Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2532








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2532
ธีระชัย เชมนะสิริ เขากำลังเดินสู่ขั้นตอนสุดท้ายของชีวิต             
 


   
search resources

ธีระชัย เชมนะสิริ
Construction
โครงการรัชดาพลาซ่า




"ผมคิดฝันมาตั้งแต่เด็ก ๆ ว่าวันหนึ่งผมควรจะมีกิจการเป็นของตัวเองบ้าง" ธีระชัย เชมนะสิริ กล่าวเปิดใจกับ "ผู้จัดการ" ที่สำนักงานโครงการก่อสร้างรัชดาพลาซ่าเมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นโครงการที่กำลังรอการพิสูจน์ว่า "มือปืนรับจ้าง" อย่างเขาจะไปรอดหรือไม่ เมื่อต้องมานั่งเป็น "เถ้าแก่" ระดับพันล้านเสียเอง

ธีระชัย เชมนะสิริ ผู้มากมายด้วยอดีตวันนี้เขาอายุ 43 ปีพอดี ผ่านชีวิตและประสบการณ์มามากมายหลายด้านหลายมุมในฐานะลูกจ้างหรือนักบริหารมืออาชีพ แต่ใบหน้าเขายังดูหนุ่มแน่น แววตายังเต็มไปด้วยความคิดความฝันท่วงทำนองของการพูดจาล้นเปี่ยมด้วยความตั้งใจจริง

ธีระชัยเป็นคนเชียงใหม่จบการศึกษาชั้นต้นจากโรงเรียนมงฟอร์ตเชียงใหม่ และ WILLIAM S. HART UNION HIGH SCHOOL, CALIFORNIA ก่อนที่จะมาจบรัฐศาสตร์การึคลังจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ว่ากันว่าเขาเป็นนักกิจกรรมตัวยงคนหนึ่งในยุคที่เรียนในรั้วจามจุรี

เขาจบปริญญาโทบริหารธุรกิจจากสถาบัน ASIAN INSTITUTE OF MANAGEMENT (AIM) ซึ่งที่นี่นี่เองที่ธีระชัยบอกว่าทำให้เขามีเพื่อนชาวต่างประเทศมากมายและปัจจุบันก็ยังติดต่อไปมาหาสู่กันเป็นประจำ ที่สำคัญเพื่อนที่จบจาก AIM. ล้วนแต่เป็นมันสมองสำคัญขององค์กรทางธุรกิจขนาดเบิ้ม ๆ ในย่านเอเชียทั้งสิ้น

นอกจากนี้ธีระชัยยังจบหลักสูตร MANAGEMENT DEVELOPMENT จาก JL. KEL LOGG'S GRADUATE SCHOOL OF MANAGEMENT แห่ง NORTH WESTERN UNIVETSITY USA.

ถ้ากว่า 30 ปีที่เขาทุ่มเทกับการศึกษาเล่าเรียนและแสวงหาประสบการณ์จากการทำงานเป็นลูกจ้างคนอื่น ซึ่งหลากหลายรูปแบบความรับผิดชอบนั้นทำให้เขา "ร่ำรวยประสบการณ์" อยู่ในระดับเศรษฐีขึ้นมาได้ก็ไม่แตกต่างอะไรกับ ถาวรพระประภา ใช้เวลากับการเก็บเศษเหล็กขายสร้างเนื้อสร้างตัวจนกลายเป็นคนขายรถที่ร่ำรวยมหาศาล หรืออย่าง ดิลก มหาดำรงค์กุล สร้างเนื้อสร้างตัวจากการเก็บตะปูขาย ซ่อมนาฬิกาแล้วก็กลายเป็นนายห้างนาฬิกาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย

ต่างก็เป็นการสะสมทุนสู่ความเป็นเศรษฐี เพียงแต่ทุนของธีระชัยนั้นคือความรู้และประสบการณ์ แทนที่จะเป็นเงินทองกองแก้วอย่างเช่นถาวรหรือดิลกเท่านั้นเอง

ธีระชัยเคยทำงานกับบริษัทเชลล์แห่งประเทศไทยในตำแหน่งผู้จัดการฝึกอบรมวางแผน และพัฒนาบุคลากรเขาเคยทำงานกับบริษัอิตัลไทยของ หมอชัยยุทธ กรรณสูต ในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายบุคคลก่อนที่จะมาอยู่กับบริษัทปูนซิเมนต์ไทย เป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลในส่วนงานการตลาดเป็นผู้บริหารอาวุโสของฝ่ายประชาสัมพันธ์ และเป็นผู้จัดการ

เขาเคยเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของบริษัทเดินอากาศไทย ซึ่งปัจจุบันยุบไปรวมกับบริษัทการบินไทยแล้ว และล่าสุดก่อนที่จะออกมาทำธุรกิจของตัวเองเขาเป็นกรรมการบริหารของบริษัทโอสถสภา (เต็กเฮงหยู) อยู่ประมาณปีเศษ

นักบริหารมืออาชีพที่ย้ายงานบ่อย ๆ เรื่อย ๆ เช่นนี้ไพบูลย์ สำราญภูติ เคยใหฉายาว่า "มือปืนรับจ้าง" โดยเฉพาะนักการตลาดอย่างเขา

กระทั่งงานทางด้านการเมือง ธีระชัย เชมนะสิริ ก็เคยให้ความสนใจถึงขนาดลาออกจากปูนซิเมนต์ไทยลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในทีมของมงคล สิมะโรจน์ แต่ก็พลาดท่าเสียทีให้กับกลุ่มรวมพลับของพลตรี จำลอง ศรีเมือง จนได้

"คนกรุงเทพฯที่ไปใช้สิทธิยังไม่เข้าใจว่าการเลือกผู้ว่าฯ ก็เหมือนเลือกผู้จัดการเมือง ที่จะเข้าไปวางนโยบายและทำการบริหารให้ได้เป้าหมายไม่ใช่เลือกพนักงานทำความสะอาดอย่างที่เขากำลังทำกัน ก็ต้องรอจนกว่าคนกรุงเทพฯจะเข้าใจแนวคิดนี้เสียก่อน ผมอาจจะลงเล่นอีก" ธีระชัยสรุปความพ่ายแพ้ให้กับ "ผู้จัดการ" ฟังก่อนที่จะเปรยถึงอนาคตทางการเมืองของเขา

ธีระชัยพูดถึงการสะสมทุนของเขาว่านอกจากการศึกษาเล่าเรียนและประสบการณ์จากการทำงานแล้วสิ่งหนึ่งที่เขาสะสมได้มากมายก็คือเพื่อน

นอกจากเพื่อนจากสถาบันการศึกษาแล้ว ยังเป็นเพื่อนจากที่ทำงานที่เขาเคยผ่านมา โดยเฉพาะนายเก่าของเขาในแต่ละที่ยังคงให้ความรักความเอ็นดูเขาเสมอจนทุกวันนี้ และเพื่อนจากการที่เขาทุ่มเททำกิจกรรมทางสังคมอย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมของสมาคมด้านการตลาด การบริหารงานบุคคล กิจกรรมด้านการศึกษาของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และกิจกรรมที่เขาเข้าไปมีส่วนช่วยเหลือหน่วยงานราชการต่าง ๆ

"ที่ปูนซิเมนต์ไทยให้อะไรผมมากมายเหลือเกิน ให้ทั้งประสบการณ์ทำงาน ให้ทั้งวัฒนธรรมที่ดีซึ่งส่งผลถึงบุคลิกภาพให้เป็นที่รักใคร่ศรัทธาของคนในวงการธุรกิจตลอดทั้งการได้รู้จักบุคคลต่าง ๆ ในวงการผมก็ได้จากที่นี่มาก" ธีระชัยพูดถึงกำไรที่เขาได้จากการอยู่ปูนซิเมนต์ไทย

ธีระชัยกระโดดออกมาจากโอสถสภาฯเพื่อเริ่มต้นงานที่เขารักด้วยตัวเองโดยการตั้งควอลิตี้กรุ๊ป ทำรายการโทรทัศน์เริ่มต้นด้วยรายการเยาวชนคนเก่ง ซึ่งเป็นรายการตอบปัญหาของเด็กนักเรียนทางช่อง 9 อ.ส.ม.ท. เป็นรายการที่สร้างคุณภาพชีวิตให้กับเยาวชนไทยไม่น้อย จนได้รับรางวัลเมขลา ประเภทแข่งขันตอบปัญหาดีเด่น 2 ปีซ้อน (2530-2531)

ปัจจุบันควอลิตี้กรุ๊ปมีบริษัทในเครือกว่า 15 แห่ง ซึ่งนอกจากจะทำกิจการทางด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่เขาถนัดยังร่วมลงทุนทำเหมืองแร่การค้าระหว่างประเทศ

ล่าสุดเขาจับมือกับยิวซูกรุ๊ป (YUE XIU ENTERPRISES) แห่งฮ่องกง สร้างมหานครแห่งใหม่ขึ้นริมถนนรัชดาภิเษกบนพื้นที่กว้างขวางถึง 40 กว่าไร่และด้วยเงินทุนดำเนินการไม่น้อยกว่า 3,500 ล้านบาท

ยิวซูกรุ๊ปเป็นหน่วยงานทางการค้าของเทศบาลเมืองกวางโจวแห่งจีนแผ่นดินใหญ่แต่มีสำนักงานดำเนินการอยู่ในฮ่องกง ทำธุรกิจหลักคือนำเข้า-ส่งออกสินค้าและลงทุนในจีนโดยเฉพาะเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานตามเขตชานเมืองกวางโจว และทำกิจการโรงแรมในจีนหลายแห่ง

จากรายงานผลการดำเนินงานล่าสุด (2531) ของยิวซูกรุ๊ปมีการลงทุนขนาดใหญ่ในจีนไปแล้วกว่า 59 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุนถึง 1.7 พันล้านบาทเหรียญฮ่องกงหรือประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งมีตั้งแต่โรงงานผลิตสารเคมี ของเด็กเล่นอุปกรณ์ถ่ายรูป แบตเตอรี่ อาหาร สิ่งทอ เหมืองแร่ เครื่องใช้ไฟฟ้า

นอกจากนี้ยังเข้าไปดูลู่ทางการลงทุนในออสเตรเลีย สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา โดยมีสำนักงานตัวแทนตั้งอยู่ประเทศเหล่านั้นแล้วเรียบร้อย

ที่เมืองไทยก็มีควอลิตี้กรุ๊ปเป็นตัวแทน โดยโปรเจกต์แรกที่ได้เริ่มขึ้นแล้วคือโครงการ "บางกอกรัชดาซันพลาซ่า" ซึ่งธีระชัยบอกว่ามันยาวเกินไปกำลังจะเปลี่ยนเป็น "รัชดาพลาซ่า" เฉย ๆ เรียกง่ายกว่า

"รัชดาพลาซ่านับเป็นมหานครแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ที่ตั้งอยู่ริมถนนรัชดาฯ ประกอบด้วยตึกสูงไม่น้อยกว่า 30 ชั้น 2 ตึก ซึ่งทั้งสองตึกนี้จะทำเป็นธรงแรมมุ่งกลุ่มเป้าหมายสองกลุ่มแยกออกจากกันคือ กลุ่มท่องเที่ยวกับกลุ่มนักธุรกิจ ที่เหลือจะเป็นอาคารสำนักงานและชอปปิ้งเซ็นเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในย่านนี้ เพราะตั้งอยู่ในเนื้อที่มากถึง 40 กว่าไร่ นับว่าเป็นที่ดินแปลงเดียวที่ใหญ่ที่สุดในย่านนี้" ธีระชัยเล่าให้ฟังถึงโครงการของเขา

สัดส่วนการลงทุนนั้นยิวซูถือหุ้น 40% ที่เหลือเป็นของคนไทย 60% ซึ่งประกอบด้วยนายธนาคารและกลุ่มธุรกิจโรงแรมชั้นหนึ่งในกรุงเทพฯ และครอบครัวของเขา

"ผมได้รับเงื่อนไขร่วมลงทุนที่ดีมาก คือนอกจากทางยิวซูจะร่วมลงทุนด้วย 40% แล้วเขาจะต้องหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำและมีระยะเวลาการปลอดหนี้ 5 ปีเป็นอย่างน้อยและยิวซูจะต้องช่วยค้ำประกันให้ด้วย สอง - เขาจะต้องมอบความไว้วางใจให้คนไทยบริหารทั้งหมด ที่สำคัญตัวกรรมการผู้จัดการจะต้องเป็นผมเท่านั้น" ธีระชัยเผยถึงจังหวะที่เปิดให้เขาได้ก้าวขึ้นเป็นเถ้าแก่เองให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

ช่องทางที่สวยงามเช่นนี้เขาได้รับการแนะนำจากเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกับเขาที่เรียนสถาบัน AIM. มาด้วยกัน ซึ่งปัจจุบันเป็นมันสมองสำคัญของกลุ่มยิวซูในฮ่องกง

ทุกอีกส่วนหนึ่งที่เขาเพิ่งได้ใช้มันจริง ๆ จัง ๆ นั้นคือความเป็นเพื่อนรุ่นน้องของ ธารินทร์ นิมมานเหมินท์กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ สมัยเรียนที่มงฟอร์ตเชียงใหม่มาด้วยกัน

นั่นคือโครงการนี้ธนาคารไทยพาณิชย์ยินดีให้การสนับสนุนทุกอย่าง โดยมียิวซูกรุ๊ปเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ทุกบาทเช่นกัน

"กลุ่มคนไทยอีก 4-5 กลุ่มที่จะเข้ามาร่วมกับเรานั้นก็เป็นเพื่อน ๆ ที่รักใคร่ชอบพอกันมา โดยเฉพาะผู้ใหญ่หลายท่านที่ผมให้ความเคารพนับถือท่านให้การสนับสนุนด้วยดี" อีกขั้นตอนหนึ่งของการก้าวขึ้นเป็นเถ้าแก่จากการเปิดอกของเขา

ส่วนทุนของครอบครัวของเขาที่เป็นตัวเงินจริง ๆ นั้นธีระชัยพูดอย่างเปิดเผยว่าของเขามีไม่มาก ซึ่งได้มาจากการขายที่มรดกที่เชียงใหม่ที่ก่อหน้านี้เพียงสวนลำใย แต่เดี๋ยวนี้มันมีราคาพอ ๆ กับทองคำทีเดียว เขาแบ่งขายที่ดินที่ได้รับมาหลายแปลงเพื่อเอามาลงทุนในโครงการนี้

"ผมยอมรับว่าโครงการมันใหญ่มาก ต้องทำด้วยความระมัดระวัง มันเป็นกฎเกณฑ์การลงทุนอย่างหนึ่งที่ความเสี่ยงมากกำไรก็มาก เสี่ยงน้อยกำไรก็น้อยด้วย แต่ผมไม่ใช่คนชอบเสี่ยง ถ้าอันไหนที่สามารถลดความเสี่ยงได้ผมก็จะลดผมกล้าพูดว่าผมไม่ใช่ประเภทซื้อมาขายไป ผมเป็นนักบริหารหรือนักลงทุนถ้าโครงการนี้มันประสบความสำเร็จ มันก็เป็นสิ่งพิสูจน์อะไรหลายอย่างในตัวผม โดยเฉพาะจะพิสูจน์ว่าอาชีพลูกจ้างอย่างเราจะเป็นเถ้าแก่ได้หรือไม่" ธีระชัยกล่าวด้วยความระแวดระวัง

ไม่ว่า "เถ้าแก่" จะพัฒนาตัวเองให้เป็นนักบริหาร "มืออาชีพ" หรือมืออาชีพต้องการพลิกผันตัวเองขึ้นมาเป็น "เถ้าแก่" ต่างก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ กันทั้งนั้น

ถ้า ดิลก มหาดำรงค์กุล ต้องการพัฒนาตัวเงอจากนายห้างขายนาฬิกาที่ร่ำรวยจากการสะสมทุนทีละเล็กทีละน้อยกว่า 40 ปี มาเป็นนักบริหารมืออาชีพ นั่งเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารนครหลวงไทย จนถึงวันหนึ่งเขาถึงรู้ตัวว่าเขาไปไม่ไหว ก็น่าจะเป็นอุทาหรณ์ที่ดีสำหรับคนเป็นเถ้าแก่แล้วอยากเป็นนักบริหารมืออาชีพ

เช่นเดียวกันถ้าคนหนุ่มนักบริหารมืออาชีพอย่าง ธีระชัย เชมนะสิริ ที่สั่งสมประสบการณ์จากการเรียนหนังสือและทำงานเป็นลูกจ้างคนอื่นมากวา 30 ปีแล้วอยากเป็นเถ้าแก่บ้าง ก็น่าเป็นย่างก้าวที่น่าจับตามองของคนในวงการธุรกิจทีเดียว

ไม่เฉพาะธีระชัยเท่านั้นยังรวมถึง ไกรฤทธิ์ บุญยเกียรติที่กระโดดออกมาทำเฟอร์นิเจอร์ส่งออกนอกเอง หรืออย่างมานิต รัตนสุวรรณ ที่ออกมาทำบริษัทจัดจำหน่ายเทปเสียเอง ก็หนีไม่พ้นข้อสังเกตเดียวกันว่า

จะไปรอดเหรอ?

ซึ่งของอย่างนี้จะต้องพิสูจน์กันด้วยกาลเวลา

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us