เหตุการณ์กลางเดือน 14 กันยายน ที่ตลาดหุ้นมีการปรับตัวด้านราคาอย่างรุนแรงเพียงวันเดียวถึง
30 กว่าจุด และกินเวลานาน 4 วันนั้น แม้จะเป็นการปรับตัวที่ค่อนข้างรุนแรงเป็นครั้งแรก
นับตั้งแต่เหตุการณ์ BLACK MONDAY ตุลาคม 1987 ก็ตามแต่ผมเห็นว่าเป็นปรากฎการณ์ธรรมดาที่ไม่น่าตระหนกตกใจเพราะ
หนึ่ง - ราคาหุ้นได้ขึ้นมาสูง 724 จุด P/E RATIO มันขึ้นมาอยู่ที่ 24 โดยเฉลี่ยทั้งตลาด
เหตุผลทางด้านเทคนิคัลของ MARTIN PRING มันบ่งบอกชัดเจนว่าต้องมีการปรับตัวที่ระดับราคานี้
เนื่องจากราคา 724 จุด มันขึ้นมาจากราคาต่ำสุดที่ 362 จุด เมื่อธันวาคมปีที่แล้ว
ตามทฤษฎีเทคนิคัลของ MARTIN PRING ให้เอา 2 เท่าของระดับราคาต่ำสุด เป็นจุดปรับตัว
(TECHNICAL CORRECTION) เพราะจะมีแรงต้าน และ สองมองจากปัจจัยพื้นฐาน P/ERATIO
ช่วงกลางเดือนกันยายน มันขึ้นไปที่ 24 ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเหตุผลพอถ้าใช้ทฤษฎีเทคนิคัลเป็นเครื่องมือตัดสินใจในการลงทุนจะต้องออกจากตลาดให้เร็วที่สุด
เพราะจากประสบการณ์ของตลาดหุ้นในนิวยอร์กเองที่มีอายุเกือบ 200 ปีแล้ว บ่งบอกวา
ถ้า p/E RATIO ของตลาดเกิน 17 เมื่อไร ถือว่าอันตราย ตลาดจะต้องมีการปรับตัวอย่างแน่นอน
ตอนเกิน BLACL MONDAY เมื่อตุลาคม ปี 87 ตลาดหุ้นในนิวยอร์ก P/E RATIO มันทะลุเกิน
22 นักเล่นหุ้นทุกรายที่อยู่ในตลาด เขาใช้ระบบ COMPUTER PROGRAMMING กันทั้งนั้น
ก็เทขายกันอุตลุดตามกลไกอัตโนมัติ และเป็นจุดเริ่มนำไปสู่เหตุการณ์ดังที่ทราบกัน
ผมมีความเชื่อว่า การปรับตัวเมื่อกลางกันยายน ไม่ใช่เป็นการ BEARISH MARKET
ตลาดยังอยู่ใน BULLISH ดังนั้นราคาน่าจะผงกหัวขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่จะมีการปรับตัวช่วงสั้น
ๆ เป็นระยะตามธรรมชาติ
ทำไมผมถึงเชื่อเช่นนั้น
มองจากปัจจัยด้านเทคนิค เมื่อดูแนวเส้นราคาย้อนหลังก่อนที่ราคาจะทะลุ 700
จุดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทยเมื่อ 10 กันยายน ทฤษฎี ASCENDENT
RIGHTANGLE/TRIANGLE โดยใช้ SEMILOG แล้วลาก TREND LINE ไป มันแตะที่ 700
แน่นอน เพราะว่าจิตวิทยาลัยมวลชนที่เข้ามาในตลาดหุ้นต่างมีความเชื่อ ราคาหุ้นมันจะไปได้เรื่อย
ๆ ด้วยปัจจัยสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ และเงินทุนจากต่างชาติที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้น
ด้วยเหตุผลเดียวกัน ผมเชื่อว่าจาก 700 จุด มักก็น่าจะไปที่ 900 จุดได้แต่ก่อนที่มันจะไปถึงจุดนั้น
ราคาต้องมีการปรับตัวเป็นระยะ มันขรุขระไม่ราบเรียบ อุปมาอุปไมยเหมือนการไต่เขา
กว่าถึงยอดได้ก็จะต้องผ่านเส้นทางที่ขรุขระบางครั้งอาจจะต้องตกรูดลงไปบ้าง
ผมลองใช้ LOGSCALE และ PLOT GRAPH ตามทฤษฎี ASCENDENT RIGHTANGLE/TRIANGLE
ดูแล้วจากเส้น TREND LINE มันแตะที่ 900 ได้แต่ผมบอกไม่ได้ว่ามันจะถึงเมื่อไร
เพราะยังไม่มีข้อมูล ผลการประกอบการหุ้นแต่ละตัวเป็นปัจจัยพื้นฐานในการวิเคราะห์
อย่างไรก็ตาม ระยะยาวกว่าจะถึงจุด 900 ผมว่ามันคงกินเวลาปีหน้าแน่ ต้องขอย้ำว่า
เหตุที่ผมเชื่อเช่นนี้ เครื่องมือทฤษฎีเทคนิคัลมันบอกผมเช่นนั้น ว่าหุ้นราคามันน่าจะไปได้ถึงตรงนั้นแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องมีปัจจัยพื้นฐานมาสนับสนุนด้วย
(FUNDAMENTAL FACTER) คือ หนึ่ง-ผลการประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ในตลาดหุ้นต้องมีขึ้นด้วย
และสอง-เงินลงทุนที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไม่ว่าจะมาจากต่างประเทศ หรือในประเทศต้องต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก
และสาม-ต้องไม่มีเหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือการคาดหวังเกิดขึ้น เช่น การรัฐ-ประหาร
การปรับคณะรัฐมนตรี หรอืการจลาจลทางการเมืองใด ๆ
มองจากแนวโน้มระยะยาว การที่ราคาจะไปถึง 900 จุด ดังที่ผมเชื่อนั้น ปัจจัยพื้นฐานโดยเฉพาะภาพรวมฐานะทางเศรษฐกิจไทยที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดถึง
9-10% เป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุด
ถ้ามองออกไปให้กว้างในตลาดโลก อุปมาอุปไมยเหมือนประเทศไทยเป็นหุ้นตัวหนึ่งในตลาดหุ้นโลกที่ประกอบด้วยหุ้นสังกัดประเทศต่าง
ๆ ในทศวรรษนี้ (1990) เป็นช่วงของ PACIFIC FEVER อย่างแท้จริง เมื่อไทยสังกัดอยู่ในดินแดนแถบนี้
และกำลังมีอัตราเร่งทางเศรษฐกิจที่สูงลิ่วขณะที่ฮ่องกงกำลังตกเป็นของจีนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ไต้หวันกำลังถูกอเมริกาคุกคามด้วยมาตรการกีดกันทางการค้า ญี่ปุ่นไม่ต้องพูดถึง
ไม่มีช่องว่างตลาดอะไรเลยที่จะเปิดให้ค้าหรือลงทุนได้สะดวกเกาหลีเองก็กำลังทำศึกกับต้นทุนการผลิต
ไม่มีช่องว่างตลาดอะไรเลยที่จะเปิดให้ค้าหรือลงทุนได้สะดวกเกาหลีเองก็กำลังทำศึกกับต้นทุนการผลิต
มาเลเซียก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาความไม่ลงรอยทางเชื้อชาติได้ สิ่งนี้ทำให้ไทยโดดเด่นขึ้นมาที่จะเป็นแหล่งรองรับเงินทุนเพื่อลงทุนทางเศรษฐกิจและตลาดทุนในสายตานักลงทุนต่างชาติ
ไม่ว่าจะเป็นชาติตะวันตก หรือเอเชีย เช่น ไต้หวัน ฮ่องกงที่ต้องการ SHIFT
ทุนออกจากฮ่องกงมาไทย
ในความเห็นของผม สถานการณ์ตลาดประเทศไทยในฐานะเป็นหุ้นตัวหนึ่งของโลก ถ้าจะพูดว่าเป็นหุ้นบางกอกฟีเวอร์ก็ไม่ผิดนัก
ด้วยเหตุนี้ ดัชนีราคาหุ้นที่ไต่ขึ้นมาเรื่อย ๆ จาก 362 จุด เมื่อปลายปี
2531 ค่อย ๆ ขึ้นมาที่ 700 จุด เมื่อ 13 กันยายน ผมเชื่อปัจจัยด้านเงินทุนจากไต้หวัน
ฮ่องกง ที่ไหลเข้ามา มีส่วนดันให้ราคาขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลังเกิดวิกฤติการณ์ปราบปรามนักศึกษาประชาชนที่เทียนอันเหมิน
เมื่อ 4 มิถุนายน ปีนี้
มองจากเหตุผลนี้ ปัจจัยพื้นฐานกำลังเอื้อประโยชน์ต่อตลาดหุ้นไทยมาก ๆ ในอนาคตนี้ขณะที่ปัจจัยด้านเทคนิคก็สอดรับกันพอดี