|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ตลาดหุ้นไทยร่วงหนัก หลังวิกฤตการเงินสหรัฐฯ เปิดแผลใหม่ที่กลุ่มซิตี้กรุ๊ปประสบปัญหาต้องเข้ารับการช่วยเหลือจากทางการสหรัฐฯ จนกดดันตลาดหุ้นเอเชีย บวกกับนักลงทุนต่างชาติเริ่มไม่มั่นใจเสถียรภาพรัฐบาล จากกลุ่มพันธมิตรฯ ปิดล้อมทำเนียบและสถานที่สำคัญๆ หลายจุด ทำให้หุ้นร่วงกว่า 11 จุด มูลค่าการซื้อขายแค่ 6.7 พันล้านบาท
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (24 พ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยถูกปกคลุมด้วยปัจจัยลบทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกรณีซิตี้กรุ๊ป ที่ประสบปัญหาจนต้องเข้ารับการช่วยเหลือจากทางการ จนส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองเริ่มส่อเค้าทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนได้ตั้งข้อสังเกตถึงเสถียรภาพของรัฐบาล หลังจากถูกกระแสต่อต้านจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมปิดล้อมรัฐสภาพ ทำให้รัฐบาลไม่สามารถทำการประชุมรัฐสภาได้
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิดการซื้อขายในภาคเช้า และเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน มีจะสูงสุดที่ระดับ 386.82 จุด ต่ำสุดที่ 384.92 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 386.12 จุด ลดลงจากวันก่อน 11.39 จุด หรือคิดเป็น 2.87% มูลค่าการซื้อขายรวม 6,727.04 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 817.60 ล้านบาท นักลงทุนสถาบัน 295.47 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,113.07 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท. (PTT) มีราคาปิดที่ 137 บาท ลดลงจากวันก่อน 4 บาท หรือคิดเป็น 2.84% มูลค่าการซื้อขายรวม 841.18 ล้านบาท บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปิดที่ 80.50 บาท ลดลง 3.50 บาท หรือ 4.17% มูลค่าการซื้อขายรวม 835.52 ล้านบาท และบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ปิดที่ 73.50 บาท ลดลง 6 บาท หรือ 7.55% มูลค่าการซื้อขาย 565.22 ล้านบาท
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก หลังจากภาคธุรกิจแท้จริงเริ่มประสบปัญหา โดยเฉพาะธุรกิจยานยนต์ในสหรัฐฯ จนต้องมีประกาศปลดคนงานเป็นจำนวนมาก ทำให้ช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศขาดความเชื่อมั่นและเทขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง หรือเฉลี่ยวันละประมาณ 1,000 ล้านบาท
ประกอบกับได้รับแรงกดดันจากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ หลังจากที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมปิดล้อมรัฐสภา รวมทั้งใช้กลยุทธ์ดาวกระจาย ทำให้นักลงทุนเกิดความไม่มั่นใจในเสถียรภาพของรัฐบาล จึงทำให้มีแรงเทขายหุ้นออกมากดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (25 พ.ย.) คาดว่าจะยังคงได้รับแรงกดดันจากการเมืองในประเทศ ซึ่งต้องรอติดตามสถานการณ์ต่างๆ ว่าจะมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นตามมาหรือไม่ รวมทั้งต้องติดตามแรงเทขายในช่วงปลายปีว่าจะมีออกมาอย่างต่อเนื่องหรือไม่ โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 373 จุด และแนวต้านที่ระดับ 395 จุด
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. แอ๊ดคินซัน กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงบ่ายที่ปรับลดลงกว่า 10 จุด ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยไม่สดใสและวอลุ่มเบาบาง เพราะนักลงทุนกังวลปัจจัยทางการเมืองอาจยืดเยื้อและขยายวงกว้างมากขึ้น หลังจากที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ประกาศสงคราม 9 ทัพ ด้วยการเคลื่อนพลครั้งใหญ่ไปปิดล้อมสถานที่สำคัญๆ เช่น รัฐสภา ,พรรคชาติไทย,กระทรวงการคลัง และทำเนียบรัฐบาลชั่วคราวที่ดอนเมือง เป็นต้น
“ตลาดหุ้นได้รับผลกระทบจากการเมืองที่ยังไม่รู้ว่าจะยุติอย่างไร และคาดว่าจะยังมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทย รวมถึงกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาให้ความเห็นแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 52 อาจชะลอตัวลงทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไม่ดีนัก”
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นวันนี้ มีโอกาสเคลื่อนไหวในลักษณะผันผวน เพราะยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาสนับสนุน นอกจากนี้ปัจจัยทางการเมืองยังคงเป็นตัวแปรหลักที่มีอิทธิพลและส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุน ส่วนราคาน้ำมันและดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศยังเป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ด้านกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ (มาร์เกตแคป) หลังจากมีแรงเทขายหุ้นบิ๊กแคปออกมาอย่างต่อเนื่อง ดั้งนั้นจึงแนะนำให้เลือกลงทุนในหุ้นขนาดเล็กที่ได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่เริ่มปรับตัวลดลง และราคาทองที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และทองคำ เป็นต้น โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 375 จุด และแนวต้านที่ 395 จุด
นักวิเคราะห์กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดหุ้นยังถูกกดดันเกี่ยวกับปัจจัยภายในประเทศ โดยเฉพาะช่วงบ่ายที่ดัชนีปรับตัวลดลงหลุดระดับ 390 จุด บวกกับตลาดหุ้นภูมิภาคปรับตัวลดลง จากกรณีที่ทางกาสหรัฐฯ ต้องเข้าช่วยเหลือซิตี้กรุ๊ปมูลค่ากว่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้นักลงทุนวิตกถึงวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ขณะที่วันนี้ตลาดหุ้นไทยยังคงอ่อนไหวอาจจะปรับตัวขึ้นลงในกรอบแคบๆ
|
|
 |
|
|