Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน1 ธันวาคม 2551
วิกฤตศก.-การเมืองกดวอลุ่มปี52วูบเหลือ1.3หมื่นล./วัน             
 


   
search resources

Stock Exchange




ตลาดหุ้นไทยยังวิกฤตจากเหตุการณ์ทางการเมืองถล่มซ้ำวิกฤตเศรษฐกิจโลกหดตัว ทำให้ 11 เดือนแรกปีนี้นักลงทุนต่างชาติทิ้งหุ้นรวมกว่า 1.5 แสนล้านบาท กดดัชนี-มาร์เกตแคปวูบมากกว่า 50% เหลือแค่ 401 จุด และ 3.19 ล้านล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเดือนพ.ย. ต่ำสุดในรอบปีเฉลี่ย 10,851 ล้านบาทต่อวัน ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ คาดการณ์วอลุ่มเฉลี่ยปีหน้าเหลือ 1.3 หมื่นล้านบาท หากสถานการณ์ยังไม่ได้ข้อยุติ ส่วนโบรกเกอร์ สั่งจับตาการเมืองใกล้ชิด หวังนายกฯ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ยุบสภา หนุนดัชนีตลาดหุ้นเด้งแรง

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย นับตั้งแต่ต้นปี 2551 ที่ผ่านมา ต้องเผชิญกับปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ ที่ลุกลามสู่สถาบันการเงินทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวลงอย่างรุนแรง ขณะที่ปัจจัยในประเทศเรื่องของสถานการณ์ทางการเมืองที่คุกรุ่นและส่งสัญญาณทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยลบที่กดดดันตลาดหุ้นไทยให้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง

ASTV ผู้จัดการรายวัน ได้เปรียบเทียบดัชนีตลาดหุ้นไทยล่าสุด ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 51 กับดัชนีตลาดหุ้นไทยเมื่อสิ้นปี 2550 (31 ธ.ค.51) พบว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเหลือที่ระดับ 401.84 จุด มูลค่าตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) อยู่ที่ 3.19 ล้านล้านบาท จากสิ้นปี 50 ดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ 858.10 จุด มาร์เกตแคป 6.64 ล้านล้านบาท หรือดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงไปแล้วกว่า 456.26 จุด คิดเป็น 53.17% ขณะที่มาร์เกตแคปลดลง 3.45 ล้านล้านบาท คิดเป็น 51.96%

ขณะที่มูลค่าการซื้อขายได้ปรับตัวลดลงจากปีที่ผ่านมาเช่นกัน โดยในปี 51 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันปรับตัวลดลงเหลือประมาณ 16,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 50 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 17,097.05 ล้านบาท โดยในเดือนล่าสุด (พ.ย.) มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดเหลือ 10,851.90 ล้านบาท ซึ่งเป็นเดือนที่มีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยน้อยที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 51

สำหรับสาเหตุที่ทำให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลดลง สืบเนื่องนักลงทุนไม่มีความมั่นใจในตลาดทุน รวมถึงนักลงทุนต่างประเทศเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเงินไปสำรองสภาพคล่องจากวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศมียอดขายสุทธิรวมทั้งสิ้นกว่า 150,310.82 ล้านบาท

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประเมินวิกฤตการเงินสหรัฐฯ และสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังคงมีความยืดเยื้อจะส่งผลต่อมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยในปี 2552 ลดลงเหลือเฉลี่ยวันละ 13,500 ล้านบาท แต่หากเหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นจะทำให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่วันละ 18,000 ล้านบาท จากการคาดการณ์ว่าในปี 51 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันจะอยู่ที่ประมาณ 17,000 ล้านบาท

“เหตการณ์ชุมนุมประท้วงด้วยการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ได้ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และการส่งออก ซึ่งรุนแรงมากกว่าเหตุการณ์ปฏิวัติรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เพราะปัญหาขณะนี้ยังไม่มีทางออก”

นางภัทรียา กล่าวว่า ขณะนี้อยากให้ทั้ง 2 ฝ่าย คือรัฐบาลและกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยร่วมกันหาทางออก เพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้ เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นในขณะนี้ทำให้ประเทศไทยเสียโอกาส และอาจรุนแรงขึ้น หากประเทศคู่ค้ายกเลิกการทำธุรกิจกับประเทศไทย

ด้านนายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวถึง แผนการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ในปี 2552 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งเป้าเพิ่มบริษัทจดทะเบียนอีก 46 บริษัท โดยเป็นบริษัทขนาดใหญ่ 4 บริษัท และจะมีบริษัทต่างชาติในแถบอินโดจีนเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย 1 บริษัท ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มมูลค่าตลาดรวม (มาร์เกตแคป) ได้ประมาณ 250,000 ล้านบาท รวมทั้งตั้งเป้าเพิ่มผู้ลงทุนบุคคลอีกประมาณ 100,000 ราย หรือคิดเป็นสัดส่วน 5% และเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันอีก 10%

ดัชนีหุ้นไทยต่ำสุดกลางปีหน้า

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ขณะนี้เศรษฐกิจของไทยต้องเผชิญกับปัจจัยลบ 2 ด้าน ทั้งวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่กำลังชะลอตัว และสถานการณ์ทางการเมืองที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศชะลอตัวไปอีก 1-2 ปี โดยคาดว่าอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจในปี 52 อาจจะเป็นไปได้ยากที่จะโตได้ถึงระดับ 3%

ส่วนผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นต่อตลาดทุนนั้น ตลาดหุ้นจะยังคงมีความผันผวน โดยจะมีจุดต่ำสุดในช่วงกลางปีหน้า ก่อนที่จะเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้าง

“ขณะนี้เม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยคงเหลืออยู่ประมาณ 1 แสนล้านบาท โดยมีแรงเทขายเฉลี่ยวันละ 700 ล้านบาท ทำให้มีโอกาสน้อยที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะหลุดต่ำกว่า 300 จุด เพราะยังมีแรงซื้อเข้ามาจากนักลงทุนในประเทศอย่างต่อเนื่อง”

นายอภิสิทธิ์ ลิมป์ธำรงกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า สัปดาห์นี้ตลาดหุ้นไทยน่าจะได้รับข่าวดีจากกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้พรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย แถลงปิดคดีในวันที่ 2 ธ.ค.นี้ ซึ่งจะส่งผลให้สถานการณ์ทางการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น และมีแนวโน้มความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศจะจบได้ในเร็ววัน

ขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นไทยอาจจะได้รับอิทธิพลจากการคาดหวังของการประชุมโอเปกจะประกาศให้มีการลดกำลังการผลิตน้ำมัน เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคา ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น และส่งผลดีต่อราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานด้วย ซึ่งถือเป็นจังหวะดีที่จะเข้าไปเก็งกำไรในหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาหุ้นได้ปรับลดลงก่อนหน้านี้

“แม้สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ คาดว่าตลาดหุ้นไทยปีหน้าจะซบเซาหนัก จากปัจจัยลบเรื่องของวิกฤตเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวน่าจะส่งผลต่อจิตวิทยาของนักลงทุนในแง่ของความเชื่อมั่นเท่านั้น แต่ขณะนี้ราคาหุ้นไทยอยู่ในระดับที่ถูกมาก ดังนั้นอาจจะเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรได้เช่นกัน”

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวอิงกับสถานการณ์ทางการเมือง หากไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นจะส่งผลให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้น ในทางตรงกันข้ามหากเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงจะส่งผลให้ดัชนีปรับตัวลดลงเช่นกัน ดังนั้นนักลงทุนต้องติดตามการเมืองอย่างใกล้ชิด โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 398-400 จุด และแนวต้านที่ 410-420 จุด

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ขึ้นอยู่กับทิศทางการเมือง หากรัฐบาลใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะส่งกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุน ทำให้มีแรงเทขายออกมาเป็นจำนวนมาก และดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง แต่หากนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ประกาศลาออกหรือยุบสภา เพื่อแก้ปัญหาความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้น โดยดัชนีตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นแรงถึง 30-40 จุด

ขณะเดียวกัน นักลงทุนจะต้องติดตามการประชุมฉุกเฉินของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออกหรือโอเปก ที่อาจจะมีการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลง ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางราคาน้ำมันและหุ้นกลุ่มพลังงาน รวมทั้งการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อพิจารณาดอกเบี้ยนโยบายในสัปดาห์นี้เช่นกัน โดยกลยุทธ์ แนะนำชะลอการลงทุน ประเมินแนวรับ 383 จุด แนวต้าน 400 จุด   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us