|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
นายชัชวาลย์ วณิชไพสิฐ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดบริษัท ดี-พลัส คอร์ปอเรชั่น จำกัด เจ้าร้านแว่นตาแบรนด์ แว่นตากรุงไทย-KT Optic เปิดเผยว่า ผลประกอบการ10เดือนที่ผ่านมามียอดการเติบโตอยู่ที่10%
เมื่อเทียบกับยอดขายในปีก่อนเติบโตมากกว่าเดิม 5% โดยสัดส่วนยอดขายในปัจจุบันของบริษัทฯแบ่งเป็นแว่นตาแฟชั่น 40% และแว่นสายตา 60%คาดว่าสิ้นปี2551จะปิดยอดที่16%ของมูลค่าตลาดรวม
ล่าสุดทางบริษัทฯได้ทุ่มงบ 50 ล้านบาทโดยแบ่งเป็นการรีโนเวทสาขาและการจัดทำสื่อ ซึ่งการรีแบรนด์ในครั้งนี้ เพื่อก้าวสู่ร้านที่แตกต่างกว่าร้านแว่นตาในท้องตลาด โดยการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของแว่นตากรุงไทย-KT Opticให้มีความทันสมัยโดยเน้นบรรยายกาศความเป็นประเทศที่อยู่ในเขตร้อนชื้น โดยใช้สีเขียวเป็นหลักของร้าน
ปัจจุบันทางบริษัทฯมีสาขา 180 สาขาทั่วประเทศ โดยทางบริษัทฯจะเริ่มทยอยรีโนเวทสาขา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุของแต่ละสาขา ซึ่งโดยปกติสาขาหนึ่งจะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 5ปี ซึ่งทางบริษัทฯก็จะรีโนเวทสาขาที่มีหมดอายุการใช้งานก่อน ส่วนบางสาขาที่เพิ่งเปิดให้บริการ 1-2 ปีก็จะเป็นการปรับเปลี่ยนตัวสาขาให้มีสีเขียวและการเปลี่ยนตัวป้ายหน้าร้าน โลโก้
สำหรับในปี2552ทางบริษัทฯมีแผนที่จะรีโนเวทสาขาตามห้างสรรพสินค้า 20 สาขา ได้แก่ โลตัส 15 สาขาและคาร์ฟูร์ 5 สาขา นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่ในต้นปี2552คือสาขา คาร์ฟูร์ เชียงใหม่ ,ร่มเกล้า และปัญญาวิลเลจ (งบ50 ล้านบาทไม่เกี่ยวกับการเปิดสาขาใหม่) โดยยอดเฉลี่ยการลงทุนต่อสาขาอยู่ที่ประมาณ 4 ล้านบาทต่อสาขา
กลุ่มเป้าหมายของทางบริษัทฯจะเป็นกลุ่มเป้าหมายทุกระดับ แต่กลุ่มที่ชัดเจนจะเป็นกลุ่มของนักศึกษาและคนวัยทำงาน ซึ่งกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการของทางบริษัทฯ แบ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่ซื้ออุปกรณ์เกี่ยวกับแว่นตา โดยเฉลี่ยประมาณ 2 สัปดาห์ต่อครั้ง และกลุ่มลูกค้าที่ตัดแว่นประมาณ 1ปีต่อครั้ง
นายชัชวาลย์ กล่าวว่า การรีแบรนด์ในสภาวะการเศรษฐกิจและการเมืองที่เป็นลบนี้ มองว่าเป็นการแข่งขันทางธุรกิจที่ได้เปรียบ เนื่องจากเมื่อมีการปรับเปลี่ยนก่อนก็ถือว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม มองว่าจากสถานะการณ์ดังกล่าว อาจจะส่งผลให้กำลังซื้อไม่แรง แต่มีกลุ่มลูกค้าใหม่และมีอัตราการเติบโตที่ อาจจะไม่ใช่อัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่เป็นการเติบโตที่ไต่ระดับแบบเรื่อยๆ ซึ่งพฤติกรรมผู้บริโภคเฉลี่ยปกติต่อคนจะมีแว่นตา3 อันและความถี่อยู่ที่ 2ปีต่อการเปลี่ยนแว่นตาหนึ่งครั้ง
ส่วนเป้าหมาทางการตลาดในปี2552 ทางบริษัทฯคาดว่าจะเติบโตอีก10%จากเป้าหมายเดิมที่วางไว้ในปีนี้ เพื่อจะขึ้นเป็นอันดับสองภายในสิ้นปี2552 สำหรับการขยายสาขาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณปีละ 30 สาขาต่อปีและคาดว่าจะสามารถขยายสาขาได้ตามเป้าที่วางไว้ งบการตลาดในปี2552ทางบริษัทฯวางไว้ที่5% ของยอดขาย
สำหรับจุดแข็งของทางบริษัทฯอยู่ที่เรื่องของคุณภาพของสินค้าและการบริการของบุคลากร โดยในส่วนของสินค้าจะเน้นเรื่องคุณภาพและความทันสมัยเหมาะสมกับบุคลิกที่หลากหลาย โดยแว่นตาส่วนใหญ่ของทางบริษัทฯจะเป็นแว่นตาที่นำเข้าจากต่างประเทศ ทั้งหมด แบ่งเป็นยุโรป 50% ญี่ปุ่น 30% และฮ่องกง, ไต้หวันอีก20 %
ในเรื่องของบุคลากรทางบริษัทฯได้ร่วมมือกับทางบริษัทฯLuxottica Group ผู้ผลิตแว่นตาที่ใหญ่ที่สุดในโลก อบรมหลักสูตร Global Leader in Eyewear เพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับบุคลากร
ปัจจุบันตลาดแว่นตามีมูลค่าประมาณ 5, 500 ล้านบาทแบ่งเป็นแว่นท็อปเจริญ 30% แว่นกรุงไทย-KT Optic16% บิวตี้ฟูล 18% หอแว่น 10% และอื่นๆซึงเป็นแว่นตาริเทลทั่วไปอีก 26%
|
|
|
|
|