นับย้อนหลังไปประมาณ 4 เดือนประเทศลาวเพิ่งจะมีนโยบายการธนาคารฉบับแรกที่
เป็นรูปเป็นร่างอกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด หลังจากที่ได้ใช้เวลาประชุมเครียดเหล่าธนาคารทั่วประเทศนานถึง
7 วัน จนได้ออกมาเป็นมติของสภารัฐมนตรีว่าด้วยเรื่องหลัก 3 เรื่องด้วยกันคือ
นโยบายสินเชื่อ และนโยบายว่าด้วยการปริวรรตเงินตราต่างประเทศ
ความน่าสนใจของลาวไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีนโยบายทางกฎหมายออกมาแน่ชัด
แต่ก่อนหน้าที่จะมีตัวบทกฎหมายออกมาอย่างที่ว่า ก็ได้มีบรรดานายธนาคารไทยทั้งที่เป็นธนาคารยักษ์ใหญ่และไม่ใหญ่ตั้งแต่ธนาคารกรุงเทพ
ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทยและอีกหลายธนาคารพากันแวะเวียนข้ามโขงไปเยือนลาวครั้งแล้วครั้งเล่า
เพื่อศึกษาลู่ทางในการทำธุรกิจภายใต้ระบบธนาคารกับลาว รวมทั้งเชื้อเชิญบรรดานายธนาคารของลาวให้มาเรียนรู้ระบบธนาคารไทย
แต่สุดท้ายทางการของลาวกลับอนุมัติการเปิดธนาคารที่เป็นของไทยในลาวเพียง
2 แห่ง คือสำนักงานตัวแทนของ ธนาคารทหารไทยแห่งหนึ่งกับอีกแห่งหนึ่งซึ่งได้เป็นใบอนุญาตเปิดธนาคารทั้ง
ๆ ที่ไม่มีประสบการณ์การทำธุรกิจธนาคารมาก่อน
"ทางแบงก์ชาติของลาวที่ไม่เห็นพูดถึงเลยว่าต้องผ่านการทำแบงก์มาก่อน
จุดสำคัญอยู่ที่วาต้องมีทีมงานที่มีความรู้ความชำนาญต่างหาก" คุณหญิงสุวรรณี
พัวไพโรจน์ เจ้าของใบอนุญาตแบงก์ต่างประเทศในลาวซึ่งมีอยู่เพียงแห่งเดียวในขณะนี้กล่าวกับ
"ผู้จัดการ"
ธวัช คันธเศรษฐี อดีตผู้จัดการธนาคารเมอร์แคนไทล์ สาขาอโศก ซึ่งมีความชำนาญในการทำธุรกิจธนาคารมาหลายสิบปีคือบุคคลหนึ่งที่คุณหญิงกล่าวถึง
รวมทั้งการที่ได้พี่เลี้ยงที่ดีอย่างสหธนาคารเข้ามาให้คำปรึกษา ร่วมฝึกอบรมเจ้าหน้าที่จากลาวในหลักสูตรรวบรัดจนสามารถเปิดให้บริการได้เมื่อวันที่
3 ตุลาคมที่ผ่านมานี้ ภายใต้ชื่อของธนาคาร "ร่วมพัฒนา"
ธนาคารไทยสัญชาติลาวที่มีคนไทยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ถึง 70% ขณะที่ธนาคารแห่งรัฐของลาว
(แบงก์ชาติลาว) เข้าถือหุ้นในส่วน 30% ที่เหลือ
ข้อแตกต่างของธนาคารร่วมพัฒนาซึ่งถือเป็นธนาคารเอกชนแห่งแรกของลาวกับธนาคารพาณิชย์ของรัฐที่มีอยู่
2 แห่งในเมืองเวียงจันทร์อันได้แก่ ธนาคารเชษฐาธิราชกับธนาคารนครหลวงกำแพงนครเวียนจันทร์ที่เห็นได้ชัดคือเรื่องอัตราดอกเบี้ย
ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารร่วมพัฒนาจะอยู่ในเรทระหว่าง
8% สำหรับเงินฝากประหยัด (ออมทรัพย์) ส่วนเงินฝากประจำ จะเริ่มตั้งแต่ 20%
ขึ้นไป จนถึง 26% ขณะที่ธนาคารของรัฐเงินฝากประหยัดจะตกประมาณ 24% และเงินฝากประจำตั้งแต่
30%-36% ยกเว้นอันตราดอกเบี้ยเงินฝากรายวัน (กระแสรายวัน) ที่ธนาคารร่วมพัฒนาให้ถึง
2% แต่ธนาคารของรับให้เพียง 1.2%
ขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารร่วมพัฒนาอยู่ในระดับ 28-30% ต่ำกว่าธนาคารของรัฐที่จะปล่อยกู้ให้กับธุรกิจต่าง
ๆ ในอัตราเริ่มต้นจาก 24% ขึ้นไปสำหรับเงินกู้ระยะยาว จนถึงสูงสุด 42% สำหรับเงินกู้ระยะสั้น
แต่ทั้ง ๆ ที่ธนาคารร่วมพัฒนาให้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าธนาคารของรัฐ สิ่งที่ปรากฎในวันเปิดทำการของธนาคารวันแรกก็คือ
ยอดเงินฝากทั้งที่เป็นเงินบาทาและเงินกีบจากทั้งพ่อค้านักธุรกิจชาวไทย่และลาวกลับแซงหน้าระบบธนาคารของรัฐเสียอีก
ท่านเลื่อน เสนาขันธ์ รองประธานธนาคารแห่งรัฐของลาวเปิดเผยถึงปริมาณเงินฝากในระาบบธนาคารพาณิชย์ในขณะนั้นว่า
มีเงินฝากจากประชาชนเพียง 20 ล้านกีบเท่านั้น ขณะที่อีกกว่า 1,000 ล้านกีบนั้นมาจากยอดเงินฝากของรัฐวิสาหกิจในขณะที่ยอดเงินฝากของธนาคารร่วมพัฒนาที่เป็นของเอกชนล้วน
ๆ นั้นมีถึง 300 ล้านกีบกับอีก 7 ล้านบาทไทย (ประมาณเกือบ 200 ล้านบาท) ซึ่งบรรดาแขกของคุณหญิงสุวรรณีทีข้ามจากฝั่งไทยไปร่วมงานพากันเปิดบัญชีเอาไว้
หมายความว่า เพียงวันเดียวธนาคารร่วมพัฒนาสามารถระดมเงินออมได้เท่ากับครึ่งหนึ่งของเงินออมทั้งระบบในลาวเลย
ว่ากันว่าความสำเร็จที่ธนาคารร่วมพัฒนาได้รับ เป็นจุดที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในวงการธนาคารพาณิชย์ของลาวเพราะนับแต่นี้ไป
ธนาคารพาณิชย์ของรัฐซึ่งแต่เดิมไม่เคยทำเรื่อกงารตลาดเท่าไรนักจะหันมาใช้การตลาดเป็นตัวนำร่องบ้าง
โดยขณะนี้ทางธนาคารแห่งรัฐของลาวกำลังอยู่ในช่วงของการศึกษาเรียนรู้อยู่
โดยมีแบงก์ไทยอีกแห่งคือธนาคารทหารไทยทำหน้าที่เป็นกุนซือให้
แต่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลันก็คือ เพียงธนาคารร่วมพัฒนาเปิดตัวได้ไม่นาน
หนึ่งอาทิตย์คล้อยหลังเท่านั้น ธนาคารการค้าต่างประเทศของลาว ซึ่งแต่เดิมดำเนินงานในรูปแบบธนาคารเฉพาะกิจ
ทางด้านอิมปอร์ต-เอ็กซปอร์ตเพียงอย่างเดียว เกี่ยวกับเรื่องแอล/ซี การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจและเอกชนที่ต้องติดต่อธุรกิจกับประเทศอื่น
ขณะนี้ได้ปรับเปลี่ยนโฉมหน้า หันมาทำธุรกิจรับฝากเงินจากประชาชนทั่วไปกับเขาด้วยแล้ว
ที่สำคัญก็คืออัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารการค้าต่างประเทศของลาวให้แก่ผู้มาฝากเงินนั้น
เป็นอัตราเดียวกับที่ธนาคารร่วมพัฒนาใช้อยู่ในปัจจุบันเช่นเดียวกันทุกประการ