|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
การลงทุนในการค้า carbon credit มีความเสี่ยงสูงและซับซ้อน แต่ตลาดนี้ก็ยังนับว่าดีกว่าตลาดอื่นๆ โดยมาก
ถ้าการลงทุนในตลาดหุ้นปัจจุบันกำลังทำให้คุณผิดหวัง บางทีอาจถึงเวลาที่จะลองสิ่งใหม่ๆ ที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง ลองดูตลาดนี้หน่อยเป็นไง ตลาดที่มีมูลค่า 96,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสร้างขึ้นจากเพียงคำมั่นสัญญาที่จะลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ตลาดที่ว่านี้คือธุรกิจการซื้อขาย carbon credit กำลังเติบโตอย่างสูง จุดประสงค์หลักของตลาดนี้คือการแก้ปัญหาโลกร้อน ด้วยการกระตุ้นการซื้อขายสินค้าทางการลงทุนใหม่เอี่ยมอ่องที่เรียกว่า carbon-emissions reduction credit หรือเรียกสั้นๆ ว่า carbon credit ถ้าคุณคิดว่านี่เป็นความคิดที่น่าหัวเราะ ลองดูข้อมูลนี้ตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึง 15 ตุลาคมที่ผ่านมา มูลค่าของดัชนี carbon credit ซึ่งขณะนี้คุณสามารถจะเข้าซื้อเจ้าสิ่งที่เรียกว่า carbon credit นี้ได้ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก โตขึ้นถึง 5.4%
ยิ่งกว่านั้น เกือบทุกคนต่างคาดว่า การซื้อขาย carbon credit จะฟู่ฟ่าอย่างแท้จริงแน่ ทันทีที่รัฐบาลสหรัฐฯ ออกกฎควบคุมก๊าซเรือนกระจก หลังจาก Barack Obama ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคมปีหน้า (ทั้ง Obama และ John McCain คู่แข่งของเขา ต่างสัญญาจะออกกฎคุมเข้มก๊าซเรือนกระจกในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปีนี้) อย่างไรก็ตาม ในทำนองเดียวกัน หากสหรัฐฯ ไม่ยอมคุมเข้มก๊าซเรือนกระจกจริง ตลาดนี้ก็อาจตายไปก็ได้เช่นเดียวกัน เพราะนี่คือ “ตลาดที่ขึ้นอยู่กับการเมือง” นักวิเคราะห์จากบริษัทที่ปรึกษา Point Carbon ชี้ ฉะนั้นจึงไม่อาจดึงการเมืองออกจากตลาดนี้ได้
การซื้อขาย carbon credit มีต้นกำเนิดมาจากการเมืองจริงๆ ในปี 2000 ธนาคารโลกภายใต้ประธานคนก่อนคือ James Wolfensohn ได้จัดตั้งกองทุนใหม่ที่เรียกว่า Prototype Carbon fund โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลแคนาดา ฟินแลนด์ ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน และอีก 17 บริษัท ซึ่งรวมถึง BP, Deutsche Bank และ Mitsubishi กองทุนที่มีเงิน 135 ล้านดอลลาร์นี้ ลงทุนในการรักษาป่าในโรมาเนีย โรงไฟฟ้าพลังน้ำในคอสตาริกาและทุ่งกังหันลมในจีน โครงการทั้งหมดนี้มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันการแพร่ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ไม่ให้เข้าสู่ชั้นบรรยากาศของโลก และเจ้าของโครงการเหล่านี้จะได้รับ carbon credit 1 หน่วยต่อ 1 ตันของคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ที่พวกเขาได้ป้องกันไม่ให้มันแพร่ขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศได้
เมื่อสหภาพยุโรป (EU) เริ่มออกกฎเกณฑ์ควบคุมการแพร่ก๊าซเรือนกระจกในปี 2005 carbon credit พวกนี้ก็กลายเป็นสิ่งที่มีราคาทันที แทนที่จะจำกัดการแพร่ก๊าซเรือนกระจกด้วยตัวเอง บริษัทต่างๆ ได้รับอนุญาตให้ซื้อ carbon credit แทน ยกตัวอย่างเช่น บริษัทที่ผลิตกระแสไฟฟ้าจากถ่านหิน ซึ่งเป็นตัวการแพร่ก๊าซเรือนกระจก สามารถจะซื้อ carbon credit ซึ่งจะนับเป็นสิ่งที่ไม่ผิดกฎเกณฑ์การควบคุมการแพร่ก๊าซเรือนกระจกของ EU ถ้าหากว่าการซื้อ carbon credit จะช่วยให้บริษัทเสียค่าใช้จ่ายถูกกว่าที่จะต้องเปลี่ยนจากการใช้ถ่านหินซึ่งแพร่ก๊าซเรือนกระจก ไปใช้พลังงานสะอาดเช่นก๊าซธรรมชาติในการผลิตกระแสไฟฟ้า
ตัวของ Wolfensohn เอง ซึ่งออกจากตำแหน่งประธานธนาคารโลกในปี 2005 ยังคงมีบทบาทสำคัญในตลาดค้า carbon credit เขาและบุตรชายคือ Adam เป็นนักลงทุนในบริษัทเกิดใหม่ชื่อ Verdeo ซึ่งมีจุดประสงค์ที่จะสร้าง carbon credit ในสหรัฐฯ บรรดาสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ก็มองเห็นโอกาสเช่นเดียวกัน ในปีนี้ J.P. Morgan Chase ได้ซื้อ ClimateCare บริษัทที่จัดทำโครงการลดก๊าซเรือนกระจกในอังกฤษ ซึ่งสร้าง carbon credit ด้วยการทำให้ชาวบ้านในอูกันดาใช้เตาถ่านหรือเตาฟืน (เตาถ่านจะใช้ไม้น้อยกว่า จึงช่วยลดการแพร่ก๊าซเรือนกระจก) ส่วน Goldman Sachs ก็ลงทุนในบริษัทจัดทำโครงการลดคาร์บอนชื่อ Natsource เพื่อลดก๊าซพิษในอุตสาหกรรมของโรงงานเคมีต่างๆ ในจีน ส่วน Greenhouse Gas Services บริษัทร่วมทุนของ General Electric (GE) กับบริษัทผลิตไฟฟ้า AES ก็เพิ่งลงนามข้อตกลงสร้าง carbon credit สำหรับเว็บไซต์ชื่อดัง Google ซึ่งเริ่มต้นด้วยโครงการจำกัดก๊าซมีเทนในที่ฝังกลบขยะในรัฐ North Carolina (Google ต้องการ carbon credit เพราะได้ออกปากให้สัญญาว่าจะเป็นธุรกิจที่ปลอดคาร์บอน)
ผู้บริหารของ GE ที่ดูแลบริษัทที่ร่วมลงทุนกับ AES ชี้ว่า การซื้อขาย carbon credit กำลังกลายเป็นตลาดที่ใหญ่โตมโหฬาร และยืนยันว่า GE คงจะไม่กล้าลงทุนในธุรกิจใด หากว่าธุรกิจนั้นบูมเพียงแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว
แล้วถ้าคุณสนใจจะลงทุนในตลาดพลังงานสะอาดจะทำอย่างไร มีบริษัทที่ผลิต carbon credit ในอังกฤษหลายแห่ง รวมถึง CAMCO GLOBAL (CAO) และ ECOSECUTIRIES (ECO) ที่ซื้อขายกันในตลาดการลงทุนทางเลือกในตลาดหุ้นลอนดอน นอกจากนี้นักลงทุนรายย่อยยังสามารถจะลงทุนในตลาดคาร์บอนได้ โดยผ่านกองทุนดัชนีอย่าง BARCLAYS IPATH GLOBAL CARBON ETN (GRN) ซึ่งเพิ่งเริ่มซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเมื่อเดือนมิถุนายนปีนี้
อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นประเภทนี้มีความเสี่ยงสูงมาก Ken Newcombe ผู้บริหารกองทุนคาร์บอนของธนาคารโลก และดูแลการค้า carbon credit ที่ Goldman Sachs กล่าวเตือน ในขณะที่ตัวเขาเองกำลังจะเปิดบริษัทใหม่ของตัวเองเพื่อซื้อขาย carbon credit และยังเตือนอีกว่า การลงทุนในบริษัทพลังงานสะอาดต้องมีความรู้เรื่องกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับการควบคุมปัญหาโลกร้อน และมีความสามารถในการจัดการความเสี่ยงดังกล่าวซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก และเช่นเดียวกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ หากราคา carbon credit สูงขึ้น ก็มิได้หมายความถึงความเจริญรุ่งเรืองของบริษัทพลังงานสะอาดเสมอไป
แม้แต่นักลงทุนที่เก่งฉกาจก็ยังอาจเจ็บตัวได้ Credit Suisse ซื้อหุ้น 9.9% ใน EcoSecurities เมื่อปี 2007 ด้วยเงิน 59 ล้านดอลลาร์ บริษัทซึ่งก่อตั้งเมื่อ 10 ปีก่อนโดยอดีตเจ้าหน้าที่ป่าไม้ชาวบราซิลชื่อ Pedro Moura Costa แห่งนี้ ไม่สามารถสร้าง carbon credit ได้ตามที่คาด หุ้นของ Credit Suisse ในบริษัทนี้มีราคา 12 ล้านดอลลาร์ในขณะนี้ AgCert บริษัทสร้าง carbon credit ในอังกฤษ ถึงกับล้มละลายเมื่อต้นปีนี้ ส่วน Econergy International บริษัทพลังงานหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่และเจ้าของโครงการสร้าง carbon credit เพิ่งตกลงขายกิจการในราคาที่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของมูลค่าตามราคาตลาดของบริษัท เมื่อครั้งที่เริ่มเป็นบริษัทมหาชนในปี 2006
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนที่มีความอดทนพอและเต็มใจที่จะเสี่ยง รวมทั้งเตรียมตัวทำการบ้านมาแล้วอย่างดี ตลาดคาร์บอนก็อาจเป็นโอกาสการลงทุนครั้งใหญ่ นักวิเคราะห์จาก Mirabaud Securities ในลอนดอนชี้ว่า โดยพื้นฐานแล้ว ตลาดนี้น่าสนใจมาก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นกำลังย่ำแย่อย่างตอนนี้ และยืนยันว่า EcoSecurities และ Camco ถูกประเมินค่าต่ำเกินจริง
แต่การประเมินค่าธุรกิจที่เพิ่งตั้งไข่นี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้ง EcoSecurities และ Camco ต่างก็ไม่ทำเงิน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก งานสร้าง carbon credit เป็นงานที่ยากมาก ต้องใช้เวลาและลงทุนมาก บริษัททั้งสองจ้างพนักงานเกือบ 300 คนทั่วโลก เพื่อคอยมองหาวิธีถูกๆ ในการลดการแพร่คาร์บอน ทันทีที่พวกเขาสร้างโครงการลดการแพร่คาร์บอนได้ ก็จะต้องนำโครงการนั้นไปรับอนุมัติจากคณะกรรมการที่ควบคุมดูแลกฎเกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ในสหประชาชาติ ซึ่งทำงานช้ามาก ระหว่างที่รอการอนุมัตินั้น ค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่บริษัทจะได้รับอนุมัติ carbon credit ที่จะนำมาขายในตลาดคาร์บอนในยุโรปได้
Camco ซึ่งขาดทุน 32.6 ล้านดอลลาร์ตั้งแต่เริ่มขายหุ้นของบริษัทครั้งแรกในตลาดหุ้นเมื่อเดือนเมษายน 2006 บอกว่า จะเริ่มมีเงินสดเหลือภายในสิ้นปีนี้ ส่วน EcoSecurities ซึ่งขาดทุนไปแล้ว 102 ล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่เป็นบริษัทมหาชนในเดือนธันวาคม 2005 ยังไม่ได้บอกว่าบริษัทจะเริ่มมีกำไรเมื่อใด หุ้นของบริษัททั้งสองมีราคาตกลงจากราคา IPO อย่างมากโดย Camco ตกลงเกือบ 40% ส่วน EcoSecurities ตกลงถึง 65%
แต่นักวิเคราะห์จาก Mirabaud ประเมินค่าของบริษัททั้งสองแห่ง ด้วยการวิเคราะห์มูลค่าโครงการลดการแพร่คาร์บอนที่อยู่ในแผนงานของบริษัท ซึ่งเป็นวิธีการเดียวกับที่นักวิเคราะห์พลังงานใช้ประเมินมูลค่าของบริษัทถ่านหินหรือก๊าซธรรมชาติจากแหล่งสำรองของทรัพยากรทั้งสอง หากมองในแง่นี้ ภาพรวมของบริษัททั้งสองก็ดูสดใสไม่เบา EcoSecurities มีธุรกิจที่หลากหลายมาก มีโครงการลดคาร์บอน 408 โครงการใน 34 ประเทศ ซึ่งใช้เทคโนโลยีที่แตกต่างกันถึง 18 ชนิด บริษัทอ้างว่า โครงการเหล่านั้นจะช่วยสร้าง carbon credit ได้ถึง 118 ล้านหน่วยตั้งแต่นี้จนถึงปี 2012 ถ้าคิดตามราคาในวันนี้ carbon credit เหล่านั้นจะมีราคาประมาณ 3.1 พันล้านดอลลาร์ และ Generation Investment Management บริษัท private equity ของ Al Gore อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ร่วมกับ David Blood จาก Goldman Sachs ก็ถือหุ้นในบริษัทนี้ 9.5%
นักวิเคราะห์คนเดิมเชื่อว่า อีกไม่นานโครงการต่างๆ ของ EcoSecurities จะสร้างกระแสเงินสด และทันทีที่บริษัทสามารถแสดงให้เห็นว่าโมเดลธุรกิจแบบนี้ใช้ได้ผล ราคาหุ้นของพวกเขาจะก็สูงขึ้น
แต่ปัญหาคือนี่เป็นเพียงการคำนวณมูลค่าแบบคร่าวๆ เท่านั้น เพราะโครงการลดการแพร่คาร์บอนบางโครงการก็ไม่สามารถสร้าง carbon credit ได้มากเท่าที่คาดไว้ อย่างเช่นโครงการฝังกลบขยะเปียกในประเทศกำลังพัฒนาไม่สามารถป้องกันการแพร่ก๊าซมีเทนได้มากอย่างที่คาด เนื่องจากคนจนไม่กินทิ้งกินขว้างมากเท่ากับคนในชาติตะวันตกที่ร่ำรวย นอกจากนี้ ความล่าช้าที่เกี่ยวกับกฎเกณฑ์การควบคุมคาร์บอนทำให้ต้นทุนสูง และราคา carbon credit ก็ยังผันผวน โดยบางครั้งก็ด้วยเหตุผลที่ยากจะเข้าใจ
แต่สิ่งที่อาจกล่าวได้ว่ามีอิทธิพลมากที่สุดต่อราคา carbon credit คือราคาถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ที่เป็นเช่นนี้เพราะวิธีการที่ง่ายที่สุดในการลดการแพร่คาร์บอนในการผลิตกระแสไฟฟ้าก็คือ การเปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิงที่สะอาดกว่า เมื่อก๊าซธรรมชาติซึ่งสะอาดกว่าถ่านหินมีราคาแพงขึ้น จะกระตุ้นความต้องการ carbon credit ให้มากขึ้น สภาพอากาศก็มีผลต่อราคา carbon credit เช่นกัน หากปีไหนในสเปนมีฝนตกมาก ก็จะทำให้โรงไฟฟ้าพลังน้ำซึ่งปลอดคาร์บอนมีต้นทุนที่ถูกลง ส่งผลให้ความต้องการ carbon credit ลดลง และแน่นอนทำให้ราคา carbon credit ตกลงตามไปด้วย หลังจากปี 2012 ไปแล้ว ซึ่งเป็นเวลาที่สนธิสัญญา Kyoto Protocol เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อนหมดอายุลง ก็จะไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ มาควบคุมคาร์บอนอีก และถ้าหากผู้คุมกฎกังวลเกี่ยวกับสภาพของเศรษฐกิจโลก พวกเขาก็อาจจะยอมผ่อนคลายกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด ซึ่งนั่นอาจเป็นข่าวดีสำหรับคนที่ยังใช้ถ่านหิน แต่จะเป็นข่าวร้ายสำหรับบริษัทอย่าง Camco และ EcSecutiries
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ถ้าหากยุโรป ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ เอาจริงเอาจังกับการควบคุมการแพร่ก๊าซเรือนกระจก และถ้าจีนกับอินเดียเอาด้วย ราคาของการควบคุมการแพร่ก๊าซเรือนกระจกก็จะสูงขึ้น และคุณก็อาจจะเริ่มต้องการลงทุนในดัชนี carbon credit บ้างก็ได้ Barclays, Merrill Lynch และ Dow Jones ต่างก็สร้างดัชนีที่ผูกพันกับราคาของ carbon credit ขึ้นมาแล้ว แต่มีเพียงกองทุนดัชนีที่เรียกว่า exchange-traded note ของ Barclays ซึ่งติดตามราคา carbon credit ในยุโรปเท่านั้น ที่นักลงทุนสามารถเข้าซื้อขายได้แล้ว
แม้ว่าราคา carbon credit ได้ร่วงลงอย่างมากเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เช่นเดียวกับการตกลงของราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ แต่ก็ยังไม่ร่วงลงขนาดหนักเหมือนกับราคาหุ้นในตลาดหุ้น Abyd Karmali กรรมการผู้จัดการซึ่งดูแลการลดคาร์บอนที่ Merrill Lynch ชี้ว่า มีความเกี่ยวข้องกันน้อยมากระหว่างราคา carbon credit กับตลาดหุ้น และนั่นเองที่ทำให้ตลาด carbon credit เป็นตลาดที่น่าลงทุนเพื่อการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตลงทุนของคุณ หรือพูดให้เข้าใจง่ายขึ้นคือ ธุรกิจซื้อขาย carbon credit ซึ่งมีความเสี่ยงสูงนี้ อาจเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดความเสี่ยงของคุณในช่วงเวลาแห่งความปั่นป่วนวุ่นวายเช่นเวลานี้**
เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์ แปลและเรียบเรียง
ฟอร์จูน 10 พฤศจิกายน 2551
|
|
|
|
|