Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน9 ธันวาคม 2551
จีดีพีปีหน้า0.7%จี้หยุดขัดแย้ง-เร่งตั้งรัฐบาล             
 


   
search resources

ณรงค์ชัย อัครเศรณี
Economics




"ณรงค์ชัย" มองจีดีพีปีหน้า โต 0.7% หนุนภาคการเมือง เร่งจัดตั้งรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจโดยด่วน พร้อมลดความขัดแย้ง ระบุหากช้าไปอีก 1 เดือน ได้เห็นเศรษฐกิจติดลบแน่นอน แนะเดินหน้าใส่เงินเข้าระบบ ตามแผนงบประมาณ ทั้งกระจายเงินถึงมือชาวบ้าน พัฒนาสังคม สิ่งแวดล้อม และลงทุนคมนาคม ด้าน "พิชิต" ย้ำ รัฐบาลเป็นขั้วการเมืองไหนก็ได้ แต่ต้องไม่เกิดความขัดแย้งอีกรอบ หวังสร้างความมั่นใจต่างชาติ

นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการประเมินถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศตอนนี้ คาดว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะสามารถขยายตัวได้เพียง 0.7% เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ลดลงจากเดิมมาก เพราะก่อนที่จะมีเหตุการปิดสนามบินคาดการณ์ไว้ว่าปีหน้าจะเติบโต 3-4% แต่อย่างไรก็ตาม หากในช่วง 1 เดือนหลังจากนี้ ยังไม่มีรัฐบาลใหม่โดยเร็ว หรือหากฝ่ายความมั่นคงยังปล่อยให้มีการชุมนุมเรียกร้องอะไรที่เกิดกว่ากฎหมายอีก เชื่อว่าเศรษฐกิจอาจจะต้องติดลบ

ทั้งนี้ มองว่าประเด็นที่รัฐบาลต้องทำโดยด่วนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงนี้ มี 4 ประเด็นด้วยกัน ประการแรกคือ ต้องกระจายเงินให้ถึงมือชาวบ้านโดยเร็วที่สุด โดยอาจเป็นในรูปกองทุนต่าง ๆ ประการที่สอง โครงการด้านสังคม สาธารณสุข และการศึกษา เพื่อให้เงินถึงมือชาวบ้านอย่างเท่าเทียมกัน ประการที่สาม ดำเนินโครงการด้านพลังงาน และสิ่งแวดล้อม และประการสุดท้าย คือดำเนินโครงการด้านคมนาคม เช่น การสร้างถนน ที่มีความจำเป็นตามที่วางไว้ในงบประมาณ ซึ่งหากมีรัฐบาลเข้ามาจัดการเรื่องนี้ การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอาจจะเติบโตเกิน 1% ได้

ส่วนหน้าตาของรัฐบาลชุดใหม่ จะมาจากขั้วการเมืองใด ไม่ขอวิจารณ์ เพราะสิ่งสำคัญคือ ต้องเร่งมีรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศโดยเร็ว เนื่องจากขณะนี้ปัจจัยการเมืองในประเทศมีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจไทยมากกว่าวิกฤติการณ์การเงินโลก ส่วนใครจะจะชุมนุมเรียกร้องอะไรในช่วงนี้ ก็ขอให้ผ่านไปก่อนอีก 3-4 เดือนข้างหน้า เพราะเรื่องเศรษฐกิจสำคัญกว่า

"สิ่งที่ต้องทำตอนนี้ คือหยุดความขัดแย้งทั้งหมดให้สงบ เพื่อให้ประชาชนได้ออกมาค้าขายหาเลี้ยงตัวเอง ขณะเดียวกัน ต้องมีรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศอย่างรวดเร็ว เพราะจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในโครงการที่อยู่ในแผนงบประมาณทั้งหลาย"นายณรงค์ชัย

ส่วนมาตรการ 6 มาตรการที่รัฐบาลชุดก่อนวางไว้นั้น มองว่าคงไม่จำเป็นจะต้องสานต่อ เพราะเป็นนโยบายทางด้านราคามากกว่า ซึ่งปัจจุบัน ราคาสินค้าเองก็ไม่ได้ปรับขึ้น ยังมีแนวโน้มว่าจะลดลงด้วยซ้ำ

สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลงถึง 1% ในการประชุมครั้งล่าสุดนั้น นายณรงค์ชัยมองว่า ไม่น่าจะช่วยให้สภาพคล่องดีขึ้น และมองว่าในปีหน้าการปล่อยกู้ของธนาคารพาณิชย์จะมีความระมัดระวังมากขึ้น ดังนั้น แม้ลดอัตราดอกเบี้ยลง 1% ไม่น่าจะช่วยให้มีการเติบโตมากนัก จึงมองว่าธปท.ควรจะมีการผ่อนคลายกฎระเบียบในตลาดการเงินเพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้มากกว่าปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ดอกเบี้ยนโยบายน่าเป็นห่วงว่าจะมีผลต่อสภาพคล่อง แม้จะมีการปรับลดลง แต่แบงก์ก็ไม่ปล่อยกู้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ช่วยให้สภาพคล่องดีขึ้นได้ โดยปัจจุบันจากตัวเลขสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก จะเห็นว่าใกล้ถึง 100 แล้ว ซึ่งถ้าไม่รวมตั๋ว B/E ก็เกิน 100 ดังนั้น เป็นการบอกว่าการลดดอกเบี้ยไม่น่าช่วยให้คนหันมากู้มากขึ้น และอาจจะเป็นเหมือนญี่ปุ่น ที่ลดดอกเบี้ยเท่าไหร่ก็ไม่มีผล

นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า ไม่ว่าขั้วการเมืองใดจะมาเป็นรัฐบาล ก็คงส่งสัญญาณในแง่บวก เพาะสิ่งสำคัญขณะนี้คือ เอกชนต้องการเห็นความสงบทางการเมือง และให้มีการจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว เพื่อให้มีการใช้งบประมาณ และดำเนินโครงการตามที่ประกาศไว้ โดยประเมินว่า เศรษฐกิจไทยปี 2552 คงไม่ถึงขั้นติดลบ คาดว่า จีดีพีคงโตต่ำกว่าร้อยละ 2 โดยต้องติดตามผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกระลอกที่ 2 ซึ่งมีผลทำให้การส่งออกชะลอตัว และมีปัญหาเงินทุนไหลออก แต่เชื่อว่า การแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วของสหรัฐ และอีกหลายประเทศคงจะช่วยภาวะเศรษฐกิจโลกได้

"ตอนนี้ใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาลก็ได้ แต่ต้องไม่เกิดความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นอีก และจะต้องมีการรักษากฎหมายบ้านเมืองอย่างเคร่งครัด เพื่อบอกกับชาวต่างชาติได้ว่าเราเป็นประเทศที่มีกติกา นอกเหนือไปจากนั้น คือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยนโยบายการคลังซึ่งต้องรีบทำ รวมถึงการฟื้นฟูธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศ เพราะในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรง"นายพิชิตกล่าว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us