เบทาโกร เดินแผนปี 52 ขุดทองกัมพูชา-ลาว พร้อมทุ่ม 160 ล้านบาท เปิดฟาร์มสุกร มั่นใจรายได้โตอีก 10% จาก 11,000 ล้านบาทในปีนี้
นายณรงค์ชัย ศรีสันติแสง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายธุรกิจเครือภูมิภาคและธุรกิจอาหารสัตว์ เครือเบทาโกร เปิดเผยว่า ในปี 2552 ที่จะถึงนี้ บริษัทฯมีแผนที่จะขยายฟาร์มสุกรไปยังประเทศกัมพูชาและลาว ด้วยงบการลงทุนกว่า 160 ล้านบาท เนื่องจากเล็งเห็นโอกาสทางการตลาดที่ดีของประเทศเพื่อนบ้านในการขยายฐานการผลิต โดยการทำตลาดในครั้งนี้จะมีการวางตลาดที่แตกต่างจากไทย เนื่องจากมีการแข่งขันกับประเทศเวียดนาม นอกจากนี้ยังวางแผนในการขยายโรงงานเพชรบุรี เพื่อรองรับการจำหน่ายในส่วนของพื้นที่ทางภาคตะวันตกและภาคใต้ ซึ่งปัจจุบันทางบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดของธุรกิจอาหารสัตว์ทางภาคใต้อยู่ที่ 25%
ขณะที่ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมานี้ ทางบริษัทฯได้มีการขยายฐานการจัดจำหน่ายไปยังประเทศในแถบเพื่อนบ้านบ้างแล้ว ได้แก่ กัมพูชาและลาว โดยการจัดตั้งบริษัท เบทาโกร (กัมพูชา) จำกัด ที่กรุงพนมเปญ รวมทั้งมีการจัดตั้งตัวแทนจำหน่าย ซึ่งปัจจุบันที่ประเทศกัมพูชามียอดจำหน่ายอาหารสัตว์เฉลี่ย2,000 ตันต่อเดือน โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอาหารสัตว์บกที่12% และคาดว่าในอีก2554จะมียอดการจัดจำหน่ายเป็น 4,000 ตันต่อเดือน ในส่วนของการจัดตั้งบริษัทฯ เบทาโกร (ลาว) จำกัด ที่เวียงจันทน์ โดยมียอดจำหน่ายอาหารสัตว์เฉลี่ย800 ตันต่อเดือน แบ่งเป็นอาหารสัตว์บก 600 ตันต่อเดือน และอาหารสัตว์น้ำ 200 ตันต่อเดือน โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอาหารสัตว์บกที่12% และสัตว์น้ำ 14%
ทั้งนี้ภาพรวมของธุรกิจอาหารสัตว์ในปี2552 มองว่าปัจจัยที่จะส่งผลต่อภาพรวมของธุรกิจอาหารสัตว์ในประเทศนั้นมี2ปัจจัยคือ การส่งออก เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจของยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก จึงส่งผลต่อระบบการส่งออกของไทย ทำให้ยอดการส่งออกลดลง และจะส่งผลทำให้ปริมาณการผลิตในประเทศลดลงตามไปด้วย และปัจจัยในเรื่องของราคาวัตถุดิบ เนื่องจากราคาตกต่ำ ทำให้เกษตรลดจำนวนการปลูกลง ซึ่งอาจจะส่งผลให้ต่อต้นทุนการผลิตของธุรกิจอาหารสัตว์ ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อระบบธุรกิจอาหารสัตว์ ซึ่งความผันผวนของธุรกิจนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบและการส่งออก
โดยในส่วนของผลประกอบการในปี2552ทางบริษัทฯตั้งเป้าที่จะมียอดการเติบโตขึ้นอีก10% จากในปี2551 ที่ยอดขายธุรกิจอาหารสัตว์มีมูลค่ารวม11, 000 ล้านบาท เติบโตขึ้น10% จากปีก่อน ถือเป็นอัตราการเติบโตสูงที่สุดในรอบ41ปีของธุรกิจอาหารสัตว์เครือเบทาโกร
ปัจจุบันทางบริษัทฯมีส่วนแบ่งทางการตลาดอาหารสัตว์Commercialอยู่ที่ 20% ของทั้งประเทศ หรือประมาณ 65,000 ล้านตันต่อเดือน เพิ่มจากปี2550ประมาณ 10%โดยในปี2552คาดว่าจะมียอดการเติบโตของยอดขายมากขึ้นอีก10% หรือมีมูลค่า 12,000 ล้านบาท เนื่องมาจากการขยายกำลังการผลิตจากโรงงานอาหารสัตว์ จากเดิมที่ผลิตเพียง 1 ล้านตันต่อเดือนเป็น 1,040,000 ล้านตันต่อเดือน
นายณรงค์ชัย กล่าวด้วยว่า ในโอกาสครบรอบ41ปีและการก้าวสู่ปีที่42 ธุรกิจอาหารสัตว์เครือเบทาโกรได้วางกลยุทธ์เพื่อรุกตลาดอย่างเต็มที่ โดยทุ่มงบการตลาดกว่า 100 ล้านบาท เพื่อมุ่งการทำตลาดอาหารสัตว์Commercial เพิ่มขึ้นทั้งอาหารสัตว์บกและอาหารสัตว์น้ำ รวมทั้งมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง ได้แก่ อาหารปลาสวยงามโอคาเนะ อาหารสุนัขและอาหารไก่ชน เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของตลาด รวมไปถึงการปรับภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์ ด้วยบรรจุภัณฑ์ของอาหารสัตว์เบทาโกร ให้มีความทันสมัย รวมทั้งมีการเปิดให้บริการเว็บไวด์ของเครือเบทาโกร เพื่อให้ลูกค้าได้รับทราบข้อมูลอาหารสัตว์ และ ผลิตภัณฑ์ใหม่รวมทั้งโปรโมชั่นต่างๆด้วย
|