Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2532








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2532
ราคาหุ้นน่าจะไปได้ไกลถึง 900 จุด แต่…             
 

   
related stories

ข้อมูลบุคคลพิศิษฐ์ นิวาตพันธุ์

   
search resources

พิศิษฐ์ นิวาตพันธุ์
Stock Exchange




เหตุการณ์กลางเดือน 14 กันยายน ที่ตลาดหุ้นมีการปรับตัวด้านราคาอย่างรุนแรงเพียงวันเดียวถึง 30 กว่าจุด และกินเวลานาน 4 วันนั้น แม้จะเป็นการปรับตัวที่ค่อนข้างรุนแรงเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เหตุการณ์ BLACK MONDAY ตุลาคม 1987 ก็ตามแต่ผมเห็นว่าเป็นปรากฎการณ์ธรรมดาที่ไม่น่าตระหนกตกใจเพราะ หนึ่ง - ราคาหุ้นได้ขึ้นมาสูง 724 จุด P/E RATIO มันขึ้นมาอยู่ที่ 24 โดยเฉลี่ยทั้งตลาด เหตุผลทางด้านเทคนิคัลของ MARTIN PRING มันบ่งบอกชัดเจนว่าต้องมีการปรับตัวที่ระดับราคานี้ เนื่องจากราคา 724 จุด มันขึ้นมาจากราคาต่ำสุดที่ 362 จุด เมื่อธันวาคมปีที่แล้ว ตามทฤษฎีเทคนิคัลของ MARTIN PRING ให้เอา 2 เท่าของระดับราคาต่ำสุด เป็นจุดปรับตัว (TECHNICAL CORRECTION) เพราะจะมีแรงต้าน และ สองมองจากปัจจัยพื้นฐาน P/ERATIO ช่วงกลางเดือนกันยายน มันขึ้นไปที่ 24 ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหตุผลพอถ้าใช้ทฤษฎีเทคนิคัลเป็นเครื่องมือตัดสินใจในการลงทุนจะต้องออกจากตลาดให้เร็วที่สุด เพราะจากประสบการณ์ของตลาดหุ้นในนิวยอร์กเองที่มีอายุเกือบ 200 ปีแล้ว บ่งบอกวา ถ้า p/E RATIO ของตลาดเกิน 17 เมื่อไร ถือว่าอันตราย ตลาดจะต้องมีการปรับตัวอย่างแน่นอน ตอนเกิน BLACL MONDAY เมื่อตุลาคม ปี 87 ตลาดหุ้นในนิวยอร์ก P/E RATIO มันทะลุเกิน 22 นักเล่นหุ้นทุกรายที่อยู่ในตลาด เขาใช้ระบบ COMPUTER PROGRAMMING กันทั้งนั้น ก็เทขายกันอุตลุดตามกลไกอัตโนมัติ และเป็นจุดเริ่มนำไปสู่เหตุการณ์ดังที่ทราบกัน

ผมมีความเชื่อว่า การปรับตัวเมื่อกลางกันยายน ไม่ใช่เป็นการ BEARISH MARKET ตลาดยังอยู่ใน BULLISH ดังนั้นราคาน่าจะผงกหัวขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่จะมีการปรับตัวช่วงสั้น ๆ เป็นระยะตามธรรมชาติ

ทำไมผมถึงเชื่อเช่นนั้น

มองจากปัจจัยด้านเทคนิค เมื่อดูแนวเส้นราคาย้อนหลังก่อนที่ราคาจะทะลุ 700 จุดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทยเมื่อ 10 กันยายน ทฤษฎี ASCENDENT RIGHTANGLE/TRIANGLE โดยใช้ SEMILOG แล้วลาก TREND LINE ไป มันแตะที่ 700 แน่นอน เพราะว่าจิตวิทยาลัยมวลชนที่เข้ามาในตลาดหุ้นต่างมีความเชื่อ ราคาหุ้นมันจะไปได้เรื่อย ๆ ด้วยปัจจัยสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ และเงินทุนจากต่างชาติที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้น

ด้วยเหตุผลเดียวกัน ผมเชื่อว่าจาก 700 จุด มักก็น่าจะไปที่ 900 จุดได้แต่ก่อนที่มันจะไปถึงจุดนั้น ราคาต้องมีการปรับตัวเป็นระยะ มันขรุขระไม่ราบเรียบ อุปมาอุปไมยเหมือนการไต่เขา กว่าถึงยอดได้ก็จะต้องผ่านเส้นทางที่ขรุขระบางครั้งอาจจะต้องตกรูดลงไปบ้าง

ผมลองใช้ LOGSCALE และ PLOT GRAPH ตามทฤษฎี ASCENDENT RIGHTANGLE/TRIANGLE ดูแล้วจากเส้น TREND LINE มันแตะที่ 900 ได้แต่ผมบอกไม่ได้ว่ามันจะถึงเมื่อไร เพราะยังไม่มีข้อมูล ผลการประกอบการหุ้นแต่ละตัวเป็นปัจจัยพื้นฐานในการวิเคราะห์

อย่างไรก็ตาม ระยะยาวกว่าจะถึงจุด 900 ผมว่ามันคงกินเวลาปีหน้าแน่ ต้องขอย้ำว่า เหตุที่ผมเชื่อเช่นนี้ เครื่องมือทฤษฎีเทคนิคัลมันบอกผมเช่นนั้น ว่าหุ้นราคามันน่าจะไปได้ถึงตรงนั้นแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องมีปัจจัยพื้นฐานมาสนับสนุนด้วย (FUNDAMENTAL FACTER) คือ หนึ่ง-ผลการประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ในตลาดหุ้นต้องมีขึ้นด้วย และสอง-เงินลงทุนที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไม่ว่าจะมาจากต่างประเทศ หรือในประเทศต้องต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก และสาม-ต้องไม่มีเหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือการคาดหวังเกิดขึ้น เช่น การรัฐ-ประหาร การปรับคณะรัฐมนตรี หรอืการจลาจลทางการเมืองใด ๆ

มองจากแนวโน้มระยะยาว การที่ราคาจะไปถึง 900 จุด ดังที่ผมเชื่อนั้น ปัจจัยพื้นฐานโดยเฉพาะภาพรวมฐานะทางเศรษฐกิจไทยที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดถึง 9-10% เป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุด

ถ้ามองออกไปให้กว้างในตลาดโลก อุปมาอุปไมยเหมือนประเทศไทยเป็นหุ้นตัวหนึ่งในตลาดหุ้นโลกที่ประกอบด้วยหุ้นสังกัดประเทศต่าง ๆ ในทศวรรษนี้ (1990) เป็นช่วงของ PACIFIC FEVER อย่างแท้จริง เมื่อไทยสังกัดอยู่ในดินแดนแถบนี้ และกำลังมีอัตราเร่งทางเศรษฐกิจที่สูงลิ่วขณะที่ฮ่องกงกำลังตกเป็นของจีนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ไต้หวันกำลังถูกอเมริกาคุกคามด้วยมาตรการกีดกันทางการค้า ญี่ปุ่นไม่ต้องพูดถึง ไม่มีช่องว่างตลาดอะไรเลยที่จะเปิดให้ค้าหรือลงทุนได้สะดวกเกาหลีเองก็กำลังทำศึกกับต้นทุนการผลิต ไม่มีช่องว่างตลาดอะไรเลยที่จะเปิดให้ค้าหรือลงทุนได้สะดวกเกาหลีเองก็กำลังทำศึกกับต้นทุนการผลิต มาเลเซียก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาความไม่ลงรอยทางเชื้อชาติได้ สิ่งนี้ทำให้ไทยโดดเด่นขึ้นมาที่จะเป็นแหล่งรองรับเงินทุนเพื่อลงทุนทางเศรษฐกิจและตลาดทุนในสายตานักลงทุนต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นชาติตะวันตก หรือเอเชีย เช่น ไต้หวัน ฮ่องกงที่ต้องการ SHIFT ทุนออกจากฮ่องกงมาไทย

ในความเห็นของผม สถานการณ์ตลาดประเทศไทยในฐานะเป็นหุ้นตัวหนึ่งของโลก ถ้าจะพูดว่าเป็นหุ้นบางกอกฟีเวอร์ก็ไม่ผิดนัก

ด้วยเหตุนี้ ดัชนีราคาหุ้นที่ไต่ขึ้นมาเรื่อย ๆ จาก 362 จุด เมื่อปลายปี 2531 ค่อย ๆ ขึ้นมาที่ 700 จุด เมื่อ 13 กันยายน ผมเชื่อปัจจัยด้านเงินทุนจากไต้หวัน ฮ่องกง ที่ไหลเข้ามา มีส่วนดันให้ราคาขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังเกิดวิกฤติการณ์ปราบปรามนักศึกษาประชาชนที่เทียนอันเหมิน เมื่อ 4 มิถุนายน ปีนี้

มองจากเหตุผลนี้ ปัจจัยพื้นฐานกำลังเอื้อประโยชน์ต่อตลาดหุ้นไทยมาก ๆ ในอนาคตนี้ขณะที่ปัจจัยด้านเทคนิคก็สอดรับกันพอดี

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us