|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เวียดนามเป็นประเทศอันดับที่ 6 ของโลกที่นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในปัจจุบัน และทวีความมีเสน่ห์ดึงดูดมากขึ้นเมื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิก WTO
ภาพประเทศเวียดนามที่ประสพความยากจนจากภาวะสงครามกับสหรัฐอเมริกาดูเหมือนว่าได้กลายเป็นอดีต ที่จะเล่าขานกันบ้างก็อยู่เพียงบนจอภาพยนตร์
แต่เวียดนามในปัจจุบันกำลังก่อร่างสร้างเมืองใหม่ให้ก้าวทันโลกและเริ่มพิสูจน์ให้เห็นด้วยอัตราการเติบโตจีดีพีในช่วงระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา จากจีดีพีเริ่มที่ 6.75% ในปี 2543 ไต่ระดับไปเป็น 7.7% ในปี 2547 และคงระดับจีดีพี 3 ปีให้หลังอยู่ระดับที่ร้อยละ 8
สิ่งที่ตอกย้ำความเจริญก้าวหน้าของเวียดนามได้เป็นอย่างดีเมื่อล่าสุดองค์การการค้าโลก (WTO) ได้รับเวียดนามให้เป็นสมาชิกเมื่อเดือนมกราคม 2550 ที่ผ่านมา นั่นหมายความว่า โลกทั้งโลกกำลังอ้าแขนรับเวียดนาม
เวียดนามเป็นเสือเศรษฐกิจที่มีธุรกิจส่งออกเป็นตัวขับเคลื่อนซึ่งในแต่ละปีมีการส่งออกร้อยละ 20 มีสินค้าหลัก ข้าว กาแฟ มะม่วงหิมพานต์ อิเล็กทรอนิกส์
เท่านั้นยังไม่พอเวียดนามได้สร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อการลงทุนอีกมากมายจึงทำให้หลายประเทศหลั่งไหลเข้าไปเวียดนามและทำให้มีเงินเข้าไปลงทุน17,800 ล้านเหรียญสหรัฐ
ปัจจุบันเวียดนามกลายเป็นประเทศที่มีนักลงทุนสนใจลงทุนเป็นอันดับที่ 6 ของโลก และเป็นอันดับที่ 3 อาเซียน
เม็ดเงินของต่างชาติที่เข้าไปลงทุนในธุรกิจหลากหลาย อาทิ ก่อสร้าง โรงงานถลุงเหล็ก โรงงานกลั่นน้ำมัน ที่อยู่อาศัย ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของสำนักงานการลงทุนต่างประเทศ (Foreign Investment Agency : FIA) กระทรวงการลงทุนและแผนประเทศเวียดนาม
Tran Hoa Binh เจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายความร่วมมือสนับสนุนการลงทุนระหว่างประเทศ สำนักงาน FIA ในฐานะตัวแทนเดินทางเข้ามาให้ข้อมูลนักลงทุนไทยเพื่อลงทุนในเวียดนามหลายครั้ง และเขาก็คาดหวังว่าประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศหลักๆ ที่ลงทุนในเวียดนาม
ล่าสุดเขาได้มาร่วมในงานสัมมนา "เปิดโลกการลงทุนเวียดนาม 360 องศา" ที่จัดขึ้นโดยธนาคารกสิกรไทยและสมาคมสโมสรนักลงทุนและบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน)
จักก์ชัย พานิชพัฒน์ นายกสมาคมสโมสรนักลงทุน บอกว่าเขาได้เดินทางไปเวียดนามหลายครั้งหลายคราว ได้เห็นการเจริญเติบโตของเวียดนามอย่างน่าอิจฉาและยังหวาดวิตกว่าเวียดนามจะเจริญเติบโตกว่าประเทศไทยในไม่ช้าเหมือนกับประเทศจีนที่แซงประเทศไทยไปเรียบร้อยแล้ว
แม้ว่าเวียดนามจะเป็นคู่แข่งของไทยอยู่ในที ทว่าเวียดนามยังต้องพัฒนาประเทศอีกมากเพราะเป็นประเทศใหม่ที่ยังต้องการการลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศเกือบทุกด้านโดยเฉพาะการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะไม่เป็นประเทศ 1 ใน 10 ที่ลงทุนในเวียดนามมากที่สุด แต่ที่ผ่านมาประเทศไทยเข้าไปลงทุนจำนวน 182 โครงการ แบ่งเป็นธุรกิจอุตสาหกรรม 117 โครงการ ธุรกิจบริการ 36 โครงการ และธุรกิจเกษตรกรรม ป่าไม้ ประมง 26 โครงการ
ประเทศไทยเข้าไปลงทุนในเวียดนามมูลค่า 1,560 ล้านเหรียญสหรัฐ และยังมีโอกาสของนักลงทุนไทยยังมีอีกหลายภาคธุรกิจที่สามารถลงทุนในเวียดนาม อาทิ สินค้าเกษตรแปรรูป เฟอร์นิเจอร์ พลาสติก อสังหาริมทรัพย์ ค้าปลีก ท่องเที่ยว โรงแรม
แต่สิ่งที่นักลงทุนไทยต้องเรียนรู้คือข้อมูลทางด้านธุรกิจ การตลาด การเงิน เพิ่มมากขึ้นเพราะนักลงทุนไทยยังเรียนรู้ตลาดเวียดนามน้อยมากเมื่อเทียบกับไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศอันดับต้นๆ ที่ลงทุนในเวียดนามในปัจจุบัน
นอกเหนือจากภาพการตลาดโดยรวมที่ต้องศึกษาอย่างละเอียดถ่องแท้ สิ่งที่ต้องคำนึงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าธุรกิจคือการเรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณีและวิถีการดำเนินชีวิตของเวียดนามเพื่อให้เข้าใจถึงความต้องการของประชากรเวียดนามอย่างแท้จริง
สิ่งที่ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้าไปลงทุนส่วนหนึ่งมาจากประชากร 85 ล้านคน และประชากร 45 ล้านคนมีอายุต่ำกว่า 30 ปี เป็นรุ่นใหม่วัยทำงานที่ต้องการเปลี่ยนแปลง
ระบบการเมืองที่ดูแลโดยพรรคเดียว ทำให้เวียดนามมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้นเพราะกฎระเบียบสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ทันสมัยได้อย่างรวดเร็วโดยเฉพาะเงื่อนไขการลงทุนที่มีให้กับต่างชาติ
และแม้ว่าเวียดนามจะประสบภาวะเงินเฟ้อกว่า 26% รวมทั้งเกิดเหตุการณ์วิกฤติการเงินในสหรัฐอเมริกา แต่เวียดนามได้รับผลกระทบน้อยเพราะพื้นฐานเศรษฐกิจภายในมีขนาดใหญ่มีเงินลงทุนสูงจากต่างประเทศทำให้รอดพ้นวิกฤติไปได้
ข้อตกลงกับองค์การการค้าโลกจะส่งผลให้ต่างชาติเข้าไปลงทุนในเวียดนามและมีโอกาสเป็นเจ้าของธุรกิจมากขึ้น โดยสามารถถือหุ้นได้ 100% และจะเริ่มเห็นปรากฏการณ์นี้ในต้นปี 2552
ภาษีเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นการลงทุนให้กับต่างชาติ ซึ่งเวียดนามเตรียมลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 25% จากเดิม 28% โดยมีผลตั้งแต่เดือนมกราคม 2552 และยังจูงใจลดภาษีให้อีกกรณีที่มีการลงทุน 15 ปี ลดภาษี 10% แต่ถ้าลงทุน12 ปี ลดภาษี 15% หรือลงทุน 10 ปี ลดภาษี 20% แต่เงื่อนไขเหล่านี้ขึ้นอยู่กับธุรกิจและพื้นที่ที่ลงทุน
ซึ่งพื้นที่จะแบ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ (Economic Zone) และพื้นที่อุตสาหกรรม (Industrial Parks)
พื้นที่เศรษฐกิจจะกระจายไปอยู่ตามเมืองและจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศมีทั้งหมด 11 แห่ง เช่น Chu Lai Dung Quat Nhon Hoi Van Don เป็นต้น
ปัจจุบันพื้นที่เศรษฐกิจมีนักลงทุนต่างชาติลงทุน 62 โครงการ มีเงินลงทุน 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนพื้นที่อุตสาหกรรมมีทั้งหมด 183 แห่ง มีโครงการลงทุนต่างประเทศมากกว่า 3,020 โครงการ มูลค่าการลงทุน 29.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ
กฎระเบียบเงื่อนไขในการขอใบอนุญาตดำเนินกิจการหรือนำเงินมาลงทุนประมาณ 19 ล้านเหรียญสหรัฐ จะทราบผลภายใน 45 วัน ซึ่งเป็นระเบียบที่เวียดนามได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงภายใต้เงื่อนไขของ WTO
และภายใต้เงื่อนไขของ WTO เวียดนามได้กำหนดเป้าหมายหลักว่าจะรักษาการเติบโตจีดีพี 8% ในระยะเวลา 5 ปี (ตั้งแต่ 2549-2553) และจีดีพีต่อประชากรหนึ่งคนจะอยู่ระหว่าง 1,050-1,100 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ
ประเทศเวียดนาม จึงเป็นประเทศที่น่าลงทุนมากประเทศหนึ่งในทศวรรษนี้ขึ้นอยู่กับว่าใครมองโอกาสได้ทะลุมากกว่ากัน
|
|
|
|
|