ต้องนับว่าเป็นความกล้าหาญของ ดร. สม จาตุศรีพิทักษ์ ที่เข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารนครหลวงไทย
เมื่อปลายเดือนมีนาคม 2530 ยอมทิ้งตำแหน่งกรรมการรองผู้จัดการเบอร์ลี่ยุคเกอร์
ทั้งที่ถ้าอยู่ต่อไปโอกาสที่จะได้เป็นหมายเลขหนึ่งของที่นี่ก็อยู่ไม่ไกล
เทียบกับธนาคารนครหลวงไทยที่มียอดขาดทุนเฉพาะปี 2529 พันกว่าล้านบาท มีหนี้เสีย
ๆ อีกกว่าหกพันล้าน กับปัญหาเรื้อรังอีกมากมายที่สะสมอยู่ภายใต้การบริหารที่ล้าหลังไร้ประสิทธิภาพ
การเข้ามาบริหารธนาคารแห่งนี้ต้องเรียกว่า "มาล้างบาง"
ธนาคารนครหลวงไทยเมื่อต้นปี 2530 ภายใต้การบริหารงานของกลุ่มมหาดำรงค์กุลนั้น
มีอาการเพียบหนักจนธนาคารชาติต้องยื่นมือเข้าจัดการ ก่อนหน้านั้นในเดือนตุลาคม
2529 มีคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยให้เพิ่มทุนครั้งหนึ่งแล้ว แต่ไม่เป็นผล
วันที่ 12 มกราคม 2530 ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงมีคำสั่งให้ลดทุนจดทะเบียนจาก
800 ล้านบาทเหลือเพียง 40 ล้านบาท ทำให้มูลค่าหุ้น 100 บาทเหลือเพียงหุ้นละ
5 บาท เพื่อนำส่วนที่ลดนี้ไปตัดยอดขาดทุนสะสมออก และให้เพิ่มทุนใหม่อีก 1,500
ล้านบาทพร้อมทั้งเปลี่ยนตัวผู้บริหารด้วย
ตอนนั้นยังไม่มีวี่แววว่า ดร. สมจะมาเป็นกรรมการผู้จัดการ ถึงแม้จะมีชื่ออยู่ในสายตาของธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับอีกหลาย
ๆ คน ผู้ที่มาแรงกว่าเพื่อนคือ ศุกรีย์ แก้วเจริญ กรรมการผู้จัดการบริษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
แต่ศุกรีย์ก็ได้ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งนี้ จนกระทั่งไม่กี่วันก่อนหน้าการประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อเลือกผู้บริหาร
จึงมีการพูดถึง ดร. สมว่าจะมาเป็นกรรมการผู้จัดการคนใหม่
มีการตั้งข้อสันนิษฐานว่า ดร. สมเข้ามาด้วยการผลักดันของกลุ่มเฟิสท์แปซิฟิคของเลียม
ซุยเหลียงแห่งอินโดนีเซียซึ่งต้องการจะเข้ามาลงทุนในธุรกิจการเงิน กลุ่มเฟิสท์แปซิฟิคมีหุ้นใหญ่อยู่ในบริษัทเฮเกอร์เมเยอร์ของเนเธอร์แลนด์
เฮเกอร์เมเยอร์เป็นผู้ถือหุ้นรายสำคัญรายหนึ่งของเบอร์ลี่ยุคเกอร์ แต่ข้อสันนิษฐานนี้ก็ขาดหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะมายืนยัน
ตัว ดร. สมเองบอกว่า ที่ทำก็เพราะว่าอยากจะทำเท่านั้นเอง เนื่องจากเป็นงานที่มีผลต่อเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม
เมื่อ 27 ปีก่อน ดร. สม เคยทำงานแบงก์มาครั้งหนึ่งแล้วหลังจากจบการศึกษาจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่ทำอยู่ได้ไม่ถึงเดือนก็ลาออกเพื่อสอบชิงทุน ก.พ.
ไปเรียนเมืองนอก สอบได้แต่ไม่ผ่านการตรวจร่างกายจึงมาทำงานกับเบอร์ลี่ยุคเกอร์
อีก 6 ปีต่อมาก็ได้ทุนฟุลไบรท์ไปทำปริญญาโททางบริหารธุรกิจและปริญญาเอกทางการเงินที่นิวยอร์ค
แล้วกลับมาทำงานที่เบอร์ลี่ยุคเกอร์ จนได้เป็นกรรมการรองผู้จัดการ
วันที่ 23 มีนาคม 2530 ที่ประชุมผู้ถือหุ้นธนาคารนครหลวงไทยได้มีมติให้
ดร. สม จาตุศรีพิทักษ์ เป็นกรรมการผู้จัดการ โดยได้รับเงินเดือน ๆ ละ 500,000
บาท โบนัสประจำปี 5 เดือน และค่าตอบแทนอีก 2% ของกำไรในแต่ละปี อายุการทำงานมีกำหนด
5 ปี
งานชิ้นแรกของ ดร. สมคือการเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 500 ล้านบาทตามเงื่อนไขของแบงก์ชาติที่ให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำจำนวน
3,500 ล้านบาท มีระยะเวลา 5 ปีเพื่อช่วยเหลือการดำเนินงานของธนาคาร พร้อม
ๆ กับการปรับองค์กรและโครงสร้างการบริหารมีการโยกย้ายคนของผู้บริหารเก่าออกจากตำแหน่งสำคัญ
ๆ การจัดระบบการบริหารหนี้สินและสินเชื่อ และการเดินสายออกเยี่ยมสาขา และลูกค้าต่างจังหวัด
การเพิ่มทุนเป็นไปตามเป้าหมายทำให้ทุนจดทะเบียนเป็น 2,040 ล้านบาทและยังมีแผนจะเพิ่มทุนอีก
500 ล้านบาทภายในปีนี้
ตามแผนแล้วในปี 2532 ธนาคารนครหลวงไทยจะเริ่มมีกำไร
จากวันที่ ดร. สมเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการในวันที่ 1 พฤษภาคมจนถึงวันนี้ดูเหมือนการทำงานจะเป็นไปตามแผนอย่างน้อยที่สุดก็ยังไม่มีข่าวความขัดแย้งหรือปัญหาปรากฏออกมา
แต่ก็ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าทุกอย่างราบรื่น