Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน2 ธันวาคม 2551
เสนอทบทวนบทบาทผู้บริหารTSFC             
 


   
search resources

ภัทรียา เบญจพลชัย
Funds
เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์, บล.




ตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นแกนประสานผู้ถือหุ้น เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ "TSFC" พร้อมเสนอทบทวนบทบาทกรรมการและทีมผู้บริหาร หลังทุ่มเงินลงทุนในหุ้นสูงเกินไปจนวิกฤต ด้านสมาคมบลจ.รับลูก ก.ล.ต. แยกส่วนการลงทุน B/E ของ "TSFC" ออกจากการลงทุนในหลักทรัพย์อื่นแล้ว แจงผู้ลงทุน หลังรับชำระเงินคืน จะนำเงินนั้นมาเฉลี่ยจ่ายคืน ด้านบลจ. ออกมาย้ำความมั่นใจ กองทุนเปิดซื้อ-ขายได้ทุกวัน ไม่ติดบ่วง TSFC ขณะที่ "เอวายเอฟ" แจงลูกค้ากองปิดหายห่วง ได้รับคืนหนี้แน่นอน

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ (TSFC) จะมีการประชุมผู้ถือหุ้น ในวันที่ 10 ธันวาคมนี้ ในเรื่องการพิจารณาการเพิ่มทุนและแผนธุรกิจในอนาคตด้วย ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการทำหน้าที่เป็นแกนในการประสานงานกับผู้ถือหุ้นรายอื่นๆในการเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนของTSFC

ทั้งนี้ เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์มีความกังวลในส่วนของกองทุนฟื้นฟูถือที่ถือหุ้นในTSFCในสัดส่วน 28%ที่จะไม่สามารถใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนได้ เพราะการที่กองทุนฟื้นฟูเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วนดังกล่าว ในส่วนของสินทรัพย์ของกรมบังคับคดีที่ได้รับ ภายหลังจากการปิดกิจการของบริษัทเงินทุน 56 แห่งในช่วงวิกฤตการเงิน

สำหรับปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ถือหุ้นในTSFCสัดส่วน 5% ซึ่งหากมีผู้ถือหุ้นรายใดไม่ใช้สิทธิเพิ่มทุนตลาดหลักทรัพย์พร้อมที่จะเข้าไปซื้อหุ้นเพิ่มทุนแต่เท่าไรนั้นยังไม่สามารถตอบได้ เพราะ จะต้องรอดูผลว่าจะมีผู้ถือหุ้นใช้สิทธิเท่าไร และจะมีผู้ถือหุ้นรายใหม่เข้ามาซื้อหรือไม่

“ผู้ถือหุ้นรายอื่นเท่าที่ได้หารือก็พร้อมจะเข้ามาถือทั้งในส่วนของธนาคารพาณิชย์ และโบรกเกอร์รายอื่น รวมถึงกระทรวงการคลัง แต่ว่าในส่วนของกองทุนฟื้นฟูนั้น คงต้องพยายามให้ผู้ถือหุ้นเดิมช่วยและหาผู้ถือหุ้นรายอื่นเข้ามาเพิ่ม หากเหลือหุ้นเพิ่มทุนที่จะเสนอขายไม่มากก็ ทางตลาดหลักทรัพย์ก็ยินดีจะให้การช่วยเหลือ แต่ทั้งนี้ต้องเห็นความพยายามจากฝ่ายอื่น ๆ ด้วย”นางภัทรียา กล่าว

นางภัทรียา กล่าวว่าภายหลังจากการดำเนินการเพิ่มทุนแล้วเสร็จคงจะต้องมีการทบทวนถึงกรรมการและทีมผู้บริหารของทีเอสเอฟซีด้วย และทางTSFC จะต้องมีการทบทวนในเรื่องการลงทุนเพราะ จากการที่มีปัญหาในครั้งนี้ เพราะ TSFC มีการลงทุนที่มีความเสี่ยงที่สูง โดยลงทุนในหุ้นสัดส่วนที่สูงเกินไป ทำให้เมื่อดัชนีปรับตัวลดลงมาก ทำให้ได้รับความเสียหาย

ทั้งนี้ หากTSFC มีการลงทุนไม่มาก เมื่อบริษัทมีปัญหาในเรื่องการปล่อยมาร์จิ้น แต่หากพอร์ตการลงทุนมีการลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่เสี่ยงก็สามารถที่จะขายเงินลงทุนดังกล่าวมาสนับสนุนในการปล่อยมาร์จิ้นทำให้ไม่ได้รับความเสียหายเหมือนปัจจุบัน

สมาคมบลจ.รับลูก ก.ล.ต

รายงานข่าวจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคมบลจ.) เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ได้สั่งการให้ บริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ (TSFC) นำส่งแผนการเพิ่มทุนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อพิจารณา ซึ่งสำนักงาน ก.ล.ต. ยังมีความเป็นกังวลต่อแผนการเพิ่มทุนดังกล่าวนั้น สมาคมเห็นว่าเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวมที่มีการลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดย TSFC สมาคมจึงเห็นควรให้บริษัทสมาชิกพิจารณาดำเนินการให้ กองทุนเปิดที่สามารถไถ่ถอนได้ในระหว่างทางในลักษณะที่ไม่ใช่ auto redemption ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ของ TSFC ดำเนินการแยกส่วนการลงทุนที่เป็นตราสารหนี้ของ TSFC ออกจากการลงทุนในหลักทรัพย์และทรัพย์สินอื่นๆ กองทุนรวมไว้ต่างหาก (set aside) โดยเริ่มตั้งแต่วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เมื่อกองทุนรวมดังกล่าวได้รับชำระเงินคืนก็จะนำเงินนั้นมาเฉลี่ยจ่ายคืนแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนตามส่วนให้เฉพาะผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีชื่ออยู่ในทะเบียน ณ วันที่ได้ทำการ set aside ซึ่งเป็นวันที่บริษัทสมาชิกจะไม่นำการลงทุนในตราสารหนี้ของ TSFC ไปรวมในการคำนวณ NAV ของกองทุนรวม

ดังนั้น ผู้ลงทุนในกองทุนรวมจึงไม่ต้องเป็นกังวลหรือตื่นตระหนกกับการดำเนินการดังกล่าว เนื่องจากเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับการแยกการลงทุนที่อาจจะมีผลกระทบต่อผู้ถือหน่วยลงทุนไว้ต่างหาก และเมื่อได้รับชำระเงินคืนก็จะนำเงินนั้นมาเฉลี่ยจ่ายคืนแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนตามส่วนต่อไป

ในด้านการดำรงสถานะของ TSFC คณะกรรมการกำกับตลาดทุนได้สั่งการให้ TSFC ทำการเพิ่มเงินกองทุนให้เพียงพอตามที่กฎหมายกำหนด ในจำนวนที่ไม่น้อยกว่า 279 ล้านบาท โดยให้ส่งรายละเอียดของแผนที่แสดงถึงผู้ที่พร้อมจะลงทุนหรือให้กู้ยืมแบบไม่มีเงื่อนไขต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ภายในวันที่ 11 ธันวาคม 2551 ซึ่งสมาคมเป็นว่าเป็นจำนวนเงินที่ไม่สูงและมีความเป็นไปได้ที่ TSFC จะดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจต่อไปได้

ด้านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อยุธยา จำกัด ชี้แจงว่า ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2551 กองทุนตราสารหนี้ของบริษัทฯ ที่สามารถทำการซื้อขายได้ทุกวัน รวมทั้งกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว ของบริษัทฯ มิได้มีการถือครองตราสารหนี้ของ TSFC แต่อย่างใด นอกจากนี้ บลจ.เอวายเอฟยังย้ำว่า ในส่วนของกองทุนตราสารหนี้ที่เป็นกองทุนปิดและกำหนดอายุการลงทุนชัดเจน ขณะนี้ยังไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ซึ่งผู้ลงทุนที่ลงทุนอยู่จะได้รับชำระคืนแน่นอน

นายวศิน วัฒนวรกิจกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันกองทุนรวมทุกกองทุนภายใต้การบริหารของบริษัทไม่ได้มีการลงทุนในตราสารหนี้ของ TSFC แต่อย่างใด ดังนั้น เราจึงไม่ต้องดำเนินการแยกส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ของ TSFC หรือที่เรียกว่าวิธีการ set aside โดยหลักการลงทุนในตราสารหนี้ บลจ.บัวหลวง จะเน้นเรื่องความปลอดภัยของเงินต้นมากกว่าเรื่องผลตอบแทนสูงที่มีความเสี่ยงสูงตามมา และจะลงทุนเฉพาะตราสารหนี้ที่รัฐบาลหรือกองทุนฟื้นฟูค้ำประกัน ซึ่งหากเป็นตราสารหนี้เอกชนก็ต้องมีอันดับความน่าเชื่อถือสูงกว่ามาตรฐาน คือ ต้อง A- ขึ้นไปเท่านั้น

นอกจากมีอันดับความน่าเชื่อถือเพียงพอแล้ว เรายังมองถึงสถานภาพของบริษัท โอกาสทางธุรกิจและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นด้วย ซึ่งหลายบริษัทที่ยังมีอันดับความน่าเชื่อถือดี แต่มีโอกาสเสี่ยงสูงขึ้นในอนาคตและอาจส่งผลเสียหายต่อเงินลงทุน เราก็จะไม่ลงทุนอย่างเด็ดขาด   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us