ตลาดรถยนต์นำเข้าอิสระ หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่าเกรย์ มาร์เก็ต ถึงจุดพลิกผันครั้งใหญ่ หลัง เอส.อี.ซี. กรุ๊ป จำกัด เกรย์มาร์เก็ตรายใหญ่ที่สุดของเมืองไทย เจอมรสุมหนัก ผู้บริหารระดับสูงหลบหนีออกนอกประเทศพร้อมเงินก้อนโตอย่างกระทันหัน ทำให้เชื่อกันว่า จะส่งผลให้ตลาดรถยนต์ในเซ็กเมนท์ดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะส่วนแบ่งตลาดที่มีมากกว่า 70% ของเอส.อี.ซี.ฯ จากมูลค่าตลาดรวมกว่า 5,000 ล้านบาท อาจหลุดมือไปอยู่ในอ้อมอกของคู่แข่งที่ เร่งปั้นแบรนด์ขึ้นมาแข่งทั้ง ทีเอสแอล, บีอาร์จี และอีตั้น อิมปอร์ต
การครองตำแหน่งผู้นำตลาดรถยนต์นำเข้าอิสระ มาโดยตลอดของเอส.อี.ซี กรุ๊ป พร้อมกับการขยายสาขาโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการ จำนวนมาก ทำให้ภาพลักษณ์ของเอส.อี.ซี.ฯ เป็นที่น่าเกรงขามของตลาดรถยนต์เมืองไทย ทั้งบริษัทผู้ผลิต จนถึงเกรย์มาร์เก็ตรายอื่นๆ ในแต่ละปีที่ผ่านมา เอส.อี.ซี. สามารถสร้างยอดขายรถยนต์นำเข้ามากกว่า 1,000 คัน พร้อมอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี พร้อมกับฐานลูกค้าในกลุ่มระดับไฮเอนด์มากกว่า 10,000 ราย รถยนต์ที่จำหน่ายส่วนใหญ่มีระดับราคาเริ่มต้นที่กว่า 2 ล้านบาท จนถึงคันละหลายสิบล้านบาท
แต่หลังการหลบออกนอกประเทศของ สมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ ผู้เป็นทั้ง ประธานกรรมการ และผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท เอส. อี. ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ SECC ด้วยปัญหาการเงินส่วนตัว และการนำเงินไปใช้ในการร่วมประมูลและผลักดันโครงการเช่า รถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คันของรัฐบาล ทำให้ เอส. อี. ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทแม่ของ เอส.อี.ซี.กรุ๊ป จำกัดถูกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เครื่องหมาย NP(Notice Peading)
นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวว่า ลูกค้าที่วงเงินมัดจำจองรถยนต์ไว้ เอส.อี.ซี.ฯ ขอเงินคืนรวมกันกว่าร้อยล้านบาท หลังทราบข่าวคราวดังกล่าว ส่งผลให้ผลดำเนินงานในปีนี้ของ เอส.อี.ซี.พลาดเป้าที่วางไว้คือราวๆ 1,000 คัน
ขณะที่ผลการดำเนินงานรวมประจำไตรมาส 3 ของปีนี้ เอส.อี.ซี.มีกำไรสุทธิเท่ากับ 10.25 ล้านบาท ลดลงในอัตราร้อยละ 8.84 จากงวดเดียวกันของปี 2550 ซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 11.24 ล้านบาท สาเหตุจากรายได้จากการขายรถยนต์ลดลงจาก 591.51 ล้านบาท ในไตรมาส 3ปี 2550 เหลือ390.18 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2551 หรือลดลงในอัตราถึงร้อยละ 34.04 นอกจากนี้ยังเป็นผลจากสภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ทำให้ลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อรถยนต์ ส่งผลต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งหมด รวมถึงตลาดเกรย์ มาร์เก็ตด้วย
สำหรับฐานะการเงินล่าสุดของเอส.อี.ซี.ฯ นั้น ยังมีเงินสดในมือประมาณ 82 ล้านบาท และมีสินทรัพย์หมุนเวียน 1,974 ล้านบาท ส่วนหนี้สินหมุนเวียน 900 ล้านบาท วัดค่า Current Ratio เท่ากับ 2.19 เท่าแสดงว่าสภาพคล่องยังมีเหลือ แต่ถ้าประสิทธิภาพในการทำกำไรมีสัญญาณว่าจะลดลง
สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้คาดการณ์ว่า จะส่งผลต่อตลาดรวมของ เกรย์มาร์เก็ต โดยเฉพาะความเชื่อมั่นของลูกค้าต่อผู้ประกอบการ ทั้งเอส.อี.ซี.กรุ๊ป และเกรย์มาร์เก็ต รายอื่นๆ โดย อัจฉรีย์ ตันติยันกุล ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาดบริษัท อีตั้น อิมปอร์ท จำกัด มองว่า เหตุการณ์นี้จะทำให้ภาพลักษณ์ส่วนหนึ่งของเกรย์มาร์เก็ตติดลบในสายตาของผู้บริโภค โดยผู้บริโภคเกิดความไม่เชื่อมั่น และกังวลเมื่อจะตัดสินใจซื้อรถสักคัน อย่างไรก็ตามในแง่บวกก็คือการที่ผู้เล่นรายใหญ่ประสบปัญหาก็ทำให้ผู้บริโภคที่กำลังตัดสินใจซื้อกับค่ายใหญ่หันมามองตัวเลือกอื่นในตลาด
“ปัญหาที่เกิดขึ้น ส่งผลกับผู้บริโภคในแง่ของการตัดสินใจซื้อ และความเชื่อมั่นในส่วนของทะเบียนของตัวรถว่าจะได้จริงหรือไม่อย่างไร ซึ่งในส่วนของอีตั้นได้สร้างความเชื่อมั่นกับผู้ที่ซื้อรถด้วยการให้คำมั่นสัญญาและพยายามดำเนินการเรื่องทะเบียนให้เร็วที่สุด “อัจฉรีย์ กล่าว
ส่วนการดำเนินงานของอีตั้น อิมปอร์ทในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าเป็นไปตามกระแสของสภาพเศรษฐกิจ โดยยอดขายรวม 3 ไตรมาสถือว่าเป็นไปตามเป้าที่ได้วางไว้ ซึ่งคาดว่ามีอัตราการเติบโต 15 % ส่วนไตรมาสสุดท้ายยังไม่สามารถสรุปผลการดำเนินงานได้ เนื่องจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นกระทบกับอารมณ์การจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค ที่แม้ว่าจะมีกำลังซื้อแต่ก็ยังชะลอเพื่อรอดูสถานการณ์
อย่างไรก็ตาม อีตั้นได้แก้เกมตลาด ด้วยการเตรียมกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้มีการมอบแคมเปญพิเศษ ส่วนลดและของแถมในส่วนต่างๆ รวมถึงเน้นการบริการ ตรวจเช็คฟรี 25 รายการ นอกจากนั้นยังเตรียมเปิดตัวรถรุ่นใหม่สู่ตลาดในช่วงปลายเดือนนี้ ในรุ่น ฮอนด้า โอดิสซี ซึ่งเป็นรถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง และแผนในปีหน้าจะส่งรถในรุ่น นิสสัน คิวบ์ ซึ่งเป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็ก และ นิสสัน แฟร์เลดี้ รถยนต์สปอร์ตคาร์
ขณะที่การแข่งขันของเกรย์มาร์เก็ตในปีหน้า ยังคงแข่งขันกันต่อเนื่อง ผู้เล่นแต่ละรายต่างต้องหากลยุทธ์ออกมาสู้กันอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะรักษากลุ่มลูกค้าของตนเอง ซึ่งปัจจัยที่สำคัญที่จะทำให้เกรย์มาร์เก็ตประสบความสำเร็จนั้น กลยุทธ์เรื่องการบริการถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์จากแหล่งข่างในอุตสาหกรรมยานยนต์ว่า ส่วนแบ่งตลาดจำนวนมากที่อยู่ในมือของ เอส.อี.ซี. กรุ๊ป จะค่อยๆ ถูกคู่แข่งสำคัญ ทั้ง อีตั้น อิมปอร์ต, ทีเอสแอล, บีอาร์จี และเกรย์มาร์เก็ตรายย่อย ช่วงชิงไปมากพอสมควร โดยเฉพาะ 3 รายหลักที่กล่าวมานั้น ต่างเร่งขยายตัวทั้งบริการหลังการขาย การเปิดโชว์รูมให้บริการถึงเที่ยงคืน รวมถึงการเพิ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์นำเข้ารุ่นใหม่ๆ ในเซกเมนต์รถยนต์ขนาดเล็ก และรถยนต์กลุ่มซูเปอร์คาร์
ไพบูลย์ สุขสุธรรมวงศ์ กรรมการผู้จัดการ เอส.อี.ซี. กรุ๊ป จำกัดมองว่า บริษัทอาจสูญเสียความเชื่อมั่น และส่วนแบ่งตลาดที่มีอยู่ไปบ้าง แต่ยังมั่นใจในความแข็งแกร่งด้านบริการของ เอส.อี.ซี.ฯ ที่ยังสามารถตอบสนองลูกค้า และมีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ซึ่งพร้อมจะให้ความช่วยเหลือบริษัทในส่วนที่เสียหายจากเหตุการณ์ครั้งนี้
ขณะที่ สุรีย์ภรณ์ อุดมผลวณิช รองประธานกรรมการ ทีเอสแอล ออโต้ คอร์ปอเรชั่น บอกว่า เศรษฐกิจ และการเมืองที่ผันผวนในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อทุกอุตสาหกรรม รวมทั้งรถยนต์นำเข้า นอกจากนี้ค่าเงินบาทที่อ่อนตัว ความต้องการที่ลดลง และผู้ประกอบการรายใหม่ที่เพิ่มขึ้น ล้วนมีผลต่อตลาดเกรย์มาร์เก็ตทั้งสิ้น
สำหรับทีเอสแอลนั้น ที่ผ่านมานอกจากการตอนสนองความต้องการลูกค้าด้วยรถยนต์รุ่นใหม่แล้ว ยังมีการ ใช้แคมเปญต่างๆ เพื่อสร้างความใกล้ชิดกับลูกค้า เช่นการมอบสิทธิพิเศษแก่สมาชิก ทีเอสแอลผ่าน Grand Suite Card ด้วยการจัดกิจกรรม ดูหนังรอบพิเศษที่โรงหนัง Enigma @ Siam Paragon ฟรี คอนเสริต์จากนักร้องชื่อดัง รวมไปถึงกิจกรรมทำอาหาร ชิมไวน์ และอื่นๆ อีกมากมาย และกิจกรรมล่าสุด คือ แคมเปญ”ขับสองมือ”ในการร่วมมือระหว่าง ทีเอสแอลฯ และ Plantronic ผู้นำด้านชุดหูฟังเพื่อการสื่อสาร ในการรณรงค์ให้ผู้ขับขี่ใช้ระหว่างขับรถ เป็นต้น
ทั้งนี้ตลาดรถยนต์นำเข้าอิสระส่วนใหญ่ เป็นรถยนต์ในกลุ่มรถนั่งอเนกประสงค์ หรือเอ็มพีวี ขนาดใหญ่ อาทิ โตโยต้า อัลพาร์ด เกรย์มาร์เก็ตทุกค่ายต่าง นำรถยนต์รุ่นนี้เข้ามาจำหน่ายเหมือนกัน ความแตกต่างอยู่ที่อุปกรณ์ตกแต่งของผู้นำเข้าแต่ละราย ราคาก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านต้องถือว่า เอส.อี.ซี.ฯ จะตั้งราคาสูงกว่าคู่แข่งในหลายๆ รุ่น ดังนั้นนอกเหนือจากรถยนต์ในกลุ่มเอ็มพีวี แล้ว เอส.อี.ซี.ฯ จะเน้นทำตลาดรถยนต์นำเข้าจากแถบยุโรปเป็นส่วนใหญ่ เช่น เมอร์เซเดส-เบนซ์, บีเอ็มดับเบิลยู, มินิ และเฟียต เป็นต้น โดยระดับราคาจะอยู่ที่ 3 ล้านบาทขึ้นไป
ส่วนค่ายคู่แข่งทั้ง อีตั้น, ทีเอสแอล และ บีอาร์จี นั้น ระยะหลังเริ่มหันมาทำตลาดรถยนต์ขนาดเล็ก จากญี่ปุ่น เมื่อนำเข้ามาแล้วจะมีราคาไม่สูงนักคือ เฉลี่ยอยู่ที่คันละประมาณ 2 ล้านบาท ซึ่งนอกจากเป็นการขยายฐานลูกค้ารถยนต์นำเข้า มายังกลุ่มลูกค้าระดับกลางแล้ว ยังเป็นการพลิกแพลงสถานการณ์ตามสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำอีกด้วย
การเผชิญมรสุมภายในของ เอส.อี.ซี.ฯ กรุ๊ปครั้งนี้ น่าจะเป็นโอกาสครั้งสำคัญให้กับ เกรย์ มาร์เก็ต คู่แข่งในการสร้างชื่อ และยอดขาย ซึ่งในที่สุดแล้วต้องดูว่า เอส.อี.ซี.ฯจะจัดการกับปัญหาภายในครั้งนี้เช่นไร เพื่อให้ยังคงรักษาบัลลักค์ ผู้นำตลาดรถยนต์เกรย์ มาร์เก็ต ที่สร้างมาอย่างยาวนานได้
|