นักเลงโบราณ - โกศล ไกรฤกษ์ ผันตัวเอง จากที่ประสบความสำเร็จในทางการเมืองได้เป็นรัฐมนตรีมา
7 ปี กระทรวง ก้าวเข้าสู้แวดวงธุรกิจค้าหลักทรัพย์และการลงทุนอย่างเต็มตัวด้วยการเสนอซื้อบงล.
ตะวันออกฟายแน้นซ์ ซึ่งเป็น 1 ใน 13 ทรัสต์ของโครงการ "เรือช่วยชีวิต"
หรือทรัสต์ 4 เมษาฯ ภายหลังที่ผ่านการเจรจาเคร่งเครียดมายาวนาน หนี้เสียที่มาปัญหา
283 ล้านบาทตามข้อตกลงกับทางการเขาต้องแบกรับ เพื่อแลกกับสิทธิพิเศษหลายอย่างในการทำธุรกิจ
นักเลงโบราณอย่างเขากำลังเดินหน้ากู้เรือลำนี้อย่างจริงจัง
ตะวันออกฟายแน้นซ์ เป็นบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่เข้าร่วมโครงการทรัสต์
4 เมษาฯ หรือในอีกชื่อหนึ่งที่ดร.ศุภชัย พาณิชภักดิ์ เรียกว่าโครงการเรือช่วยชีวิต
(LIFE BOAT ) เมื่อต้นปี 2528 ด้วยมูลเหตุเดียวกันกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์อื่นๆ
ที่เข้าร่วมโครงการ
ทั้งนี้จาการศึกษาของดร. ประศาสน์ ตั้งมติธรรมพบว่าหน้าที่จะเข้าร่วมโครงการ
ฯ นั้น ตะวันออกฟายแน้นซ์ ดำเนินธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์อย่างคึกคัก ทั้งส่วนที่เป็นพอร์ของบริษัทและของลูกค้า
ครั้งเกิดวิกฤษติการณ์ราชาเงินทุนในปี 2522 สัดส่วนหลักทรัพย์ที่เป็นของบริษัทและในบัญชีหลักทรัพย์ของลูกค้ากับลดลงอย่างฮวบฮาบ
ขณะที่สัดส่วนหนี้ส่งเสียจะสูญ และสินทรัพย์อื่นเพิ่มสูงขึ้นมาก
3 ปีก่อนเข้าโครงการ 4 เมษาฯ สัดสาวนของสินทรัพย์สภาพคล่องได้ลดลงมาก ในขณะที่สัดส่วนของเงินให้กู้ยืมเพิ่มสูงขึ้นโดยสัดส่วนของเงินให้กู้ยืมเพิ่มจาก
68 % ในปี 2525 เป็น 85 - 90 % และสัดส่วนของหนี้สินอื่น ๆ ก็สูงขึ้นอย่างพรวดพราดจาก
1% เป็น 13%
ปี 2529 ตะวันออกฟายแน้นซ์ขาดทุนสุทธิ 59.88 ล้านบาทและในปีถัดมาเพิ่มขึ้นเป็น
106.53 ล้านบาทเพราะเกิดขาดทุนจากการซื้อขายหลักทรัพย์ถึง 23.18 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ตัวเลขการขาดทุนสะสมนี้ถูกปรับให้ดีขึ้นจากการทำรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยได้มากถึง
58.59 ล้านบาทในปี 2531 ทำให้ตัวเลขขาดทุนสะสมลดลงเหลือ 69.49 ล้านบาท
ตัวเลขขาดทุนเหล่านี้ถือเป็นปัญหาเล็กน้อยที่แก้ไขได้ไม่ยากนักที่ได้รับเงินช่วยเหลือ
SOFT LOAN จากธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ตะวันออกฟายแน้นซ์ก็เช่นเดียวกับบริษัทหลักทรัพย์ที่ร่วมอยู่
ในโครงการครัสต์ 4 เมษาฯ อื่น ๆ คือมีปัญหาหนี้สินพะรุงพะรังติดพันมากมายโดยเมื่อเข้าโครงการฯ
ในปี 2528 มีหนี้สินประมาณ 1,000 กว่าล้านบาท ครั้งสิ้นปี 2531 เพิ่มเป็น
2,464.58 ล้านบาท
ว่ากันว่าหนี้สินเป็นพันกว่าล้านบาทเกิดจากการปล่อยกู้ของบริษัทในเครือขงผู้บริหารเก่า
อย่างไรก็ตามเมื่อรวมอยู่ในโครงการครัสต์ 4 เมษาฯ แล้ว คณะกรรมการแผนงานแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินในโครงการฯ
โดยแต่งตั้งโดยกรีะทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีมาตราการแก้ไขเป็นขั้น
ๆ ดังนี้
มาตราการลดทุนและเพิ่มทุน เดิมตะวันออกฟายแน้นซ์มีทุนจดทะเบียน 90 ล้านบาท
ให้ลดทุนลงเหลือ 4.5 ล้านบาทเพื่อนำส่วนที่ลดทุนไปหักผลขขาดทุนสะสมการลดทุนครั้งเท่ากับลดมูลค่าหุ้นจากเดิม
หุ้นละ 100 บาท เหลือ 5 บาท หลรักจากนั้นคณะกรรมการก็มีมติให้เพิ่มทุน โดยการออกหุ้นสามัญใหม่มูลค่ารวม
195.5 ล้านบาท ทำให้ทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านบาท จนถึงปัจจุบัน
ต่อมาคณะกรรมการเร่งรัดการดำเนินมาตราการ 4 เมษายน 2527 ให้พิจารณาตะวันออกฟายแน้นซ์ให้กู้ยืมเงินอัตราเบี้ยต่ำจากธนาคารแห่งประเทศไทยในงเงิน
380 ล้านบาท นอกจากนี้ก็ให้ดำเนินการเร่งรัดหนี้ด้วยคุณภาพและจำหน่ายทรัพย์สินรอการขายออกไป
มาตราการแก้ปัญหาเหล่านรี้แรกเริ่มเดททีอยู่ในความรับผิดชอบของธนาคารแห่งประเทศไทย
ซึ่งแต่งตั้งกรรมการเข้าไปร่วมบริหารตะวันออกฟายแน้นซ์กับเตือนใจ ทองแปล่งศรี
อดีตผู้อำนวยการกองตรวจสอบ สำนักงานประกันภัยซึ่งเข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการคนใหม่แทนที่ผู้บริหารชุดเดิม
ว่ากันว่ามือตรวจสอบหญิงผู้นี้ได้รับการทาบทามขากกำจร สถิรกุล ผู้ว่าแบงก์ชาติให้มากินเงินเดือนที่สูงกว่าหลายเท่าตัวที่
บงล. แห่งนี้
ครั้งต่อมา นิตย์ ศรียาภัย ประธานกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งจากธนาคารชาติก็ได้มาหนังสือไปถึงปลัดกระทวรงการคลังในเดือนกุมภาพันธ์
2530 เพื่อรอยกทีมกรรมการไปจากแบ็งก์ชาติลบาออกโดยให้เหตุผลว่า " เพื่อให้กระทรวงการคลังสามารถปรับปรุงคณะกรรมการของบริษัทต่าง
ๆ ในโครงการ 4 เมษายน 2527 ให้สอดคล้องกับนโยบายและมาตราการฟื้นฟูและแก้ปัญหาสถาบันทางการเงินดังกล่าวเพื่อให้มาตราการ
4 เมษาฯ บรรลุวัตถุประสงค์ได้เร็ว "
เมื่อกรรมการจากแบงก์ออกไปแล้ว ได้มาการแต่งตั้งคณะกรรมการจากธนาคารกรุงไทยเข้าไปแทน
ปัจจุบันกรรมการที่ไปจากธนาคารกรุงไทย จำรัส รื่นกลิ่น ผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อสำนักงานใหญ่
ไกรสีห์ แก้วภราดัย ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายกฎหมาย สมกฤษ์ กฤษณามาระ นอกจากนี้ก็ยังมีผู้แทนจากกระทรวงการคลังร่วมเป็นกรรมการอีก
2 คน คือ เสริมศักดิ์ เทพาคำและมัชณิมากุญชร ณ อยุธยา โดยเตือนใจยังคงเป็นกรรมการผู้จัดการตั้งแต่มิถุนายน
2528 ถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้มาตราการลดทุนเพิ่มทุนที่ดำเนินการในปี 2529 กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน
ได้รับซื้อแลโอนหุ้นส่วนข้างมากของตะวันออกฟายแน้นซ์รวมทั่งสิน 39,090,538
หุ้น เมื่อพฤศจิกายน 2529 จนทำให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
และกระทรวงการคลั่งถือรองลงมาในจำนวน 674,994 หุ้น
ส่วนผู้ที่ถือหุ้นนิติบุคคลอันดับใหญ่ถัดลงมาหรือบริษัทศรีสยาม จำกัด ถือไว้
46,648 หุ้น ทั้งนี้กลุ่มผู้ถือหุ้นและบริหารกระดาษศรีสยามก็คือผู้ถือหุ้นเก่าและผู้บริหารเดิมของตคะวันออกฟายแน้นซ์นั้นเอง
ผู้บริหารเก่าในที่นี้ก็คือรุ้งเรือง จันทภาษา อดีตกรรมการผู้จัดการบริหารฟายแน้นซ์,
ม.ร.ว วุฒิสวัสดิ์ สวัสดิวัฒน์ อดีตกรรมการและรองประธานกรรมการบริหาร และทองห่อ
ไผ่ตง อดีตกรรมการและกรรมการบริหาร
บริษัทกระดาษศรีสยามและฟายแน้นซ์ มีความผูกพันธ์ที่ ยุ้งเหยิง กันอยู่ระยะหนึ่ง
เนื่องจากปัญหาหนี้เสียที่เกิดจากกรรมการกู้ยืมกันเองกล่าวคือเมื่อทองห่อ
ซึ่งเป็นเจ้าของและเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทกระดาษศรีสยามในฐานบริษัทลูกหนี้ได้เข้าเป็นกรรมการบริหารตะวันออกฟายแน้นซ์ซึ่งเป็นลูกหนี้
ส่วนรุ้งเรืองและม.ร.ว.วุฒิสวัสดิ์ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทเจ้าหนี้ก็ได้เข้าเป็นกรรมการบริษัทลูกหนี้
อีกทั้งบริษัทลูกหนี้ได้ย้ายสำนักงานไปอยู่ใต้ร่มไม้ชายคาเดียวกับบริษัทเจ้าหนี้ที่หัวมุมถนนบริษัมอโศก-
ดินแดงอีกด้วย
รุ้งเรืองและ ม.ร.ว. วุฒิสวัสดิ์ เป็นกรรมการจนถึงปี 2527 จึงลาออกแต่กับเข้าใหม่ในปี
2528 และในปี 2530 กระดาษศรีสยามก็ย้ายออกไปหาสำนักงานของตัวเองใหม่ที่อาคารพญาไท
ปรากฏว่าผลการดำเนินงานของบริษัทศรีสยามนั้น จนถึงปี 2531 มีการขาดทุนสะสมรวมทั้งสิน
68.42 ล้านบาท แม้เพิงจะทำการจดทะเบียนอีก 20 ล้านบาทในปี 2528 ก็ตามทั้งนี้หนี้สินตัวที่หนักที่สุดของบริษัทเห็นจะได้แก่เงินกู้ระยะสั้นที่จำนวนถึง
93.5 ล้านบาท
ในระยะ 5 ปีที่ไม่ปรากฏว่าบริษัทกระดาษศรีสยามมีการขยายกิจการแต่อย่างไร
ไม่มีรายงานว่าจำนวนเงินกู้ระยะสั้นจำนวนนั้นถูกเอาไปใช้แต่อย่างไร และเมื่อพิจารณาผลการประกอบการในปี
2531 ปรากฏว่าบริษัทสามารถทำกำไรสุทธิได้ 221,029,21 บาท
เป็นเรื่องที่น่าฉงนที่บริษัทสามารถทำกำไรสุทธิได้ แม้จะเป็นจำนวนที่ไม่มากนัก
แต่ต้องมีภาวะเงินกู้และการขาดทุนสะสมมากมายขนาดนี้ โดยที่ไม่ปรากฏอยู่ในรายละเอียดในรายงานของผู้สอบบัญชีแต่อย่างไร
"ผู้จัดการ" ไม่อยากที่จะคาดเดาว่าเงินกู้จำนวนนี้เป็นเงินกู้เพื่อการซื้อหลักทรัพย์หรือไม่
? เนื่องจากไม่มีหลักฐานแต่ที่แน่ ๆ หนึ่งคือที่ดินโรงเรือนและเครื่องของกระดาษศรีสยามปัจจุบันติดจำนองอยู่กับตะวันออกฟายแน้นซ์เพื่อเป็นหลักทรัพย์คำประกันเงินกู้
กรณีกระดาษศรีสยามและผู้บริหารที่เกี่ยวข้องเป็นเพียงกรณีหนึ่งของการปล่อยกู้และการสร้างพันธะหนี้เสียให้กับตะวันออกฟายแน้นซ์
ซึ่งแน่นอนว่ากำไรสุทธิของบริษัทกระดาษศรีสยามทำได้ในแต่ละปีนั้นไม่เพียงพอที่จะนำมาชำระหนี้ดอกเบี้ยโดยไม่ต้องคิถึงเงินตนแต่อย่างใด
ลูกหนี้ทำนองเดียวกับบริษัทกระดาษศรีสยามของตะวันฟายแน้นซ์นั้นยังมีอีกหลายราย
ซึ่งรวม ๆ กันแล้วคิดเป็นยอดลูกหนี้พันกว่าล้านบาท แต่ถ้าว่าตะวันออกฟายแน้นซ์โชคดีประการหนึ่งที่หลักทรัพย์คำประกันเงินกู้ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น
ๆ ตลอดเวลา
กระนั้นข้อที่นับว่าโชคดีประการนี้ อาจจะไม่นับว่าเป็นโชคสักเท่าไหล่นักในทัศนะของผู้บริหารและผู้ที่สนใใจเข้าซื้อกิจการ
เพราะมานเป็นหลักทรัพย์ที่มีค่าและมีพันธะกับเจ้าหนี้หลายราย มิใช่แต่ตะวันออกฟายแน้นซ์เพียงแห่งเดียว
อย่างกรณีอาคารร้าง 12 ชั้นพื้นที่ 700 ตารางวาหลังตึกตะวันออกฟายแน้นซ์ปัจจุบันปรากฏว่ามีเจ้าหนี้ถึง
3 รายด้วยกัน โดยตะวันออกฟายแน้นซ์เป็นเจ้าหนี้อันดัน 3 รองลงมาจากธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกรุงไทย
กว่าจะตามทวงหนี้แต่ละราย ๆ ได้ ก็เล่นเอาเจ้าหนีหืดขึ้นคอ
นี้คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตะวันออกฟายแน้นซ์ไม่อาจหลุดจากโครงการ 4 เมษาฯ
เสียที แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์อื่น ๆ ในโครงการแล้วตะวันออกฟายแน้นซ์ได้รับการทาบทามเจรจาของซื้อจากนักลงทุนหลายราย
หลังจากที่คณะกรรมการแผนงานแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน ฯ ไม่อนุญาตให้ผู้บริหารเดิมกลับมาซื้อเมื่อสิ้นโครงการฯ
เมื่อปีที่ผ่านมา
ข้อที่ตะวันออกฟายแน้นซ์น่าจะได้เปรียบกว่าคือการเป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์(หมายเลข1)
ตั้งนี้มูลค่าที่ประมูลเข้าเป็นสมาชิกฯ ก็ตกประมาณ 60 กว่าล้านบาทแล้ว และมีหลักทรัพย์คำประกันที่มีมูลค่าคุ้มหนี้
โดยหลักทรัพย์เหล่านี้ส่วนมากเป็นพวกอสังหาริมทรัพย์ซึ่งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครทั้งสิ้น
เช่นที่ดินบริเวณ สุขาภิบาล 1 และ 2บริเวณถนนรามคำแหงโรงแรมที่พัทยา และโรงงานกระดาษ
(บริษัทกระดาษศรีสยาม จำกัด )
ว่ากันว่าอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ก็คือส่วนของผู้บริหารชุดเก่าได้เอาเงินของบริษัทตะวันออกฟายแน้นซ์ไปซื้อหาเอาไว้
เมื่อ ตะวันออกฟายแน้นซ์เข้าร่วมในโครงการทรัสต์ 4 เมษาฯ แล้ว ธนาคารทหารไทยได้มีการจัดให้ลงนามในหนังสือ
2 ฉบับกับผู้บริหารชุดเดิมคือหนังสือแสดงความตกลงและยินยอม และหนังสือตกลงสละสิทธิ์ไล่เบี้ย
ใจความที่สำคัญประการหนึ่งในหนังสือดังกล่าวคือ ให้ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่นำมาใช้เป็นหลักคำประกันเพื่อกู้ยืมเงินมาใช้ในกิจการของตะวันออกฟายแน้นซ์การไล่เบี้ย
และสละสิทธ์ในการเข้ารับช่วงสิทธ์บรรดาที่เจ้าหน้าที่มีอยู่เหนือตะวันออกฟายแน้นซ์ด้วย
นอกจากนี้ผู้บริหารชุดเดิมของตะวันออกฟายแน้นซ์ยังจะต้องจัดหาทรัพย์สินมาจำนองหรือจำนำเป็นประกันตะวันออกฟายแน้นซ์
หรือโอนกรรมสิทธ์เพื่อชำระหนี้แทนลูกหนี้ของตะวันออกฟายแน้นซ์เอง
แหล่งข่าวในคณะกรรมการแก้ไขปัญหาสถาบันหารเงินฯกล่าวว่าหนี้ของตะวันออกฟายแน้นซ์เป็นหนี้ที่ทำสัญญาสละสิทธ์ไล่เบี้ยไว้แล้ว
ดังนั้นไม่ว่าใครจะเข้ามาฟื้นฟูกิจการของบริษัทฯ หนี้จำนวนนี้ก็จะไม่มีปัญหา
เพราะหากใครจะมาฟ้องร้องก็จะต้องบังคับเอากับเจ้าของประกันเอาเอง ซึ่งเวลานี้ธนาคารกรุงไทยเป็นเจ้าของหลักประกันเหล่านี้
ข้อได้เปรียบอีกประการหนึ่งคือตะวันออกฟายแน้นซ์เป็นบริษัทที่ไม่ใหญ่หรือเล็กเกินไปเมื่อเทียบกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์อื่นๆ
ในโครงการฯ โดยมีสินทรัพย์โดยรวมเมื่อสิ้นปี 2531 เท่ากับ 2,431.89 ล้านบาท
ขณะที่ตัวหนี้สินจริงๆแม้จะอยู่อยู่เป็นพันล้านบาทก็มีหลักทรัพย์คุ้มหนี้
และมีหนี้ที่เป็นปัญหาจริงๆอีก 283 ล้านบาท
ดังนั้นตะวันออกฟายแน้นซ์จึงเป็นบริษัทฯในโครงการฯที่น่าสนใจมากแห่งหนึ่ง
แน่นอนว่านักลงทุนหลายกลุ่มมองเห็นข้อได้เปรียบนี้ เอากันแค่ว่าการเป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์และมีใบอนุญาตประกอบกิจการด้านเงินทุนและหลักทรัพย์ครบทุกประการ
แค่นี้นักลงทุนต่างก็ "น้ำลายหก" กันแล้ว
ด้วยเหตุนี้เมื่ออนุญาตให้นักลงทุนที่สนใจทำแผนฟื้นฟูตะวันออกฟายแน้นซ์ส่งให้ธนาคารชาตินั้นปรากฎว่ามีผู้ให้ความสนใจนับสิบราย
แต่ที่มีท่าทีสนใจอย่างจริงจังและเปิดเผยตัวในเวลาต่อมามีเพียงธนาคารอินโดสุเอซและกลุ่มของโกศล
ไกรกฤกษ์เท่านั้น
ต้นปี 2531 ธนาคารอินโดสุเอซออกแถลงข่าวใหญ่โต ว่ากำลังอยู่ระหว่างการเจรจากับกระะทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย
เพื่อขอซื้อตะวันออกฟายแน้นซ์และจะสามารถเจรจาซื้อได้สำเร็จในช่วงปีนั้น
อันที่จริงธนาคารอินโดสุเอซเข้ามาทาบทามตั้งแต่สมัยที่ ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์
ยังกำกับดูแลโครงการอยู่ แต่ ดร.ศุภชัยก็ชิงพ้นหน้าที่ไปเสียก่อน ข้อเสนอต่างของธนาคารอินโดสุเอซที่ได้รับการเปิดเผยในเวลาต่อมานั้น
ปรากฏว่า "ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ" และที่สำคัญแหล่งข่าวที่เสนอซื้อตะวันออกฟายแน้นซ์รายหนึ่งให้ความเห็นว่า
"เป็นเพระนโยบายของกระทรวงการคลังที่ต้องการเจรจากับนักลงทุนไทยก่อน
หากจะต้องมีการต่อรองเงื่อนไขในการทำธุรกิจกัน"
เหตุผลเพียงแค่นี้ก็พอเพียงที่จะทำให้ธนาคารอินโดสุเอซถูกมองข้ามไป ซึ่งในแง่ของธนาคารฯเองก็จะดูไม่ทุกข์ร้อนนอกจากจะเสียหน้าเล็กน้อย
แล้วก็หันไปเจรจาต้าอวยกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจ จำกัด ในเครือของธนาคารทหารไทยที่
ดร.ศุภชัยนั่งแป้นเป็นกรรมการที่ปรึกษาฯอยู่จนสำเร็จ และลงนามร่วมทุนกันเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว
ทางด้านนักเลงโบราณ-โกศล ไกรฤกษ์ กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่าผมเคยเสนอเข้าไปฟื้นฟูกรุงไทยทรัสต์ตั้งแต่ยังไม่มีโครงการ
4 เมษาฯ แต่ที่มาเลือกตะวันออกฟายแน้นซ์ก็เพราะมันเหมาะกับกำลัง ที่ไม่เอาธนานันต์หรือเอราวัณฯเพราะมันใหญ่โตเกินไป
รู้คร่าวๆว่าจำนวนหนี้สินเยอะโดยว่าฐานะที่เราจะได้รับเท่านั้นเอง
ความคืบหน้าในการเสนอซื้อของกลุ่มโกศลครั้งนี้ "ได้ตกลงกันหมดแล้วกับคณะกรรมการฯ
ไม่มีอะไรเป็นเงื่อนไขต่อกันและกันแล้ว ถ้าเป็นไปตามนี้ก็คอยให้รัฐมนตรีคลังอนุมัติ"
ทั้งนี้หมายความว่าโกศลได้ทำการเซ็นต์ MOU ( MEMORANDUM OF UNDERSTANDING
) กับคณะกรรมการฯไปเรียบร้อยแล้วถึง 2 ฉบับ
โกศสเล่าย้อนความการเจรจากับคณะกรรมการฯซึ่งมีไพศาล กุมาลย์วิสัย ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นประธานฯ
และมี ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล หัวหน้าส่วนกำกับและพัฒนาสถาบันการเงินเป็นเลขานุการว่า
"การเซ็น MOU นั้นเป็นการตกลงตามเงื่อนไขที่แบงก์ชาติเสนอมาคือเราต้องรับสภาพหนี้สินทรัพย์สมบัติทั้งหมด
ทั้งลูกหนี้เจ้าหนี้ไปให้หมดต้องอัดฉีดเงินสดลงไปจำนวน 335 ล้านบาท โดยเป็นการเพิ่มทุนนอกเหนือจากทุนจดทะเบียนที่ปัจจุบันมีอยู่
200 ล้านบาท ซึ่งได้ใช้ไปหมดแล้ว ส่วนผู้บริหารก็เป็นพวกผมที่เข้าไปทำ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้
แต่ก็จะมีพวกสถาบันการเงินต่างประเทศและธนาคารพาณิชย์ในประเทศร่วมด้วย"
ในเรื่องของสภาพหนี้ที่เป็นปัญหาหลักของทรัสต์ในโครงการ 4 เมษาฯนั้นโกศลเล่าให้
"ผู้จัดการ" ฟังอีกว่า "ผมส่งคนเข้าไปคือจ้างสำนักงานกฎหมายเอสจีวี
ณ ถลาง เข้าไปตรวจสอบ ผลออกมาก็แก้ไขกัน ทางคณะกรรมการฯก็ชดเชยให้ในการที่เราจะมีสาขาได้
คือหมายคววามว่าเรายอมรับหนี้สินมาแล้ว แบงก์ชาติอนุญาตให้เราเปิดสาขาได้ประมาณ
10 สาขาทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด"
นั่นเป็นรายละเอียดของการเซ็น MOU ฉบับแรกซึ่งแสดงให้เห็นชัดถึงการผ่อนปรนของธนาคารชาติในการตั้งสาขา
ขณะที่การต่อรองในแบบฉบับของนักเลงโบราณเกิดขึ้นตามมาในการเซ็น MOU ฉบับที่
2 เมื่อโกศลขอต่อรองในเรื่องหนี้สินที่มีปัญหาจำนวน 283 ล้านบาท
หนี้สินจำนวนนี้เป็นหนี้สินที่โกศลเห็นว่ามีปัญหา น่าจะตัดเป็นหนี้สูญได้
ขณะที่ทางฝ่ายแบงก์ชาติกลับมองว่าอย่างไรเสียทรัพย์สินทั้งหลายที่นำมาค้ำประกันนั้นก็มีการสละสิทธ์ไล่เบี้ยไว้แล้ว
จึงไม่น่าจะเป็นปัญหาแต่อย่างใด
โกศลเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า "ผมทำหนังสือถึงแบงก์ชาติ
ยื่นเงื่อนไขไป 2 ข้อว่าถ้าไม่ทำตามนี้ และตอบกลับมาภายใน 15 วันก็ขอให้ยุติการเจรจาของผมได้
พอดี 7 วันก็เรียกไปเจรจาใหม่ว่าอาจจะมีการเข้าใจผิดกัน ให้มาทำความเข้าใจกันใหม่ว่าอะไรเป็นอย่างไร
ซึ่งพอเจรจามาก็พอรับกันได้ ผมเห็นว่าจะเกี่ยงกันไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่านิดๆหน่อยๆเองคือผมต้องรับสภาพหนี้
283 ล้านบาท ซึ่งมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งก็ต้องฟ้องร้องเอา และดูเหมือนว่าเราจะอยู่ลำดับ
3ผมตอบกับเขาด้วยว่าผมต้องการจะมาประกอบธุรกิจการเงิน ไม่ใช่มารับจ้างตามหนี้
พอทำความเข้าใจกันเรื่องเหล่านี้ได้ก็เลยเซ็น MOU ฉบับที่ 2 เป็นอันจบ รอให้รัฐมนตรีคลังอนุมัติอย่างเดียวแล้ว"
เมื่อรัฐมนตรีคลังเซ็นอนุมัติ โกศลเล่าว่าอาจจะต้องเป็นตัวเขาเองหรือราเกซ
ศักเสนา ผู้ร่วมทุนกับเขาที่จะเข้าไปบริหารทั้งนี้เงื่อนไขข้อหนึ่งในกรณีของเรือที่กำลังอับปางคือสามารถเอาชาวต่าางชาติเข้าถือหุ้นได้มากถึง
49% ธรรมดากฎหมายให้ชาวต่างชาติถือหุ้นในสถาบันการเงินได้เพียง 25% เท่านั้น
โกศลกล่าวว่า "เราพยายามจะให้พวกสถาบันมาเป็นผู้บริหาร อยากได้คนต่างชาติ
แต่จะทำได้อีกแค่ไหนนั้นอีกเรื่องหนึ่ง"
ในส่วนของการติดต่อกับสถาบันต่างชาตินั้นราเกซจะเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการทั้งหมด
ราเกซกับโกศลโคจรมาพบกันได้เพราะหน้านี้ทั้งคู่ได้ร่วมหุ้นกันทำคอนโดมิเนี่ยมที่พัทยา
จึงมีความผูกพันในธุรกิจการค้าต่อกันอยู่ และโดยส่วนตัวราเกซนั้นโกศลเล่าว่าทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับธนาคารแห่งหนึ่ง
นอกเหนือไปจากนั่งบริหารอยู่ใน บงล.สหธนกิจไทย จำกัดและทำธุรกิจเวนเจอร์
แคปิตอลในชื่อเอเชียนแปซฟิค กรุ๊ป
ทั้งนี้แม้จะได้มืออาชีพหรือสถาบันต่างชาติมาร่วมบริหารมากน้อยแค่ไหน ก็อาจจะดูเป็นเรื่องสำคัญรองลงมาจากเงื่อนไขทั้งหลายที่โกศลเจรจาต่อรองมาได้
คือเมื่อโกศลอัดฉีดเงินสดเพื่อเพิ่มทุนจดทะเบียน 335 ล้านบาทแทนที่จะตัดเป็นหนี้สูญนั้น
กลุ่มโกศลสามารถต่อรองได้เงื่อนไขที่ดีเอามากๆ ที่กระทั่ง บงล.ที่ไม่ได้อยู่ในโครงการฯอยากจะอิจฉา
นอกจากได้ใบอนุญาตเปิดสาขาเพิ่มมากกว่า 10 แห่งทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดแล้วยังได้รับต่ออายุเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ
(SOFTLOAN) จำนวน 380 ล้านบาทออกไปอีก 6 ปี ได้รับอนุญาตให้บริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 10 แห่ง ที่มีใบอนุญาตทำได้ และเรื่องที่ชาวต่างชาติจะถือหุ้นได้ถึง
49% เงื่อนไขประการหลังนี้จะเป็นสิ่งดึงดูดให้สถาบันการเงินต่างชาติเข้าร่วมลงทุนได้มาก
อย่างไรก็ตาม ปัญหาหนักประการหนึ่งที่แม้กลุ่มโกศลประกาศว่าไม่ต้องการเข้ามาแก้ไข
แต่ก็เป็นเรื่องที่ต้องจัดการอย่างเลี่ยงไม่ได้คือการตามทวงหนี้ ในกรณีนี้
"ผู้จัดการ" ใคร่หยิบยกตัวอย่างหนี้สินรายหนึ่งของตะวันออกฟายแน้นซ์ที่กลุ่มโกศลต้องเผชิญเมื่อเข้าไปบริหาร
เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2532 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่กลุ่มโกศลกำลังดำเนินการเจรจาขอซื้อตะวันออกฟายแน้นซ์กับคณะกรรมการฯอยู่นั้น
ตะวันออกฟายแน้นซ์ตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์ธุรกิจด้วยปัญหาข้อพิพาทเรื่องที่จอดรถของลูกค้ากับบริษัทศรีบุญเรืองวิลเลจ
จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประมูลได้อาคารและที่ดินบริเวณหลังตึกตะวันออกฟายแน้นซ์ซึ่งตะวันออกฟายแน้นซ์ใช้เป็นที่จอดรถมาเป็นเวลาหลายปี
ทั้งนี้อาคารและที่ดินดังกล่าวเป็นของกลุ่มรุ่งเรืองฯใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันหนี้สินกับตะวันออกฟายแน้นซ์ประมาณ
100 ล้านบาทเศษ แต่ทว่าเจ้าหนี้บุริมสิทธ์อันดับ 1 ในอาคารและที่ดินนี้คือธนาคารไทยพาณิชย์
จำกัด (ซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่ประมาณ 80 กว่าล้าน) ส่วนเจ้าหนี้อันดับ 2 คือธนาคารกรุงไทย
และตะวันออกฟายแน้นซ์นั้นเป็นเจ้าหนี้อันดับ 3
เมื่อธนาคารไทยพาณิชย์ฟ้องให้มีการขายทอดตลาดอาคารและที่ดินผืนนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์กำหนดราคาไว้เพียง
46 ล้านบาทขณะที่ราคาที่ดินแถบนั้นสูงลิ่วซึ่งหากจะตึฃีค่ากันจริงๆเฉพาะที่ดิน
700 ตารางวาที่ประมูลในครั้งนี้ก็มีค่าร่วม 140 ล้านบาทแล้ว
ผู้ที่เข้าประมูลอาคารและที่ดินผืนนี้มีจำนวนไม่มากนัก และบริษัทศรีบุญเรืองวิลเลจ
จำกัด ก็ประมูลได้ไปด้วยราคาเพียง 93 ล้านบาท ซึ่งปรากฏว่าราคานี้ไม่สามารถนำมาชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ได้ครบทุกรายนั่น
หมายความว่าตะวันออกฟายแน้นซ์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้อันดับท้ายๆจะไม่ได้รับการชำระหนี้
เตือนใจ ทองเปล่งศรี กรรมการผู้จัดการตะวันออกฟายแน้นซ์จึงได้ยื่นคำร้องคัดค้านต่อกรมบังคับคดีขอให้มีการขายทอดตลาดครั้งใหม่
แต่ปรากฏว่าในระหว่างที่เรื่องยังคาราคาซังอยู่นี้ บริษัทศรีบุญเรืองวิลเลจ
ผู้ประมูลได้ในครั้งแรกก็ได้ว่าจ้างบริษัทรับเหมาก่อสร้างแห่งหนึ่งให้เข้ามาดำเนินการตกแต่งซ่อมแซมอาคาร
เตือนใจจึงทำเรื่องร้องไปยังกรมบังคับคดี กรมบังคับคดีส่งเจ้าพนักงานมาตรวจและออกคำสั่งให้ระงับการตกแต่งซ่อมแซมเพราะศรีบุญเรืองวิลเลจไม่มีอำนาจที่จะทำ
มูลเหตุนี้เองจึงทำให้ปิดทางเข้าที่จอดรถยนต์ซึ่งแม้จะเป็นบลริเวณที่ดินทีมีการขายทอดตลาดในครั้งนี้ด้วยก็ตาม
แต่ตะวันออกฟายแน้นซ์ได้ใช้เป็นที่จอดรถมาเป็นเวลานานหลายปี และระหว่างที่ทำการขายทอดตลาดกระทั่งประมูลได้แล้ว
ตะวันออกฟายแน้นซ์ก็ยังขออนุญาตใช้อยู่
แหล่งข่าวในเรื่องนี้กล่าวว่าพฤติกรรมเช่นนี้ราวกับเป็นการกลั่นแกล้งตะวันออกฟายแน้นซ์
คือสร้างความเดือดร้อนให้กับลูกค้าที่มาทำการซื้อขายหลักทรัพย์ทุกวัน ขณะเดียวกันก็เป็นการก่อความอิดหนาระอาใจกับกลุ่มนักลงทุนที่กำลังเจรจาซื้อเรืออับปางลำนี้อยุ่
โกศลกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า "ผมคิดว่ากองทุนฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน
ควรจะต้องมีบทบาทมากที่สุดในเรื่องอย่างนี้ ไม่ใช่เฉพาะแต่ตะวันออกฟายแน้นซ์เท่านั้น
ที่กองทุนฯต้องดูแลเพราะว่าเงินเหล่านี้เป็นเงินทุนของแผ่นดินทั้งนั้นที่ส่งซอฟท์โลนเข้าไปช่วย
เมื่อเกิดเหตุการจะปล่อยให้เป็นอย่างนี้ได้อย่างไรเลือกหมูไปแล้วจะเอาเนื้อข้างเขียงมาให้เรามันจะได้อย่างไร"
โกศลวิจารณ์ไปถึงสิ่งที่กองทุนฟื้นฟูฯกรือคณะกรรมการวางแผนแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินในโครงการทรัสต์
4 เมษาฯควรจะทำ ว่า "ยุคที่ดินราคาดีอย่างปัจจุบันน่าจะมีการตั้งเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแลไกล่เกลี่ยประณีประนอมให้ถอนหนี้กันได้
นี่ผมหมายรวมถึงทุกทรัสต์ที่อยู่ในโครงการฯเรือทุกลำที่ค่ว่ำอยู่นั่นน่ะ
เป็นโอกาสอันดีแล้วปล่อยนาทีทองนี้ไปได้อย่างไร?"
ดูเหมือนนักเลงโบราณจะไม่ครั่นคร้ามกับปัญหานานับประการที่จะต้องเผชิญในการกู้เรืออับปางครั้งนี้
มันเป็นการท้าทายอย่างหนึ่งในชีวิตของนักเลงโกศลผู้ซึ่งทำอะไรมาก็สำเร็จทุกอย่าง!