|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
“ระนองรักษ์” ทบทวนโครงสร้างจัดเก็บภาษีสรรพสามิตใหม่ 11 รายการอีกครั้งหลัง รมช.พิชัย เสนอครม.เมื่อรัฐบาลที่แล้วพ้นตำแหน่ง ตั้งธงเก็บภาษีเครื่องดื่มน้ำดำอ้างเพื่อความเป็นธรรมให้แก่ผู้ประกอบการ สั่งการกรมสรรพสามิตเตรียมพร้อมเก็บภาษีน้ำมันหลัง 6 มาตรการ 6 เดือนใกล้ครบกำหนดหวังดึงภาษีเดือนละ 5 พันกว่าล้านคืน
ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รมช.คลัง เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมสรรพสามิตศึกษาการปรับโครงสร้างภาษีในบางรายการสินค้าเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดเก็บและสร้างความเป็นธรรมต่อผู้ประกอบการสินค้า ซึ่งในสมัยที่นายพิชัย นริพทะพันธ์ เป็น รมช.คลัง กำกับดูแลกรมสรรพสามิตได้เสนอแก้ไขเพิ่มเติมการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตอีกจำนวน 11 รายการเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่รัฐบาลชุดดังกล่าวที่มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีต้องหมดสภาพลง จึงต้องพิจารณาการปรับปรุงแก้ไขการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตทั้ง 11 รายการที่นายพิชัยยื่นเสนอแก้ไขอีกครั้ง
โดยเฉพาะในสินค้าประเภทเครื่องดื่มที่มียอดขายสูง ได้แก่ น้ำดำยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งบรรจุขวดใหญ่ แต่จัดเก็บภาษีในอัตราต่ำทำให้น้ำดื่มน้ำดำอีกยี่ห้อที่บรรจุในขวดเล็กกว่าเสียเปรียบเพราะเสียภาษีในอัตราใกล้เคียงกัน ซึ่งได้ให้เจ้าหน้าที่ไปดำเนินการศึกษาว่าจะจัดเก็บภาษีจากน้ำดำอย่างไร อาจจะตั้งมิเตอร์วัดที่สายงานบรรจุขวดหรือคำนวณภาษีเป็นล็อตการผลิต
“สินค้าฟุ่มเฟือยประเภทต่างๆ ต้องดูว่าจะปรับขึ้นหรือไม่อีกครั้งอย่างละเอียดต้องหารือกับกรมสรรพสามิตอีกครั้งก่อนที่จะพิจารณา ทั้งน้ำหอม คริสตัล และจิวเวลรี่ก็สั่งการให้ปรับปรุงการจัดเก็บเช่นกัน แต่ส่วนนี้คงไม่เพิ่มรายได้เข้ารัฐมากนัก เพราะมีสัดส่วนน้อยหากเทียบกับสินค้าประเภทเหล้าและบุหรี่ ซึ่งอาจไม่มีการเปลี่ยนแปลง” ร.ต.หญิงระนองรักษ์กล่าว
โค้ก-เป็ปซี่เตรียมจ่ายภาษีเพิ่ม
แหล่งข่าวจากรมสรรพสามิต กล่าวว่า ปัจจุบันกรมจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสำหรับเครื่องดื่ม ซึ่งรวมถึงน้ำอัดลม หรือน้ำดำ ในอัตรา 20% ของมูลค่า หรือ 37 สตางค์ต่อ 440 มิลลิลิตร ซึ่งถือเป็นการจัดเก็บภาษีตามมูลค่าและปริมาณขึ้นอยู่กับว่าเม็ดเงินภาษีในแบบใดสูงกว่าจึงเสียภาษีตามนั้น ซึ่งผู้ค้ารายใหญ่ทั้ง 2 ราย คือ โค้ก และ เป็ปซี่ก็เสียในอัตราที่เท่ากัน เพราะมีมูลค่าและปริมาณการบรรจุขวดที่ไม่แตกต่างกัน
โดยน้ำอัดลมประเภทกระป๋อง 330 มิลลิลิตรจะเสียภาษีอยู่ประมาณ 1 บาทต่อกระป๋อง ขณะที่น้ำอัดลมแบบขวดขนดา 440 มิลลิลิตรจะเสียภาษีประมาณ 2 บาท ขณะที่ขวดลิตรจะเสียภาษีประมาณ 6-7 บาท เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม มีผู้ประกอบการบางรายที่พยายามที่จะเสียภาษีในอัตราที่ต่ำจึงได้นำบรรจุภัณฑ์ขนาดใหญ่มาใช้ในการบรรจุน้ำอัดลมราคาถูก เพื่อให้การจัดเก็บภาษีไม่เข้าข่ายการเสียภาษีตามปริมาณ ที่ 37 สตางค์ ต่อ 440 มล. มาเป็นการเสียภาษี 20 % ของมูลค่าแทนโดยสำแดงมูลค่าต่ำกว่า 2 ยี่ห้อที่แพร่กลายในตลาด คือ โคก และเป็ปซี่ ทำให้เสียภาษีต่ำกว่ากันประมาณ 1 – 2 บาทต่อขวด และทำให้สามารถลดราคามาแข่งในตลาดได้ โดยเดิม น้ำอัดลมยี่ห้อ “โค้กบิ๊ก” ทำตลาดอยู่ทางภาคใต้ แต่เวลานี้เริ่มขยายเข้ามาสู่กรุงเทพและปริมณฑลแล้ว ซึ่งกรมก็พยายามที่จะจัดระเบียบในเรื่องการสำแดงมูลค่าให้อยู่ในมาตรฐาน เพื่อให้การเสียภาษีเป็นไปอย่างเท่าเทียมกัน สำหรับสินค้าที่มีรายการเดียวกัน
สั่งสรรสามิตรับมือเก็บภาษีน้ำมัน
สำหรับเรื่องเร่งด่วนที่ได้สั่งการให้กรมสรรพสามิตเตรียมพร้อมจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันเนื่องจากมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนตามนโยบาย 6 มาตรการ 6 เดือนของ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรวม.คลัง ใกล้สิ้นสุดระยะเวลาที่ประกาศใช้แล้ว ซึ่งหากคำนวณรายได้ของกรมที่สูญเสียไป 6 เดือนเฉลี่ยเดือนละ 5 พันล้านบาทจะสูญเสียรายได้ทั้งหมด 3 หมื่นกว่าล้านบาท
ซึ่งรายละเอียดในการจัดเก็บภาษีน้ำมันนั้นกรมสรรพสามิตจะต้องดำเนินการจัดเก็บภาษีสรรสามิตน้ำมันทุกประเภททั้งเบนซิน แก๊สโซฮอลล์ อี 20 อี 85 ดีเซลและไบโอดีเซล แต่จะจัดเก็บในอัตราเท่าไรนั้นต้องหารือในรายละเอียดอีกครั้ง
โดยเฉพาะการเก็บภาษีน้ำมันเบนซิน อี 85 เพื่อเป็นการจูงใจให้เกิดการประหยัดพลังงานจะต้องหารือกับกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงพลังงานเพื่อขอความชัดเจนสำหรับแนวทางสนับสนุนการประหยัดพลังงานว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันอี 85 จะมีการนำเข้ามาปีละกี่คันต้องมีความชัดเจนในจุดนี้ออกมาเพราะหากสนับสนุนด้านภาษีเพียงอย่างเดียวโดยไม่ดูความเป็นจริงในท้องตลาดว่าการใช้รถที่แท้จริงและการสนับสนุนของภาครัฐสอดคล้องกันมากน้อยเพียงใด
“เราไม่ทิ้งเรื่องภาษีอี 85 แน่นอนแต่ต้องประเมินสถานการณ์ตลอดเวลาว่าช่วงไหนที่เหมาะสมจะช่วยด้านภาษีแก่ใคร ต้องดูว่าตอนนี้สนับสนุนอีโคคาร์ดีกว่าไหม หรือสนับสนุนอี 85 ต้องดูให้รอบคอบ รวมทั้งดูวัตถุดิบที่จะมาสนับสนุนอี 85 ว่ามีความพร้อมหรือยังต้องใช้วัตถุดิบนำเข้าเท่าไรและใช้วัตถุดิบที่ผลิตในประเทศในสัดส่วนเท่าไรจึงจะสนับสนุนศักยภาพในการแข่งขันและการประหยัดพลังงานได้” รมช.คลังกล่าว
เดินหน้าพัฒนาใต้ทางด่วน
ร.ต.หญิงระนองรักษ์กล่าวว่า ภายในสัปดาห์นี้ จะนำเรื่องโครงการปรับปรุงพื้นที่ใต้ทางด่วน เพื่อให้ประชาชนมาขายสินค้าเข้าสู่การประชุมครม. เพื่อขออนุมัติในหลักการอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเดินหน้าในโครงการนี้ต่อไป หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้เลื่อนออกไปไม่มีกำหนด เนื่องจากปัญหาทางการเมือง เพราะเมื่อเปลี่ยนครม.ใหม่ เรื่องที่เสนอไว้ และเรื่องที่เป็นนโยบายต้องเสนอกลับไปให้ครม.พิจารณาอีกรอบ ในส่วนของบริษัทธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) ที่ดูแลเรื่องอยู่ ได้ศึกษาและเตรียมการไว้ตลอด หากครม.อนุมัติก็เปิดใช้ได้ทันที ซึ่งหลักการจะยังคงเดิม โดยจะเริ่มนำร่องใน 4 พื้นที่ใต้ทางด่วน คือ ใต้ทางด่วนรามอินทรา อนุสาวรีย์ชัย สีลมและสุขุมวิท
|
|
|
|
|