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการ
หรือพูดอีกนัยหนึ่งผลิตโดยไม่ให้ดับ หรือหมิ่นเหม่ต่อไฟดับ
เผอิญในระยะปี 30-32 ที่เชื่อมโยงไปถึงปี 33 ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงมาก
ๆ เกินเป้าหมายที่คณะทำงานพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าที่มีคนของกฟผ.นั่งเป็นกรรมการอยู่ด้วยไปมาก
ขณะที่การลงทุนผลิตไฟฟ้าโดยการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่แต่ละแห่ง (ขนาด 300 เมกะวัตต์)
มันกินเวลานานถึง 4 ปี
เมื่อตอนแรก ๆ (ปี 29) คณะทำงานพยากรณ์ฯคาดว่า จากแนวโน้มในอดีตอัตราการเติบโตความต้องการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยต่อปีมันเพิ่มแค่อย่างเก่งก็
6%/ปี เวลาทำแผนลงทุนระยะ 10 ปี สร้างโรงไฟฟ้าในแผนพัฒนาฉบับที่ 6 (2530-34)
ก็เลยยึดตัวเลขพยากรณ์ตัวนั้นเป็นเกณฑ์ ซึ่งคำนวณออกมาแล้ว มันตกประมาณ 68,000
ล้านบาท
พอมาในปี 30 ปรากฏว่า เศรษฐกิจมันโตทรวดพราด ความต้องการเฉลี่ย/เดือน มันสูงถึง
13% ก็มีการปรับเป้าหมายตัวเลขพยากรณ์ใหม่ โดยมีนักคณิตศาสตร์คนสำคัญของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมชะนันท์ และดร.พิสิฏฐ์ ภัคเกษม รองเลขาฯสภาพัฒน์ (ขณะนั้น)
เป็นกุญแจสำคัญในคณะทำงานฯชุดนี้พร้อมด้วยผู้แทนจากกฟผ.และกฟน.ม กฟภ. ก็นั่งเป็นกรรมการในคณะฯนี้ด้วย
"การปรับเป้าหมายตัวเลขพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้า สมมติฐานในการนำมาคำนวณตัวสำคัญเลยดูที่แนวโน้มทางเศรษฐกิจการลงทุนซึ่งเป็นดัชนีตัวฐานที่ใช้ในการคำนวณ
แต่ก่อนสมมติฐานด้านปัจจัยทางภาวะเศรษฐกิจ คณะทำงานพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าชุดก่อน
ๆ ละเลยมาตลอด" กรรมการคณะทำงานพยากรณ์ท่านหึ่งเล่าให้ "ผู้จัดการ"
ฟัง
ตัวเลขพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าขอกรรมการชุดใหม่ เมื่อตุลาคม 30 ระบุว่าช่วงตลอดแผน
6 จะเติบโตในอัตราปีละ 9.41% (วัดจากความต้องการฯที่มีหน่วยเป็นกิโลวัตต์ชั่วโมง)
ทำให้ยอดการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าในแผน 6 ได้ถูกปรับใหม่จาก 68,000 ล้านบาท
เป็น 87,000 ล้านบาท
9 เดือนต่อมา ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 31 ได้พุ่งพรวดเป็น 11% จากปี
30 ที่ตกประมาณ 8.5-9.6% คณะทำงานพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าก็มีการปรับตัวเลขพยากรณ์ความต้องการใหม่
เมื่อเดือนกรกฎาคม 2531 เป็นตลอดช่วงแผน 6 จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 12.7% ทำให้มีการปรับยอดการลงทุนในแผนการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าของกฟผ.
ในแผน 6 ใหม่เป็นประมาณ 100,000 ล้านบาท และอีกประมาณ 30,000 ล้านบาทในแผน
7
การที่ภาวะเศรษฐกิจโตพรวดพราดกว่า 10% เป็นตัวสะท้อนความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าที่แจ่มชัด
รายงานสำหรับผู้บริหารประจำเดือนพฤษภาคม 2532 ได้รายงานว่า "ในวันที่
4 พ.ค. เวลา 19.30 นง (PEAK LOAD) มีค่า 6,043.40 เมกะวัตต์ สุงกว่าช่วงระยะเดียวกันของปีก่อน
637.28 เมกะวัตต์ แต่ต่ำกว่าค่าเดือนเมษายนปี 2532 ซึ่งถือว่าเป็นค่าความต้องการใช้พลังไฟฟ้าสูงสุดของปีงบประมาณ
2532 นี้ อยู่เพียง 37.60 เมกะวัตต์เท่านั้น"
เหตุภาวะเช่นนี้เองกดให้ปริมาณการผลิตไฟฟ้าสำรอง (RESERVE MARGIN) ของกฟผ.เดือนเมษายนปี
2532 นี้ตกลงเหลือแค่ 4% เทียบกับเมษายนของปีที่แล้ว 20% จนเป็นเหตุหนึ่งที่กรรมการกฟผ.โดยเฉพาะเกษมถูกเฉลิม
อยู่บำรุง รมต.สำนักนายกฯ ที่ควบคุมกำกับดูแลกฟผ. หาเหตุโจมตีเพื่อสร้างความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวปลดเกษมและกรรมการกฟผ.ทุกคน
เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
การบริหารปริมาณผลิตไฟฟ้าสำรองเป็นจุดที่เกษมถูกโจมตีมากไม่เพียงแต่เฉลิมเท่านั้น
ในวงการนักเทคโนแครต ที่รับผิดชอบพลังงานของรัฐ ก็เห็นจุดบกพร่องในประสิทธิภาพที่อ่อนเปราะของกฟผ.จุดนี้ด้วย
จากแผนภูมิกราฟ จะสังเกตเห็นว่าในมกราคมปี 2531 ปริมาณไฟฟ้าสำรองสูงถึงเกือบ
30% และในปี 30 29 ปริมาณสำรองเฉลี่ยต่อเดือนสูงถึง 40%
สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร นักเทคโนแครตพลังงานผู้หนึ่งให้ข้อสังเกตกับ
"ผู้จัดการ" ว่า มันแสดงถึงการ OVER INVESTMENT ของกฟผ.ในอดีตและจุดที่สำคัญกว่านั้นคือ
ในบางช่วงของแผนลงทุนพัฒนาไฟฟ้าที่ควรเร่งกลับไม่เร่ง และที่ไม่ควรเร่งกลับไปเร่งลงทุนกันมากมาย
จนสำรองเหลือนาน ซึ่งถ้าหากเป็นธุรกิจเอกชนที่มีสต็อกเหลือถึง 40-50% นี้เจ๊งไปนานแล้ว
แม้ข้อสังเกตนี้จะมีเหตุผล แต่แหล่งข่าวที่เป็นเทคโนแครตก็ยอมรับกับ "ผู้จัดการ"
ว่า การ OVER INVESTMENT ของกฟผ.ในอดีต ก็ช่วยกู้สถานการณ์ในปัจจุบันไม่ให้ไฟฟ้าดับ
หรือขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าได้
ยิ่งในปี 2533 ทั้งในแหล่งข่าวของกฟผ. และหน่วยงานพลังงานของรัฐก็ยืนยันว่า
ไฟฟ้าสำรองจะขยับตัวสูงขึ้นในช่วงต้นปีในระดับเกือบ 10% จะตกรูดลงมาจน -2%
ในเดือนเมษายน แล้วค่อย ๆ ขยับขึ้นไปเรื่อย ๆ จนเกือบ 24% เมื่อสิ้นปี 2533
เนื่องจากแรงดันของกำลังผลิตไฟฟ้าในโครงการต่าง ๆ ของกฟผ.ที่กำหนดเสร็จในปี
2533 อีก 570 เมกะวัตต์
และตรงนี้คือ TURNING POINT ของเกษมและกรรมการกฟผ. ทุกคนในสถานการณ์ใหม่ของกฟผ.ที่ไม่เคยประสบมาเลยตลอด
20 ปีที่ผ่านมาจนเป็นมูลเหตุที่สำคัญอันหนึ่งที่บีบรัดให้ยุทธศาสตร์การผลิตไฟฟ้าของกฟผ.เข้ามุมยอมรับให้เอกชนเข้ามาร่วมผลิตด้วย
ตามแนวความคิด ล้มล้างระบบผูกขาดกฟผ.ในการผลิตไฟฟ้าด้วยนโยบายดึงเอกชนเข้ามาร่วมผลิต
แนวความคิดในเรื่องการแปรรูปหรือการให้เอกชนเข้ามามีบทบาทร่วมลงทุนในโครงการใหม่
ๆ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เป็นประเด็นสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้คนในกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติไม่พออกพอใจกฟผ.เป็นอย่างมาก
และเป้าของความรู้สึกดังกล่าวตกอยู่ที่กรรมการของกฟผ.อย่างเกษม จาติกวณิชอย่างช่วยไม่ได้เลย
ว่ากันว่าคนในกระทรวงการคลังพยายามผลักดันเรื่องนี้มาเป็นเวลา 3 ปีแล้ว
ซึ่งดูเหมือนว่ากระแสความคิดการแปรรูปจะสอดคล้องกับความจำเป็นในการลงุทนของกฟผ.ในช่วงเวลาปัจจุบันพอดี
เพราะกฟผ.มีเป้าหมายที่จะลงทุนามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2530-2534
ประกอบด้วย การก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำ โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนโครงการขยายเมือง
โครงการขยายระบบส่งพลังไฟฟ้า รวมทั้งสิ้น 35 โครงการ ใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น
138,000 ล้านบาท โดยเป็นเงินลงทุนในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ 6 จำนวน 100,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นเงินกู้จากต่างประเทศ 53,000
ล้านบาท ที่เหลืออีก 38,000 ล้านบาทเป็นงบที่อยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่
7
สาเหตุที่กฟผ.ต้องเร่งระดมทุนเพื่อก่อสร้างโรงไฟฟ้าจำนวนมากมายหลายแห่งเช่นนี้
เป็นเพราะความต้องการใช้กระแสไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องมาจากความเติบโตของภาวะเศรษฐกิจในช่วงตั้งแต่ปี
2530 เป็นต้นมา ดังกล่าวมาแล้วว่า ในบางช่วง (เมษายน) กระแสไฟฟ้าสำรองตกต่ำเหลือเพียง
4% ซึ่งนับเป็นอันตรายมาก หากโรงไฟฟ้าบางแห่งต้องหยุดเพื่อซ่อมแซม ก็อาจจะต้องมีการดับไฟฟ้าในบางจุด
ซึ่งบรรดาผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมต่างหวาดเสียวไปตาม ๆ กัน หากเกิดกรณีนี้ขึ้นมาจริง
ๆ
16 กุมภาพันธ์ 2532 คณะกรรมการนโยบายพลังงาแห่งชาติซึ่งมีพล.อ.ชาติชาย
ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ศึกษาในรายละเอียดแผนการลงทุนของกฟผ.
และที่สำคัญให้ศึกรวมไปถึงลู่ทางการสนับสนุนให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในการผลิตกระแสไฟฟ้าร่วมกับเอกชน
เงินลงทุน 138,000 ล้านบาทเป็นเงินไม่ใช่น้อย ๆ เลย เรื่องของเรื่องก็มาถึงกระทรวงการคลังที่มีหน้าที่หาเงินและควบคุมการใช้จ่ายของกฟผ.และรัฐวิสาหกิจโดยทั่วไป
กระทรวงการคลังแต่งตั้งอรัญ ธรรมโน ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นประธานคณะทำงานศึกษาดังกล่าว
กรรมการคนอื่น ๆ ประกอบด้วยพิศิฎฐ์ ภัคเกษม เลขาธิการสภาพัฒนฯ, เผ่าพัชร
ชวนะลิขิกร ผู้ว่ากฟผ.ม ปิยะสวัสดิ์ อัมระนันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติและนิพัท
พุกกะนะสุต รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
กว่าคณะทำงานชุดนี้จะสามารถสรุปทางออกมาได้ วิวาทระหว่างคนจากกระทรวงการคลังและกฟผ.ก็หนักหนาเอาเรื่องทีเดียว
ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความไม่ลงรอยกับแนวความคิดการแปรรูปอย่างชัดเจน
ทางซีกกระทรวงการคลังจะวิเคราะห์ฐานะทางการเงินของกฟผ.ในการที่จะลงทุนอีก
138,000 ล้านบาทดังกล่าว ซึ่งต่อมาคณะทำงานจะวิเคราะห์ว่ากฟผ. จะไม่สามรถ่จัดหารรายได้จากการดำเนินงานมาร่วมทุนในสัดส่วน
ที่กำหนดไว้ 25% ได้ แม้วาจะลดหลักเกณฑ์นี้เหลือเพียง 20% สำหรับปี 2533-2535
แล้วก็ตาม นอกจากจะไม่สามารถหาเงินของตนเองมาสมทบกับเงินกู้ได้เพียงพอแล้ว
ถ้ากฟผ.จะคิดลงทุนต่อไป ฐานะทางการเงินของกฟผ. จะถึงขั้นติดลบ คือขาดเงินที่จะมาใช้หนี้เงินกู้และค่าใช้จ่ายดำเนินการตั้งแต่ปี
2536 เป็นต้นไป ซึ่งภาระดังกล่าวจะกระทบไปถึงแผนพัฒนาฯฉบับที่ 7 ซึ่งรัฐอาจจะต้องชดเชยด้วยการเพิ่มทุน
ลดภาษีอากร งดเว้นการนำรายได้ส่งรัฐและสุดท้ายจะต้องปรับค่าใช้ไฟฟ้าให้สูงขึ้น
"ถ้าให้เขาดำเนินไปตามแผนโดยลำพัง ไม่ให้เอกชนเข้ามา กฟผ.อาจจะต้องขึ้นค่าไฟฟ้าอีก
13% ภายในปีสองปีนี้" แหล่งข่าวในคณะทำงานกล่าว
ด้วยภาระดังกล่าว กระทรวงการคลังจึงเห็นวากฟผ.ต้องให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนโดยเร็ว
เพื่อหาเงินเตรียมการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเสียแต่ตอนนี้ ขณะที่กฟผ.ยืนยันหนักแน่นว่าไม่จำเป็น
โดยเผ่าพัชรเป็นตัวแทนของกฟผ. ในคณะทำงานซึ่งเชื่อกันว่า เกษม จาติกวณิชในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาไฟฟ้าของกฟผ.เป็นผู้เสนอแท้จริงร่วมกับกรรมการกฟผ.คนอื่น
ๆ
กฟผ.มองว่าตนเองเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นที่เชื่อถือและเป็นตัวอย่างทั่วโลกเพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนโครงสร้างหรือให้เอกชนเข้ามา
ปัญหาการเงินของกฟผ.ก็มีไม่มากเลี้ยงตัวเองได้และขยายงานได้ดีพอสมควร
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือความต้องการไฟฟ้าในช่วงนี้สูงมากผิดปกติ ขณะที่โครงการขยายกำลังการผลิตในอดีตถูกชะลอไว้เนื่องจากการพยากรณ์ของคณะทำงานพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้า
ดังนั้นในช่วงนี้จึงต้องลงทุนมากเป็นพิเศษเพื่อรองรับให้ทัน ซึ่งพ้นจากระยะนี้ไป
การลงทุนของกฟผ.คงต้องลดลง
นอกจากนั้นเรื่องเพดานเงินกู้นั้น กฟผ.ก็มองว่าเนื่อง่จากเศรษฐกิจเติบโตขึ้นมากกว่าที่คาดหมายไว้เดิม
ดังนั้นเพดานเงินกู้เงินตราต่างประเทศของรัฐก็น่าจะปรับขึ้นไปได้ และโดยฐานะของกฟผ.เองที่ความมั่นคง
ดำเนินกิจการดี สมควรอยู่ในเพดานเงินกู้ต่างหากออกไป
"หรือจะให้กฟผ.ออกพันธบัตรเองก็ได้ ไม่จำเป็นต้องให้กระทรวงการคลังมาค้ำด้วย"
กรรมการกฟผ.คนหนึ่งให้ความเห็น
ที่สำคัญกฟผ.เองอ้างอยู่เสมอว่า เป็นรัฐวิสาหกิจสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐษนที่สำคัญที่สุด
รัฐวิสาหกิจสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่สำคัญที่สุด รัฐควรพิจารณาความเปลี่ยนแปลงอย่างรอบคอบ
เพราะเกี่ยวเนื่องกับเสถียรภาพความมั่นคงทางเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศ
หลังจากผ่านการถกเถียงเกือบ 2 เดือน เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา คณะทำงานชุดดังกล่าวก็สรุปรูปแบบและแนววิธีการดำเนินการที่จะขยายบทบาทของภาคเอกชนในการร่วมทุนหรือดำเนินการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าได้
6 รูปแบบคือ
รูปแบบที่ 1 แปลงรูปกิจการของกฟผ.ทั้งหมดหรือบางส่วนเป็นบริษัทจำกัดแล้วขายกิจการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนโดยการจำหน่ายหุ้น
(SALE)
รูปแบบที่ 2 เอกชนเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าด้วยระบบการผลิตพลังความร้อนและไฟฟ้าร่วมกัน
(COGENERATION)
รูปแบบที่ 3 เอกชนเป็นผู้ลงทุนสร้าง เป็นเจ้าของและเป็นผู้ดำเนินการโรงไฟฟ้าเอง
(BUILDOWN-OPERATE : BOO) แล้วจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบของกฟผ.
รูปแบบที่ 4 เอกชนเป็นผู้ลงทุนสร้าง เป็นเจ้าของ เป็นผู้ดำเนินการโรงไฟฟ้าเอง
แล้วจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบไประยะหนึ่งจึงโอนทรัพย์สินให้กฟผ. (BUILD-OWN-OPERATE-TRANSFER
: BOOT)
รูปแบบที่ 5 เอกชนเป็นผู้ลงทุนสร้าง เป็นเจ้าของ และให้เช่าโรงไฟฟ้าแก่กฟผ.
เพื่อดำเนินการผลิตเอง (BUILD-OWN-LEASING : BOL)
รูปแบบที่ 6 กฟผ.เป็นผู้ลงทุนสร้างก่อนและขายโรงไฟฟ้าให้กับบริษัทเอกชนที่กฟผ.เป็นผู้จัดตั้งขึ้นโดยร่วมถือหุ้นข้างน้อยด้วยเป็นผู้ดำเนินการโรงไฟฟ้า
แล้วจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเข้าระบบของกฟผ.เอง (SUBSIDIARY COMPANY : SC)
แต่เมื่อคนกฟผ.เห็นรูปแบบทั้งหกนี้เข้าก็มีแต่คนเบ้ปากว่า "ไม่เอา"
รูปแบบที่ 1 ซึ่งก็คือการเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์แบบไม่ต้องพูดถึง เพราะเป็นเรื่องอีกยาวนาน
ทั้งต้องเป็นเรื่องต้องถกเถียงอีกไม่รู้เท่าไร และในแง่ปฏิบัติเองก็ต้องมีการแก้กฎหมายสถานภาพของกฟผ.ก่อนจากองค์การเป็นบริษัทจำกัดและอื่น
ๆ ในด้านเทคนิคหลายประการ ซึ่งคงจะใช้อีกหลายปีในขั้นการดำเนินงานว่าจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้
"นั่นคือคุณต้องตกลงให้ได้ตอนนี้ แล้วเริ่มต้นในปัจจุบัน มันจะเป็นผลดีในอนาคตไม่ใช่เตะถ่วง"
แหล่งข่าวในกระทรวงการคลังกล่าว
แต่กรรมการกฟผ.เห็นแย้งว่า "วิธีการแปรรูปโดยการเข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่มีความจำเป็นแต่ถ้ารัฐบาลประสงค์กำหนดนโยบายนำรัฐวิสาหกิจที่เป็นธุรกิจแสวงหากำไรก่อน
ส่วนรัฐวิสหกิจสาธารณูปโภค เช่น กฟผ. ควรศึกษาให้รอบคอบ"
"คุณต้องระวังเรื่องการตีราคาทรัพย์สิน ซึ่งกฟผ.มีมากมายมหาศาล หากตีราคาต่ำไปก็จะเกิดการกว้านซื้อหุ้นโดยนักการเมือง
นอกจากนั้นราคาหุ้นก้จะสูงมาก อาจถึงหุ้นละ 1 ล้านบาท ใครจะกล้ามาลงทุนและอาจจะได้ปันผลน้อยมากหรือไม่ได้เลยเป็นเวลานาน
เพราะคลังและกฟผ.ต้องเอาเงินไปลงทุนเพิ่มหรือชำระหนี้ต่างประเทศที่มีอยู่"
กรรมการกฟผ.คนหนึ่งให้ความเห็นถึงอุปสรรค
ส่วนรูปแบบที่ 2 คือระบบโค-เจนเนอเรชั่นเป็นวิธีการที่กฟผ.เห็นด้วยมากที่สุดและประกาศตัวอยู่เสมอว่า
เห็นด้วยกับวิธีการนี้มาตั้งนานแล้วแต่ในขั้นตอนการปฏิบัติก็ดูเหมือนจะล่าช้าไม่ใช่น้อย
"กฟผ.ไม่เห็นด้วยกับการเปิดโอกาสให้เอกชนใช้เชื้อเพลิงหลายรูปแบบ
เช่น วัสดุเหลือใช้และน้ำมันเชื้อเพลิง แต่กฟผ.อยากจะให้เอกชนใช้แต่วัสดุเหลือใช้
ซึ่งผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า เป็นไปไม่ได้สำหรับเอกชน เพราะช่วงใดที่เอกชนไม่มีวัสดุเหลือใช้
เช่น โรงงานน้ำตาลไม่มีชานอ้อยเหลือก็จะไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ ซึ่งก็จะไม่คุ้มกับการลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าของตนเองกิจการประเภทนี้ก็จะไม่เกิดหรือไม่โตเลย
นอกนั้นก็เป็นเรื่องราคาซื้อขายไฟฟ้า ซึ่งกฟผ.กำหนดส่วนต่างซื้อขายในอัตราค่อนข้างสูงถึง
60 สตางค์ต่อ KWH ทำให้ราคาไฟฟ้าสูง เอกชนที่อยากจะลงทุนและซื้อไฟฟ้าจากส่วนนี้ใช้ก็เลยแหยง
จนต้องมีการปรับระเบียบและรายละเอียดกันใหม่ พอให้ระบบนี้มันเกิดขึ้นมาได้"
แหล่งข่าวในคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติกล่าว
จุดที่มีการปรับระเบียบรายละเอียดกันใหม่ก็คือการเสนอรายละเอียดถึงวัสดุเหลือใช้เป็นเชื้อเพลิงซึ่งมีพลังไฟฟ้าที่จะขายให้กฟผ.กินความกว้างไปถึงขยะ
ก๊าซชีวภาพ ไม้ฟืน นอกเหนือจากวัสดุทางการเกษตร เช่น แกลบหรือชานอ้อย แต่เพียงอย่างเดียวตามข้อเสนอของกฟผ.
อีกจุดหนึ่งก็คือส่วนต่างราคาซื้อขาย (MAGIN) ของกฟผ. ควรจะอยู่ในช่วงอัตรา
10-30 สตางค์/ KWH ก็พอ และจุดสุดท้ายคือการรับผิดชอบความเสียหายของระบบไฟฟ้าอันเนื่องมากจากอุปกรณ์ไฟฟ้าของกฟผ.
ไม่ควรให้เอกชนเข้ามารับภาระความเสียหายนั้นด้วย ขณะที่ในร่างระเบียบขอบกฟผ.
ได้ระบุให้เอกชนรับผิดชอบความเสียหายจากกรณีอุปกรณ์ของกฟผ.ด้วย ซึ่งไม่เป็นธรรมต่อเอกชน
ผลของการปรับปรุงข้อตกลงและระเบียบก็คือกฟผ. ประท้วงด้วยการไม่เข้าร่วมประชุมพิจารณาระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนสำหรับระบบโค-เจนเนอเรชั่น
เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2532 ซึ่งเป็นการประชุมระหว่างภาคเอกชนกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
ซึ่งมี พิสิฎฐ์ ภัคเกษมเป็นเลขานุการและโต้โผใหญ่ของงาน
"เขาอ้างว่าคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติไม่ทำตามข้อตกลงในเรื่องร่างระเบียบ
เขาก็เลยไม่มา แต่ก็ดีแล้วที่ไม่มาเพราะเขาจะถูกรุมจากเอกชนว่าใจแคบในเรื่องนี้
เอกชนหลายคนถึงกับเสนอว่า ถ้ามีระบบนี้เกิดขึ้นจริงก็ขอซื้อโดยตรงจากผู้ผลิตเลยไม่ต้องผ่านกฟผ."
แหล่งข่าวในที่ประชุมกล่าว
เกษมเคยกล่าวบ่อยครั้งว่าเห็นด้วยกับระบบนี้เป็นการผลิตร่วมกันที่ดี แต่ต้องไม่ทำไฟฟ้าขายแข่งกันกฟผ.
แต่ด้วยความล่าช้าในขั้นปฏิบัติ เกษมถึงกับกล่าวว่าถ้าระบบโค-เจนเนอเรชั่นเกิดขึ้นได้จริงและสามารถต่อเข้าระบบของกฟผ.ได้ทันกลางปี
2533 ซึ่งกฟผ.จะประสบปัญหากระแสไฟฟ้าสำรองต่ำอีกครั้ง เกษมกล่าวว่าเขาจะทำโล่มอบให้เอกชนรายนั้นเลยเพราะเกษมคาดว่าไม่ทันแน่
"เรื่องมันช้าเพราะกฟผ.เองนั่นแหละ ตอนนี้เรื่องมันกลับมาอยู่ที่
กฟผ.แล้วเพื่อให้เขาพิจารณาในรายละเอียดในฐานะผู้ปฏิบัติ ที่มันช้าเพราะ
ข้างในกฟผ.เองก็ยังตกลงเรื่องนี้กันไม่ได้" แหล่งข่าวกล่าว
เป็นเพราะฝ่ายปฏิบัติการเห็นด้วย แต่ฝ่ายร่างนโยบายและบริหารนโยบายคัดค้าน
ก็เลยคารังคาซัง
ส่วนรูปแบบที่ 3,4 และ 5 นั้น มีลักษณะคล้ายคลึงกัน คือ เปิดโอกาสให้เอกชนมาลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าด้วยตนเอง
จะแตกต่างกันก็ตรงหลังจากสร้างเสร็จแล้วจะให้ใครดำเนินการผลิตไฟฟ้าแบบไหนเท่านั้น
ซึ่งทั้ง 3 รูปแบบ กฟผ.แทบจะเปิดประตูรับเอาเสียเลย
เกษมค้านรูปแบบนี้อย่างหนักแน่น เขากล่าวว่า แม้จะผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเขาก็จะค้านและต่อต้าน
เพราะถือเป็นความขัดแย้งทางความคิดเห็นส่วนบุคคล
เกษมและกรรมการกฟผ.ให้เหตุผลคัดค้านว่า หนึ่ง - หนี้ต่างประเทศที่เกิดขึ้นเพราะการซื้อเครื่องจักรจากต่างประเทศนั้นจะเปลี่ยนจากหนี้ของัฐมาเป็นหนี้ของเอกชนเท่านั้น
เพราะถ้าให้เอกชนเข้ามา เอกชนก็ต้องกู้เงินจากต่างประเทศอยู่ดี ดังนั้นจึงไม่ได้แก้ปัญหาหนี้สินของประเทศแต่อย่างใด
สอง - ภาคเอกชนที่มีความสามารถที่จะมาลงทุนในระดับแสนล้านหมื่นล้านก็จะเป็นบริษัทใหญ่
ๆ ในต่างประเทศ ดังนั้นจึงเป็นการเสี่ยงถ้าเอากิจการสาธารณูปโภคพื้นฐานที่สำคัญไปตกอยู่ในมือของต่างชาติ
สาม - เอกชนเข้ามาก็ต้องมาแย่งใช้เชื้อเพลิง เช่น ลิกไนต์ ก๊าซธรรมชาติ
ซึ่ง กฟผ.และรัฐบาลได้ดำเนินการเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน และลงทุนเป็นเงินมหาศาล
สมควรถือเป็นทรัพยากรของชาติ จึงไม่สมควรให้เอกชนมาเหมือนกับเป็นการชุบมือเปิบ
สี่ - เอกชนเข้ามาลงทุนจะมีปัญหาในการลงทุนในเรื่องสายส่งและเทคนิค ซึ่งต้องกลงทุนมหาศาลและเอกชนจะไม่ยอมเข้าใปลงทุนในเขตชนบทเพราะไม่คุ้มทุน
และราคาค่าไฟฟ้าที่จะจำหน่ายก็อาจจะสูงขึ้นมา
ห้า - กรรมการ กฟผ.ระบุว่า วิธีให้นายธนาคารและกลุ่มพ่อค้าเครื่องจักรมาลงทุนแบบนี้นั้นใช้ได้แต่กับประเทศด้อยพัฒนา
ซึ่งประเทศเหล่านี้บริหารโครงการไม่เป็น และจนมาก ๆ เป็นความคิดของนายทุนที่ต้องการขูดรีดประเทศด้อยพัฒนา
"ระบบให้เอกชนมาสร้างโรงไฟฟ้าเองนี้เหมาะสำหรับประเทศในแอฟริกามากกว่า
ที่ไม่มีระบบการบริหารและไฟฟ้าดับอยู่เสมอ" เกษมกล่าว
"คุณเกษมเถียงข้าง ๆ คู ๆ " แหล่งข่าวในคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติกล่าวโต้
เหตุผลเพราะว่า เรื่องหนี้ต่างประเทศก็เป็นความเข้าใจผิดของเกษม ไม่มีใครบอกว่าต้องการลดหนี้ต่างประเทศ
แต่ต้องการแก้ไขปัญหาเงินกู้เกินเพดานเงินกู้ ซึ่งกระทรวงการคลังจะต้องเข้าไปค้ำเงินกู้ของกฟผ.ทุกรายการโดยทันที
ถ้าปล่อยให้กฟผ.ลงทุนเอง จะต้องมีปัญหาเพดานเงินกู้อย่างแน่นอน
"กฟผ.กลัวว่าในอนาคต บริษัทเหล่านี้จะรวมตัวกันเป็นบริษัทใหญ่ แล้วเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของกฟผ.
ซึ่งถึงตอนนั้นจะมีการเปรียบเทียบประสิทธิภาพการทำงานในทุกด้าน แล้วตอนนั้นจะรู้เองว่า
ที่กฟผ.คุยว่าทุกวันนี้ดำเนินงานมีประสิทธิภาพมันจริงหรือไม่" แหล่งข่าวกล่าว
นอกจากนั้น กฟผ.จะประสบปัญหา "มันสมองไหล" อย่างแน่นอน ถ้าภาคเอกชนทำได้ดีกว่า
วิศวกรจำนวนมาก็จะไปสู่ภาคเอกชน ส่วนเรื่องราคาค่าไฟฟ้าก็ไม่มีข้อสรุปว่าจะแพงหรือถูกกว่าที่เป็นอยู่เรื่องการลงทุนสายส่งหรือเทคนิคก็ยังไม่มีระเบียบปฏิบัติว่าจะเอาอย่างไร
อยู่ที่การออกระเบียบ ออกมาตรการต่าง ๆ ของ กฟผ.ซึ่งจะกำหนดอำนาจในเรื่องเหล่านี้ตลอดจนเรื่องการควบคุมอย่างไรก็ได้
"เขากลัวว่า พอสร้างโรงไฟฟ้าเสร็จ เอกชนจะทำไม่ได้แล้วหนี ก็ดีนะสิ
เราจะได้ยึดเป็นของเราไปเลย เขาลงทุนให้เราก่อนแล้ว ส่วนเรื่องเชื้อเพลิงพลังงาน
ก็เหมือนกัน ทุกวันนี้ กฟผ.ก็ต้องซื้อ ไม่แตกต่างจากเอกชนที่จะเข้ามา เรื่องเหมืองลิกไนต์ก็อยู่ที่ว่า
กฟผ.ใจกว้างพอไหมที่จะให้เอกชนเข้ามาร่วมสำรวจและลงทุนร่วม ทุกวันนี้ กฟผ.ผูกขาดการสำรวจลิกไนต์
กฟผ. จะมีสิทธิ์ในเรื่องนี้ก่อนเสมอเรื่องแบบนี้ ใจกว้างพอไหม" แหล่งข่าวคนเดิมตั้งคำถาม
จากการสืบค้นของ "ผู้จัดการ" พบว่า วิธีการให้เอกชนมาลงทุนในกิจการเช่นนี้มีด้วยกันในหลายประเทศ
เช่น สวีเดน อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา
แนวโน้มของข้อสรุปสำหรับรูปแบบทั้งสามนี้อาจจะเป็นรูปแบบที่ 5 คือ เอกชนเป็นผู้ลงทุนสร้างเป็นเจ้าของ
และให้เช่าโรงไฟฟ้าแก่ กฟผ. (BOL) ส่วนที่จะเป็นโรงไฟฟ้าใดก่อนนั้นก็อาจจะเป็นโรงไฟฟ้าที่อยู่ในแผนพัฒนาฯฉบับที่
7 ไปแล้ว
ส่วนรูปแบบที่ 6 คือให้ กฟผ.เป็นผู้ลงทุนสร้างก่อนและขายโรงไฟฟ้าให้กับบริษัทเอกชนที่
กฟผ.และเอกชนร่วมจัดตั้งขึ้น โดยจะถือหุ้น 49% และบริษัทดังกล่าวจะเป็นผู้ดำเนินการผลิตไฟฟ้าเองเพื่อให้เข้าระบบ
กฟผ.
ลักษณะเช่นนี้ กฟผ.ประนีประนอมรับได้ โดยในขั้นต้นจะมีโครงการทั้งสิ้น
10 โครงการอยู่ในรูปแบบนี้
ทั้ง 10 โครงการ วงเงินลงทุนทั้งสิ้น 61,612 ล้านบาท แต่จะให้เอกชนเข้าร่วมลงทุน
30,000 -40,000 ล้านบาท
เป็นที่เชื่อกันว่า รูปแบบที่ 6 นี้เป็นการประนีประนอมของ กฟผ.และเป็นความจำเป็นรีบด่วนเฉพาะหน้าที่ต้องตัดสินเสียแต่ตอนนี้ว่าจะหาเงินลงทุนจากที่ไหนสำหรับ
10 โครงการนี้
"มันก็เหมือนกับโครงการอื่น ๆ ที่ กฟผ.เสนอเข้ามา แล้วมักจะบอกว่าไม่ทันแล้ว
ๆ ต้องรีบลงทุนตอนนี้ รัฐบาลก็เลยต้องลงทุนเองมาโดยตลอด ทั้งที่กระทรวงการคลังเองอยากจะให้เอกชนมาลงทุนตลอด
เพราะคิดว่ามันไม่ทันจริง ๆ ดร.ไพจิต เอื้อทวีกุล ในฐานะกรรมการสภาพัฒนาฯ
ยังบ่นว่า จะไม่ยอมให้ลูกหลอกอีกแล้วสำหรับ 10 โครงการนี้รัฐบาลจะไม่ลงทุนเองอีก
ต้องให้เอกชนเข้ามา เพราะเรายังเตรียมตัวทัน แม้ว่าจะไม่เต็ม 100% ก็ตาม"
แหล่งข่าวกล่าว
ในเวลานี้สำหรับ 10 โครงการ กระทรวงการคลังได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง
เพื่อศึกษาในรายละเอียดและเจรจากับรัฐบาลและสถาบันการเงินต่างประเทศ มี ประมวล
สภาวสุ รัฐมนตรีคลังเป็นประธานเอง ซึ่งก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่า ผลจะลงเอยอย่างไร
เอกชนจะเข้ามาได้จริงหรือไม่
ในช่วงเดือนมีนาคม-มิถุนายนที่ผ่านมา คือห้วงเวลาถกเถียงเรื่องการแปรรูปอย่างเป็นรูปธรรมที่สุดและเริ่มมีข้อตกลงที่ชัดเจนดังที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด
แต่ถึงกระนั้น เกษมก็ยังออกโรงมาคัดค้านเป็นระยะ ส่วนใน กฟผ.เองยังมีข้อสรุปที่หนักแน่นด้วยการพยายาจะให้รัฐบาลทบทวนและพิจารณาอย่างรอบคอบตลอดเวลา
ดังนั้นแม้จะมีหลักการออกมาชัดเจนในขั้นตอนปฏิบัติก็ยังล่าช้าอยู่ดี
"ปัญหาของ กฟผ.คือ การผูกขาด ความคิดของเขาอาจจะก้าวในช่วงก่อสร้างตัว
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาอยู่กับการผูกขาดมานาน ความคิดอาจจะไม่ทันสถานการณ์ปัจจุบันไปบ้าง"
กรรมการคนหนึ่งในคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติกล่าว ซึ่งแสดงถึงความไม่พอใจอย่างหนักหน่วงต่อท่าทีของกรรมการ
กฟผ.ในเรื่องการแปรรูป
หากให้ "ผู้จัดการ" ประเมินการเปลี่ยนแปลงกรรมการ กฟผ.ในช่วงที่รัฐบาล
พลเอกชาติชายเข้ามาแตะต้องนั้น ในใจของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติหลายคนคงจะพอใจกับกรรมการชุดทองฉัตร
หงศ์ลดารมภ์ มากที่สุด เพราะอย่างน้อยก็มีพิสิฎฐ์ ภัคเกษม ซึ่งสามารถคุยเรื่องแปรรูปได้สะดวกโยธินที่สุด
หรืออย่างน้อยการที่เกษม จาติกวณิช ต้องหลุดไปจากกรรมการ กฟผ.อย่างถาวร
ก็ทำให้คนหลายคนในกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติที่ปลุกปล้ำกับเรื่องแปรรูป
กฟผ.มานาน ได้หายใจได้ทั่วท้องมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
การที่ เฉลิม อยู่บำรุง และ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรี ปลดเกษม
และนายช่างใหญ่ที่เป็นระดับกรรมการอีก 3 ท่านที่ประกอบด้วย จำรูญ วัชราภัย
อำนวย ประนิช และทองโรจน์ พจนารถ รวมถึง สนอง ตู้จินดา นักกฎหมายอีก 1 ท่าน
รวมเป็น 4 ท่าน ออกจากกรรมการ กฟผ.นั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ง่ายนักว่าทำไมกรรมการทั้ง
5 ท่านที่คลุกคลีกับ กฟผ.มาเฉลี่ยคนละ 20 ปีทั้งนั้น และสร้างประโยชน์ลงหลักปักฐานให้กฟผ.มีสถานะความมั่นคงทุกวันนี้
จึงถูกปลดออกโดยที่ไม้แต่ พลเอกชาติชาย ซึ่งลงทุนเป็นคนควบคุมกำกับดูแล กฟผ.แทนเฉลิม
ก็ไม่สามารถระบุความผิดของกรรมการทั้ง 5 ท่านนี้ได้
ตำแหน่งกรรมการ กฟผ.มันน่าพิศมัยมากมายเพียงใดหรือ
สนอง ตู้จินดา เล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า ค่าเบี้ยเลี้ยงประชุมเดือนละ
3,000 บาทเท่านั้น มันและไม่ได้กับหน้าที่ความรับผิดชอบในการพิจารณาตัดสินงานประมูลหรือจัดซื้ออุปกรณ์ในธุรกิจของ
กฟผ.ที่การประชุมแต่ละครั้ง มีเรื่องเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่วงเงินแทบไม่ต้องพูดถึง
เป็นหลายพันล้านบาท
มองจากความข้อนี้ กรรมการของ กฟผ.จึงต้องเป็นคนมีความซื่อสัตย์สุจริตโดยแท้จริง
ไม่โกง ไม่กิน ไม่เอาพรรคเอาพวก ที่วิ่งเข้ามาหากินกับธุรกิจของ กฟผ.
เกษม จาติกวณิช เขาต้องเป็นเป้าใหญ่ให้เฉลิมโจมตี ในลักษณะชี้ชวน ตามมาตรา
15 (1) ของ ก.ม.การไฟฟ้าฝ่ายผลิต 2511 ที่ระบุว่า "ห้ามกรรมการเป็นผู้มีส่วนได้เสียในสัญญากับ
กฟผ.หรือในกิจการที่กระทำให้แก่ กฟผ.ไม่ว่าโดยตรงหรืออ้อมเว้นแต่เพียงเป็นผู้ถือหุ้นเพื่อประโยชน์ในการลงทุนโดยสุจริตในบริษัทจำกัดที่กระทำการอันมีส่วนได้เสียเช่นว่านั้น"
เพราะเกษมมีภรรยา คือคุณหญิงชัชนี จาติกวณิชเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทล็อกซเล่ยที่ขายอุปกรณ์และสินค้าหลายสินค้าแก่หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ
และเอกชนมานานแล้ว
แต่ความจริงคือ ตลอด 10 ปี ที่เกษมเป็นผู้ว่าการฯ ล็อกซเล่ยขายอุปกรณ์ให้
กฟผ.มีมูลค่าเพียง 0.04% ของยอดลงทุนจัดซื้ออุปกรณ์และจัดจ้างทั้งหมดของ
กฟผ. 160,000 ล้านบาท และที่สำคัญการจัดซื้อและจัดจ้างของ กฟผ.กับล็อกซเล่ย์เป็นระบบประมูล
ไม่ใช่จัดซื้อและจัดจ้างกันโดยเสน่หา
พิทักษ์ รังษีธรรม ส.ส.ตรัง อดีตเซลส์แมนขายอุปกรณ์ของบริษัทมารู่เบนนีญี่ปุ่นเคยกล่าวถึงเกษมว่าเป็นคนที่ผู้ใหญ่ในบริษัทมารูเบนนีที่ญี่ปุ่นยกนิ้วให้ในเรื่องความซื่อสัตย์
เถรตรงเป็นไม้บรรทัด "เจาะขายของให้ กฟผ.โดยผ่านเกษมยากที่จะสำเร็จยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา"
กรรมการบางท่านอย่างจำรูญ วัชราภัย อดีตวิศวกรใหญ่องค์การโทรศัพท์และผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์
ผู้ที่เป็นปูชนียบุคคลคนหนึ่งของชาว ทศท.ในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต ยุติธรรม
เกษียณอายุราชการไปนานแล้ว ว่ากันว่าช่วงเป็นกรรมการ กฟผ.ต้องเดินทางจากศรีราชา
บ้านพักมาประชุมที่ กฟผ.เดือนละครั้งเป็นประจำ
ถ้าจะหวังเป็นกรรมการเพื่อความร่ำรวย คุ้มกันหรือกับชื่อเสียงเกียรติยศที่จำรูญสร้างมาตั้งแต่วัยหนุ่มจนวัยชราอย่างทุกวันนี้
การหาคำตอบในข้อสังเกตนี้เป็นเรื่องเข้าใจกันได้
เฉลิม อยู่บำรุง อภิปรายในสภาเมื่อวันที่ 19 ก.ค. ในวาระถูกอภิปราบไม่ไว้วางใจได้พูดพาดพิงโดยไม่ระบุชื่อกรรมการ
กฟผ.ว่า "มีกรรมการท่านหนึ่งในกรรมการ กฟผ.เป็นพี่ชายของผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท
ซีมา ที่ขาย BOILER ให้แก่ กฟผ.ทั่วประเทศ"
ข้อความอภิปรายตรงนี้ของเฉลิมทำให้กรรมการ กฟผ.ทุกคนถึงกับแปลกใจไปตาม
ๆ กัน
"มีการสอบถามกันในหมู่กรรมการกันจ้าละหวั่นว่าเป็นใครกัน ก็หากันจนวุ่น
ก็หาไม่พบ เข้าใจได้ว่าเป็นแท็คติกปล่อยข่าวของเฉลิมเท่านั้นเอง" สนอง
ตู้จินดา กรรมการ (ผู้ถูกปลดออก) คนหนึ่งเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังด้วยน้ำเสียงหัวเราะ
ประเด็นสาเหตุการปลดเกษมและกรรมการอีก 4 ท่าน ของเฉลิม และพลเอกชาติชาย
ในมิติด้านการหาผลประโยชน์ของกรรมการบางท่าน จึงไม่มีหลักฐานเฉพาะชัดเจน
หรือแม้แต่การที่เกษมและกรรมการ กฟผ.คัดค้านอย่างรุนแรงต่อเนื่องในมาตรการ
PRIVATIZATION การผลิตไฟฟ้า แม้จะเป็นสิ่งที่ผ่านการยอมรับเป็นมติในหลักการจากคณะรัฐมนตรีชุดพลเอกชาติชายนี้ไปแล้วก็ตาม
แต่การคัดค้าน PRIVATIZATION ของเกษมก็ไม่น่าเป็นเหตุการถูกปลด เพราะ "PRIVATIZATION
IS A SMOKE-SCREEN" PAUL HANDLEY เขียนวิเคราะห์ไว้ใน THE REVIEWS,
13 JNLY 1989 โดยอ้างแหล่งข่าวข้าราชการอาวุโสระดับสูง และตอกย้ำประเด็นสาเหตุการปลดเกษมและกรรมการอีก
4 ท่านว่าเป็นกระบวนการตัดสินใจของรัฐบาล (พลเอกชาติชาย และเฉลิม) ที่มีเหตุจูงใจจาก
"…IT IS NOTHING MORE THAN A PARCELLING OF INTERESTS"
ผลประโยชน์อะไรหรือที่ชวนให้สงสัยกันว่ารัฐบาลชาติชาย โดยเฉพาะเฉลิมต้องการใน
กฟผ.
หัวใจสำคัญของธุรกิจใน กฟผ. คือการลงทุนขยายโรงไฟฟ้า ซึ่งต้องมีการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ในการผลิตไฟฟ้า
ใน ก.ม.การไฟฟ้า ปี 2511 มาตรา 11 หมวด 3 ว่าอำนาจอนุญาตการสั่งซื้อระบุว่า
"พัสดุที่มีราคาไม่เกิน 8 ล้านบาท ผู้ว่าการเป็นผู้อนุญาตได้เลย ส่วนที่เกิน
8 ล้านบาท ต้องให้คณะกรรมการเป็นผู้อนุญาต"
กรรมการท่านหนึ่งกล่าวกับ "ผู้จัดการ" เป็นเชิงตั้งข้อสังเกตว่า
เฉลิมเคยสอบถามความเห็นกรรมการท่านหนึ่งถึงตัวเผ่าพัชร ผู้ว่าการในเรื่องมนุษย์สัมพันธ์ที่เฉลิมเห็นว่าไม่ดี
เป็นจุดบอดของเผ่าพัชร แต่กรรมการท่านนั้นปฏิเสธไม่เห็นด้วยกับเฉลิม
ตำแหน่งผู้ว่าการของเผ่าพัชร มีความสำคัญแค่ไหนใน กฟผ.เป็นที่เข้าใจรู้ได้
ไม่เพียงแต่มีอำนาจอนุมัติจัดซื้อพัสดุในวงเงินไม่เกิน 8 ล้านบาท แล้วยังมีอำนาจลงนามในการแต่งตั้งคณะกรรมการจัดซื้อพัสดุด้วย
เฉลิมเคยสั่งปลดมนตรี เจนวิทย์การ ออกจาก ผ.อ.อ.ส.ม.ท. มาแล้ว และเอาราชันต์
ฮูเซ็น เข้ามาแทน
เป็นไปได้ว่า เฉลมิก็คงคิดเหมือนกับที่เขาทำกับมนตรีที่ อ.ส.ม.ท.เหมือนกัน
แต่เผอิญกรรมการ กฟผ.ไม่ใช่กรรมการ อ.ส.ม. ชะตากรรมของเผ่าพัชร จึงไม่เหมือนมนตรี
เป็นเวลาเกือบ 1 ปี ที่เฉลิมควบคุม กำกับ ดูแล กฟผ. เขาพยายามอภิปรายในสภาฯ
เมื่อ 19 ก.ค. ที่ผ่านมาว่า ผู้บริหาร กฟผ.ส่อเจตนาสงสัยไม่น่าไว้ใจในการเปิดประตูราคาเรื่องการเปิดหน้าดินเหมืองลิกไนต์ที่แม่เมาะ
ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นผู้ท้วงติงตลอดให้ กฟผ.เป็นผู้ดำเนินการเอง
ความตรงนี้ของเฉลิมเป็นข้อเท็จจริงที่เขาพยายามให้ กฟผ.เป็นผู้ลงทุนดำเนินการเปิดหน้าดินเหมืองลิกไนต์มูลค่า
9,000 ล้านบาท แต่จุดสำคัญคือถ้า กฟผ.ลงทุนเอง ต้องลงทุนเพราะค่าอุปกรณ์และเครื่องจักรเปิดหน้าดินอีกไม่น้อยกว่า
3,000 ล้านบาท เผ่าพัชรได้รับโทรศัพท์จากเฉลิมยืนยันเรื่องการจัดหาอุปกรณ์จะเป็นผู้ดำเนินการให้
ซึ่งกรรมการในกรรมการท่านหนึ่งได้กล่าวให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า
เผ่าพัชรได้นำความเรื่องนี้มาบอกให้ที่ประชุมกรรมการทราบเช่นกัน
การหาผลประโยชน์โดยอาศัยสื่อช่องทางในการกำกับดูแลที่ฟังดูตามหลักการน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
และรักษาผลประโยชน์ให้กรรมการอย่างเต็มที่ อีกทั้งเป็นการปิดชอ่งทางทุจริตของเจ้าหน้าที่
เป็นแท็คติกชั้นสูงในการเดินเกมทางการเมืองเหนือขุมประโยชน์อันมหาศาลของ
กฟผ.
ถ้าหากกรรมการ กฟผ.ชุดเกษม ยังอยู่ต่อไปยุทธศาสตร์การเข้ามาใน กฟผ.ของการเมืองย่อมยากลำบาก
เพราะ หนึ่ง-กรรมการชุดนี้แต่ละคน เก่าคร่ำครึกับ กฟผ.มานาน จนรู้ใจและสามัคคีกันแน่นแฟ้นมากเปรียบดังผนังทองแดง
กำแพงเหล็ก สอง-กรรมการชุดนี้ กรรมการแต่ละท่าน ส่วนใหญ่เป็นกำลังที่วางหลักปักฐานให้
กฟผ.มาตั้งแต่แรกเริ่ม ซึ่งมักจะมีความคิดฝัน "หลงใหลกับความสำเร็จในหนทางที่เดินมาในอดีต"
อย่างแน่นหนา จนยากต่อการปรับให้ยอมรับความคิดใหม่ ๆ ที่มีผลต่อการแยกสลายโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ
และจารีตของ กฟผ.การคัดค้านนโยบาย PRIVATIZATION เป็นตัวอย่างที่แจ่มชัดสุด
และ สาม-กรรมการชุดนี้มีองคมนตรี 2 ท่าน คือ ดร.เชาวน์ ณ ศีลวันต์ กับ น.ต.กำธน
สันธวานนท์ นั่งเป็นกรรมการอยู่ด้วย การกระทำอะไรลงไปโดยมีเป้าหมายเฉพาะย่อมอาจส่งผลกระทบต่อฐานะขององคมนตรีทั้ง
2 ท่านนี้ได้
ความยากลำบากด้วยเงื่อนไขดังว่านี้ เป็นสภาพการณ์ที่ฝ่านการเมืองใช้กลยุทธ์ตีเฉพาะเกษม
ผู้ซึ่งครบเกษียณอายุตาม ก.ม. กฟผ. 65 ปีใน ต.ค. ปี 2533 และครบเทอม 3 ปี
การเป็นกรรมการใน 3 เดือนข้างหน้านี้
ทำไมเฉลิมและรัฐบาลชาติชายจึงพุ่งเป้าตีและแยกสลายเกษมจากกรรมการ เหตุผลเพราะทราบดีว่าเกษมเป็นผู้มีบารมีสูงสุดใน
กฟผ.และเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดอย่างไม่เป็นทางการในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาการไฟฟ้า
"เขาสำคัญขนาดเกษียณอายุจากผู้ว่าการฯแล้ว กรรมการยังตั้งคณะกรรมการพัฒนาไฟฟ้าฯขึ้นมาให้เขาเป็นประธาน
คล้าย ๆ กับยังไม่อยากให้เกษมหลุดจาก กฟผ.ไปเลย" แหล่งข่าวในวงการพลังงานเล่าให้ฟัง
กรรมการชุดใหม่ที่ชาติชายแต่งตั้ง ไม่มีเกษมสนอง ตู้จินดา อำนวย ประนิช
ทองโรจน์ พจนารถและจำรูญ วัชราภัย ซึ่งท่านเหล่านี้ล้วนแต่เป็นกรรมการพัฒนาไฟฟ้าด้วย
(ยกเว้นสนอง) มองจากแง่นี้เป็นความสำเร็จ่ของรัฐบาลชาติชาย ที่เป้าหมายบรรลุผลสำเร็จแล้ว
นั่นคือจำกัดเกษมและอิทธิพลของเขาจาก กฟผ.
การเมืองเหนือ กฟผ.ในอนาคต จะออกมาในรูปแบบใด หลังพ้นยุคเกษม เป็นประเด็นสำคัญอีกจุดหนึ่งที่บ่งบอกถึงแนวโน้มพฤติกรรมในองค์กร
กฟผ.
มีอยู่ 4 เรื่องใหญ่ที่คนใน กฟผ.ต้องเผชิญหน้ากับภาวะแวดล้อมที่ต้องแปรเปลี่ยนไปอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
นั่นคือ….
หนึ่ง - พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นผู้รักษาการกำกับควบคุมดูแล กฟผ.ด้วยตนเองแทนเฉลิม
อยู่บำรุง กฟผ.หน่วยงานที่มีกำลังแรงงานร่วม 30,000 คน ผลิตไฟฟ้าได้เกือบ
7,000 เมกะวัตต์ มีวิศวกรเกือบ 10% ในองค์กรเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ ด้วยลักษณะงานธุรกิจที่ขยายตัวออกไปเรื่อย
ๆ โดยไร้คู่แข่งขัน จึงดูเป็นองค์กรที่ไม่มีลักษณะพลวัต ขณะที่ระบบบริหารยังคงติดยึดอยู่กับระเบียบแบบแผนราชการในฐานะรัฐวิสาหกิจ
ไม่ว่าจะเป็นจัดซื้อจัดจ้างตำแหน่งขั้นเงินเดือน การบริหารทุนภายใต้การกำกับดูแลจากกระทรวงคลัง
สิ่งเหล่านี้คือเงื่อนไขที่ทำให้พฤติกรรมองค์กร กฟผ. โดยเนื้อแท้ หยุดนิ่ง
และเริ่มประสบปัญหามันสมองที่เป็นวิศวกรไหลออกสู่อุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่ในภาคเอกชน
เช่น อุตสาหกรรมเปโตรเคมี
ขณะเดียวกันในระดับสูงคือ กฟผ.ทุกคนมาจากข้าราชการทั้งสิ้น กระบวนการตัดสินใจจึงอยู่ในอาณาจักรของคิดแบบข้าราชการที่ไม่ยืดหยุ่นทันต่อโลก
ขณะที่คนกำกับดู่แลคือนายฯชาติชายวิธีคือและการบริหารการตัดสินใจเขาสังกัดอยู่กับเอกชนเต็มตัว
สิ่งนี้เป็นปมเงื่อนไขที่ขัดแย้งกันอยู่ พฤติกรรมองค์กรใน กฟผ.ย่อมหลีกเลี่ยงการปะทะกับอำนาจการเมืองภายนอกไปไม่พ้น
สอง-พลเอกชาติชาย มีนโยบายแจ่มชัดในการ PRIVAIXATION กฟผ.และเขาเชื่อมมั่นในพลังของทุนเอกชนว่าจะสามารถลงทุนและพัฒนาการผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่เครื่องกีดขวางในโครงการ PRIVATIZATION เช่น CO-GENERATION SCHEME ที่ผู้บริหารใน
กฟผ.รวมถึงกรรมการ กฟผ.พยายามเตะถ่วงหรือตั้งแง่อย่างเต็มที่จะยืดเวลาออกไปได้ไม่เกินปี
2534 เพราะกรรมการชุดเกษม เช่น ดร.เชาวน์, กำธน, ครบเทอมเป็นกรรมการพอดี
ซึ่งถ้าหากชาติชายหรือรัฐบาลจากผู้บริหารระดับผู้อำนวยการฝ่ายใน กฟผ.ไม่ว่าจะเป็นวิโรจน์
นพคุณ ผ.อ.ฝ่ายนโยบายพลังงาน หรือแม้แต่ เผ่าพัชร ชวนะลิขิกร ผู้ว่าการ ก็จะหมดพลังไปเอง
และนั่นก็คือ โครงการดึงเอกชนเข้ามาร่วมผลิตไฟฟ้ากับ กฟผ.ตามรูปแบบ 6 แบบ
ก็จะเดินหน้าไปได้อย่างเต็มที่สะดวก
สาม - การดึง กฟผ.เข้ากระจายหุ้นสู่ตลาดหลักทรัพย์บางส่วน (25%) ย่อมเป็นไปตามทิศทางการลงทุนและสถานะการลงทุนของ
กฟผ.ที่แปรเปลี่ยนไป
การกระจายหุ้น กฟผ.สู่ตลาดหลักทรัพย์มีผลให้ฐานะ กฟผ.เป็นบริษัทจำกัด ไม่ใช่องค์กรรัฐวิสาหกิจอีกต่อไป
ระเบียบบริหารงานบุคคล การจัดซื้อย่อมเป็นแบบธุรกิจไม่ใช่ราชาการอย่างทุกวันนี้
อาการมันสมองไหลออกจาก กฟผ.จะหยุดไปเนื่องจาก กฟผ.เป็นธุรกิจที่ดำเนินงานแบบเอกชนจึงไม่มีความจำเป็นต้องออกไปอยู่เอกชนด้วยกัน
นอกจากนี้การระดมทุนเพื่อทำโครงการลงทุนใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นออกหุ้นเพิ่มทุน
หรือกู้จากตลาดการเงิน ก็สามารถปลดเปลื้องภาระการค้ำประกันจากรัฐโดยปริยาย
และ สุดท้าย - กฟผ.ได้มาถึงจุด TURNING POINT ที่จะทดสอบดูว่าประสิทธิภาพในกรอบของการแข่งขันจากภาคเอกชนเป็นตัวเทียบเคียง
ที่กฟผ.ไม่เคยประสบมาก่อนในการวัดแบบนี้ จะเป็นจริงหรือไม่เพราะเท่าที่ผ่านมาตลอดหลายสิบปี
กฟผ.ผูกขาดผลิตและจำหน่ายไฟฟ้ามาตลอด กำไรจากธุรกิจแบบนี้จึงไม่ใช่ตัววัดประสิทธิภาพที่แท้จริง
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ กฟผ.ได้มาถึงยุคการพิสูจน์ประสิทธิภาพของตัวเองจริง
ๆ แล้ว
4 เรื่องใหญ่ที่คนใน กฟผ.ตั้งแต่กรรมการลงมาถึงระดับล่างจะต้องประสบนับจากเวลา
นี้ไป น่าจะดำเนินไปภายใต้บรรยากาศการแทรกแซงจากกลุ่มการเมืองภายนอกมากขึ้น
เกษม จาติกวณิช ได้จบประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของตัวเองไปแล้วใน กฟผ.หลังจากเป็นผู้บุกเบิกวางรากฐานให้กฟผ.มาอย่างมั่นคง
เป็นเวลา 30 ปี
แน่นอน…ลึกลงไปแล้วเขาย่อมอาลัยในการจากมาองค์กรนี้อย่างไม่มีเหตุผลชอบธรรมเท่าไรนัก
แม้จะรู้ว่าการเมืองได้เข้าเล่นงานเขาอีกเป็นครั้งที่ 3 นับจากกรณีแบงก์สยามและปุ๋ยแห่งชาติ