KMC เดินหน้าล้างขาดทุนสะสมหมด 7,000 ล้านบาทในปีนี้ พร้อมกลับเข้าซื้อขายในหมวดอสังหาริมทรัพย์ได้
เล็งระดมทุนเพิ่มอีก 3-4 พันล้านบาท หวังใช้ขยายการลงทุนโครงการใหม่ปีหน้า อย่างน้อย
4 แห่ง มูลค่า 3,000 ล้านบาท ส่วนเพอร์เฟคฯมั่นใจล้างขาดทุนหมดเช่นกัน ขณะที่เอเชี่ยนฯ ผลประกอบการโดดเด่น
KMC เร่งล้างขาดทุน
นางสาวจุรินทร์ อุทัยเจริญพงษ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด
(มหาชน) หรือ KMC เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้ปรับโครงสร้างหนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
และอยู่ระหว่างดำเนินการทำเรื่องย้ายหมวดจากปัจจุบันที่อยู่ในหมวดบริษัทอยู่ระหว่างฟื้นฟูหรือหมวดรีแฮปโก้
กลับสู่หมวดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะเพิ่มทุนอีก100 ล้านบาท ภายในเวลา 45 วันข้างหน้า
รวมทั้ง บริษัทมีแนวทางที่จะล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่จำนวน 7,000 ล้านบาท ให้หมดภายในปลายปีนี้
และในปีหน้า บริษัทจะเพิ่มทุนอีก 1,000 ล้านบาท เพื่อใช้ขยายการลงทุนโครงการใหม่
ๆ ขณะเดียวกัน ก็จะออกหุ้นกู้อีก 2-3 พันล้านบาท ซึ่งจะเริ่มดำเนินการได้ในปีหน้า
ทั้งนี้ การออกหุ้นกู้จะทำให้บริษัทมีต้นทุนทางการเงินในอัตราที่ต่ำลง
สำหรับแผนการลงทุนของบริษัท มีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ และเพิ่มรายได้อย่างน้อยเป็น
2,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 30% ในปีหน้า และภายใน 3 ปีข้างหน้า
จะมียอดขายไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายจะเปิดตัวโครงการใหม่
2 แห่ง ได้แก่ โครง การย่านพหลโยธิน-รังสิต พื้นที่ 100 ไร่ และโครง การย่านปิ่นเกล้า-พระราม
5 พื้นที่ 100 ไร่ คิดเป็น มูลค่ารวมทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท
นางจุรินทร์ กล่าวอีกว่า ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวโครงการกฤษดา ซิตี้ เลค แอนด์
พาร์ค ตั้งอยู่ถนนบางนา-เทพารักษ์ พื้นที่กว่า 1,000 ไร่ ในช่วงแรกจะพัฒนาก่อน
100 ไร่ มูลค่า 500 ล้านบาท ได้รับเงินสนับสนุนจากธนาคารกรุงไทย สำหรับจุดเด่นของโครงการนี้จะมีพื้นที่ส่วนกลางมากถึง
249 ไร่ เน้นการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์อิงธรรมชาติ
ตะลุยดันยอดขายโตเท่าตัว
ด้านนายรัชฎา กฤษดาธานนท์ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า บริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มยอดขายอย่างต่อเนื่อง
โดยในปีนี้ คาดว่าจะมียอดขายรวม 2,000 ล้านบาท มากกว่าปีก่อนที่มียอดขายเพียง
1,500 ล้านบาท และในปี 2547 จะมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 2,500 ล้านบาท และยอดขายโตเท่าตัวในปี
2548
ส่วนแผนการลงทุนในปีหน้า บริษัทตั้งเป้าเปิด ตัวโครงการใหม่อย่างน้อย 4 แห่ง
ได้แก่ 1. โครงการบริเวณถนนรัชดาภิเษก ด้านหน้าอาคารสำนักงานกฤษดาฯ ซึ่งจะพัฒนาเป็นออฟฟิศ
และทาวน์เฮาส์ในเมือง ราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป พื้นที่ 5 ไร่ 2.โครงการโฮม ออฟฟิศ
บริเวณถนนบางนา-ตราด กม.7 3.โครงการบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ตั้งอยู่ที่รังสิต-คลอง
4 และ 4.โครงการบริเวณถนน ปิ่นเกล้า-นครชัยศรีฯ ใกล้พุทธมณฑลสาย 2 จะ พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวหรูหราราคา
10 ล้านบาทขึ้นไป
ไรมอนฯเล็งย้ายกลับหมวดอสังหา
นายไนเจิล เจ. คอร์นิค กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ
RAIMON กล่าวว่า แม้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 จะมีผลขาดทุนสุทธิประมาณ 25 ล้านบาท
แต่เมื่อรวมทั้งปีจะมีกำไรจากการดำเนินธุรกิจอย่างแน่นอน เนื่องจากบริษัทได้รับรู้รายได้จากการขายบ้านในโครงการเดอะ
ลอฟท์ สาทร ซึ่งปัจจุบันประ มาณ 50% จากจำนวน 25 ยูนิต
สำหรับโครงการเดอะ ลอฟท์ สาทรนั้น ไรมอนด์ฯ ได้จับมือกับบริษัท คูดู ถือหุ้นในสัดส่วน
55:45 ตามลำดับ ในบริษัท สตราทิจิค พร็อพเพอร์ตี้ เพื่อพัฒนาโครงการดังกล่าว มูลค่า
400 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างบ้านตัวอย่าง มีกำหนด เสร็จแล้วต้นเดือนหน้า
ปัจจุบันบริษัทได้ปฏิบัติตามแผนฟื้นฟูกิจการครบถ้วนแล้ว และได้ยื่นคำร้องขอยกเลิกฟื้น
ฟูกิจการ ซึ่งศาลได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา ขั้นตอนต่อไปบริษัทจะขออนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลัก
ทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอย้ายหลักทรัพย์ออกจากหมวดที่อยู่ในเกณฑ์ถูกเพิกถอนหรือรีแฮปโก้มายังหมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ซึ่งผลประกอบการทั้งปีของบริษัทจะมีกำไร เมื่อส่งเรื่องให้สำนักงาน ก.ล.ต.พิจารณาแล้ว
คาดว่าประมาณปลายไตรมาสแรกปีหน้า จะสามารถย้ายกลับหมวดปกติได้
เพอร์เฟคเล็งล้างขาดทุนสะสม
ด้านนายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค
จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า คาดว่าจะมีกำไรทั้งปีประมาณ 1,000 ล้านบาท จากงวด 6 เดือนแรกที่มีกำไร
สุทธิ 388 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 52% ด้านยอดขาย จะอยู่ที่ 4,633 ล้านาาท
และจะรับรู้รายได้ประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยไตรมาส 2 สามารถ ทำยอดขายได้ 1,528 ล้านบาท
ขณะที่บริษัทมีภาระหนี้สินปัจจุบัน 5,304 ล้านบาท แต่ภายในสิ้นปีนี้คาดว่าจะลดลงได้อีกไม่ต่ำกว่า
2,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้ สินต่อทุนลดลงจาก 1.83 เท่า เหลือ 1
เท่า
"การออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ ขณะนี้บริษัทสามารถทำได้แล้ว เนื่องจากสามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขครบถ้วน
คือ 1. มีส่วนผู้ถือหุ้นเป็นบวก 2. ชำระหนี้ให้หน่วยงานรัฐ 3. ชำระหนี้ให้ลูกบ้านเกิน
90% และ 4. มีการแปลงหนี้เป็นทุนจากเจ้าหนี้ไม่น้อยกว่า 400 ล้านหุ้น ที่ผ่านมามีเจ้าแปลงหนี้เป็นทุนไป
แล้ว 58 ล้านหุ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมาย"
อย่างไรก็ดี ในไตรมาส 4 ปีนี้ จะมีการแปลงหนี้เป็นทุนของเจ้าหนี้เข้ามาอีกเป็นล็อตสุดท้ายประมาณ
150 ล้านหุ้น คิดเป็น 1,500 ล้านบาท หลังจากนั้นจะทำการล้างขาดทุนสะสมที่มีอยู่จำนวน
4,500 ล้านบาทภายในปีหน้า ด้วยวิธีการที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบในแง่ของไดลูทชั่น
และยังมีจำนวนหุ้นเท่าเดิม เพื่อให้สามารถจ่ายเงินปันผลได้ แต่ทั้งนี้บริษัทต้องออกจากแผนฟื้นฟูฯ
และมีการตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ รวมต้องผ่านการพิจารณาจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นเสียก่อน
เอเชี่ยน ฟุ้งรายได้โต 42.5%
นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้
ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา บริษัทมีผลประกอบการเป็นรายได้รวม
1,531 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 42.5% กำไรจากการดำเนินงาน 430
ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 28.1% และมีกำไรสุทธิ 346 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
20.1% และกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.17 บาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.7 เท่า
ทั้งนี้ ในไตรมาส 2 บริษัทมีรายได้รวม 836 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
27.6% มีกำไรสุทธิ 204 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 6.2%
"ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก มาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 86.4% ส่วนใหญ่มาจากการขายและโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกค้าในโครงการบ้านกลางกรุงบริติชทาวน์
(ทองหล่อ) ซึ่งโครงการนี้สามารถโอนบ้านครบ 100% ในไตรมาส 2 นี้ โครงการบ้านกลางเมือง
(รัชดา-เหม่งจ๋าย) 3 โครงการบ้านกลางเมือง (พระราม 9-ศรีนครินทร์) ที่เหลือ 13.6%
เป็นรายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง"
สำหรับการดำเนินงานในครึ่งปีแรก มียอดจอง แล้ว 4,200 ล้านบาท มาจากโครงการต่อเนื่องจาก
ปีที่แล้วบางส่วนและโครงการใหม่ที่เปิดขายตั้งแต่ต้นปีจำนวน 6 โครงการ ได้แก่ บ้านกลางเมือง
(พระราม 9-ศรีนครินทร์) บ้านกลางเมือง (สาทร-ถนนจันทน์) บ้านกลางเมือง (ลาดพร้าว-โชคชัย)
Con-do Citismart (สุขุมวิท 18) บ้านกลางเมือง (แยก รัชดา-ลาดพร้าว) และบ้านกลางเมือง
(เหม่งจ๋าย-ลาดพร้าว) โครงการส่วนใหญ่มียอดจองเกือบ 90%
ส่วนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ คือ บ้านกลางกรุง
(สาทร-นราธิวาส) ประกอบด้วย ทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยว มูลค่าประมาณ 1,500 ล้านบาท
คาดว่าจะเปิดขายในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้
นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้ซื้อที่ดินในย่านพระราม 9-ลาดพร้าว เนื้อที่
18 ไร่ มีแผนจะพัฒนาเป็นโครงการบ้านกลางเมือง (พระราม 9-ลาดพร้าว) มูลค่า 650 ล้านบาท
คาดว่าจะเปิดขายในช่วงไตรมาส 1 ของปี 2547 ขณะเดียวกันบริษัทยังสามารถออกหุ้นกู้อายุ
6 ปี มูลค่า 1,500 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 3.1% โดยเงินดังกล่าวส่วนใหญ่บริษัทจะนำไปชำระหนี้เงินกู้
ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีต้นทุนการเงินที่ต่ำลง
ลลิล โชว์กำไรสุทธิ 144.5 ล้าน
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)
เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปีนี้ว่า มีกำไรสุทธิกว่า 144.5 ล้านบาท หรือโตขึ้นกว่า
147% หากเทียบไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากยอดรับรู้รายได้ที่สูงถึง 620 ล้านบาท
หรือสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี2545 คิดเป็น 65% สาเหตุที่รายได้สูง ขึ้น มาจากการขายบ้านในโครงการต่างๆที่อยู่ระหว่าง
ดำเนินการ
จากการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ในปี 2546
ได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ บริษัทจึงปรับเป้าการเติบโตของปี 2546 โดยตั้งเป้าหมายยอดรับรู้รายได้เป็น
2,650 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายยอดรับรู้รายได้ไว้ที่ 2,413 ล้านบาท
ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า บริษัทยังคงยึดนโยบายขยาย
โครงการในพื้นที่ 4 มุมเมือง โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวภายใต้ 3 แบรนด์หลัก ได้แก่
1. ลลิล กรีนวิลล์ 2. บ้านลลิล และ 3. บ้านบุรีรมย์ และในปีนี้ได้เปิดโครงการใหม่
3 แห่ง ซึ่งทั้ง 3 โครง การได้เปิดตัวไปแล้วในไตรมาสแรก มีมูลค่ารวม 3,300 ล้านบาท
ได้แก่ 1. บ้านลลิล อิน เดอะ พาร์ค รามอินทรา-รัตนโกสินทร์สมโภช มูลค่า 1,100 ล้านบาท
2. บ้านลลิล อิน เดอะ พาร์ค ศรีนครินทร์-เทพารักษ์ มูลค่า 400 ล้านบาท และ3. ลลิล
กรีน วิลล์ พระราม 9-อ่อนนุช มูลค่า 1,800 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 4 บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่อีก 1 แห่ง คือ ลลิล กรีนวิลล์
พระราม 2 มูลค่า 1,100 ล้านบาท และในปีหน้าตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่อย่างน้อย 4
แห่ง ซึ่งจะมีโครงการคอนโดมิเนียมรวมอยู่ด้วย คิดเป็นสัดส่วน 15% ของยอดขาย ขณะเดียวกัน
ภายในเวลา 1-2 เดือนข้างหน้า บริษัทจะเสนอหุ้นกู้ให้กับนักลงทุนเฉพาะเจาะจง ประมาณ
700-1,000 ล้านบาท
ศุภาลัยพลิกขาดทุนเป็นกำไร
บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ว่าผลการดำเนินงานในไตรมาสที่
2 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 116 ล้านบาท สูงขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีก่อน
ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิ 49.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 165.75 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 333.17%
ทั้งนี้ เนื่องจากรายได้จากธุรกิจหลัก 454 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขายเพียง
371.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 82.56 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 22% เพราะยอดขายและยอดส่งมอบเพิ่มขึ้น
และจากการควบคุมต้นทุนให้อยู่ในระดับที่คาดการณ์ไว้ อีกทั้งได้ปรับราคาขายให้สอดคล้องกับวัสดุที่สูงขึ้น
ส่งผลให้กำไรขั้นต้นเฉพาะธุรกิจหลักไม่รวมรายได้อื่นเท่ากับ 172.29 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น
38% สูงขึ้นจากปีก่อนซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นเพียง 30%
กำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ไม่มีประกัน 4.94 ล้านบาท กำไรจากการขายทรัพย์สิน 7.91
ล้านบาท ดอกเบี้ยจ่ายลดลงจาก 38.72 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปี 2545 เหลือเพียง
15.31 ล้านบาทในไตรมาสนี้ เป็นผลจากภาวะอัตราดอกเบี้ยลดลงและการชำระคืนหนี้เพราะการส่งมอบบ้านให้ลูกค้าเพิ่มสูงขึ้น
ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 54.07 ล้านบาท คิดเป็น 11.9% เมื่อเทียบกับรายได้หลักลดลง
จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อนซึ่งมียอดเท่ากับ 12.77%
ทั้งนี้ มีกำไรสุทธิต่อหุ้น เท่ากับ 0.18 บาท ขณะที่ไตรมาสเดียวกันในปีก่อนขาดทุนสุทธิ
เท่ากับ (0.08 บาท) และปัจจุบันบริษัทและบริษัทย่อยมีมูลค่าทางบัญชีสุทธิต่อหุ้นเพิ่มขึ้นจาก
2.88 บาท ณ สิ้นปี 2545 เป็น 3.37 บาท และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดลงจาก 1.87
เท่า ณ สิ้นปี 2545 เหลือเพียง 1.42 เท่าในปัจจุบัน
QH กำไรสุทธิพุ่ง 209 ล้านบาท
บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (QH)แจ้งว่า ในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิ
209.11ล้านบาท มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 178.67 ล้านบาทส่วนช่วง
6 เดือนที่ผ่าน มามีกำไรสุทธิ 313.44 ล้านบาทมากกว่าช่วงเดียว กันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเพียง
288.45 ล้านบาท