|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดทุน ชี้เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำสุดไตรมาส 2/52 ด้านตลาดหุ้นแย่สุดไตรมาส1/52 พร้อมแนะนักลงทุนเก็บหุ้นช่วงนี้ถึงกลางปีหน้า ได้ผลตอบแทนสูงหากถือยาว 3-5 ปี ด้านบล.ภัทร แนะนักลงทุนจับตา 3 ปัจจัย “ราคาสินทรัพย์สหรัฐยุโรป – การเติบโตเศรษฐกิจจีน - การเมืองไทย” หวั่นยิ่งส่งผลร้ายมากขึ้น ด้านเลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์ แจงเศรษฐกิจไทยปีหน้าไปรอดแม้โต 2.5-3% กำไรบจ.ลดลง 5% จากปีนี้ กำไรรวม 5 แสนล้านบาท
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด กล่าว ภายในงานสัมมนาเรื่อง “วิกฤตโลกครั้งใหม่ : เศรษฐกิจและหุ้นไทยไปรอดหรือไม่” วานนี้ (20 พ.ย.) ว่า ขณะนี้ปัญหาวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ได้ผ่านมาแล้วครึ่งทาง ซึ่งประเมินจากมูลค่าความเสียหายที่สถาบันการเงินสหรัฐมีการตั้งสำรอง 9 แสนล้านเหรียญสหรัฐและมีการเพิ่มทุนเข้ามาแล้ว 8 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และธนาคารกลางของประเทศต่างๆได้มีการอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินต่างๆ และข่าวได้ได้ออกมาแล้วถึง 80-90% เชื่อว่าข่าวร้ายยังคงมีออกมาอีกไม่มาก
“ผมประเมินว่าวิกฤตเศรษฐกิจโลกจะตกต่ำสุดในไตรมาส 2/52 แต่ตลาดหุ้นนั้นจะรับรู้ผลกระทบก่อนข่าวร้ายจะปรากฏประมาณ 4-6 เดือน ดังนั้นคาดว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวต่ำสุดในไตรมาส 1/2552 ซึ่งราคาหุ้นไทยขณะนี้มีการซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี 1 เท่า ถือว่าต่ำกว่าในช่วงวิกฤตปี 40 ที่มี 1.2 เท่า หากนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นในช่วงที่จุดต่ำสุดนั้นจะทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ดี หากถือลงทุนได้นานถึง 3-5 ปี”
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล. เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP.oฐานะนายสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า หุ้นทั่วโลกมีการปรับตัวลดลง 40% ทำให้มูลค่าหุ้นเหลือ 35 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จากปี 2550 ที่มี 60 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งแนวโน้มหุ้นทั่วโลกจะยังคงปรับตัวลดลงอีก แต่ไม่น่ารุนแรง แต่การที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้นั้นจะต้องใช้เวลานานจากปัญหาวิกฤตการเงินได้ลุกลามไปสู่ภาคธุรกิจที่แท้จริง
ทั้งนี้ จะต้องรอให้ผลกระทบจากภาคธุรกิจที่แท้จริงให้นิ่งก่อนจึงเชื่อว่าตลาดหุ้นจะถึงจุดต่ำสุดในช่วงนี้ถึงกลางปี 52 ซึ่งนักลงทุนที่มีเงินเหลือหากต้องการซื้อหุ้นก็ควรที่จะเข้ามาลงทุนในช่วงนี้ถึงกลางปีหน้าแต่จะต้องทยอยเข้าไปซื้อ และถือหุ้นในระยะยาวเพื่อที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูง เพราะ เข้าซื้อหุ้นขณะนี้ถือว่าซื้อต่ำกว่าผู้ก่อตั้ง และมีการซื้อขายต่ำกว่า บุ๊กแวลู และกำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ยังคงมีกำไรดีอยู่
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการหัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ภัทร จำกัด (มหาชน)หรือ PHATRA เปิดเผยว่า บล.ภัทร คาดว่าปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะมีการเติบโต 3.3% จากได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวภาคส่งออกและภาคการผลิตลดลงจากต่างประเทศประสบปัญหาทางการเงิน ซึ่งประชาชนมีสินทรัพย์ที่ลดลง 20% ทำให้มีคำสั่งซื้อสินค้าลดลง โดยในช่วง 1-2 เดือนนี้ภาคการผลิตต่างๆคำสั่งซื้อสินค้าจะลดลงอย่างมาก โดยต่ำสุดในไตรมาส4ปีนี้ถึงปีหน้า โดยคาดว่าส่งออกของไทยปีหน้าจะโต 7% ลดลงจากปีนี้ที่มีการเติบโต 19%
ทั้งนี้ การที่ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงแรงมากทั้งที่สถาบันการเงินไทยไม่ได้มีปัญหาเนื่องจาก นักลงทุนต่างประเทศมีการกู้เงินมาซื้อหุ้น และเมื่อสถาบันการเงินมีปัญหาทำให้ต้องรีบขายหุ้นออกไปเพิ่มสภาพคล่องโดยที่ไม่สนใจในเรื่องราคาหุ้น และจากการที่หุ้นไทยมีขนาดเล็กและยังคงมีปัญหาในเรื่องปัจจัยทางการเมืองนั้น ทำให้ต่างชาติจะยังไม่เข้ามาซื้อหุ้น
อย่างไรก็ตามการที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาแรงนั้นถือว่าเป็นโอกาสที่จะเข้าไปลงทุน แต่ควรที่จะถือในระยะยาว 3 ปี จากปัญหาที่เกิดในสหรัฐและยุโรปจะทำให้เศรษฐกิจประเทศดังกล่าวตกต่ำเป็นเวลานาน โดยจากสถิติในเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกจะลดลง 1 ปี ซึ่งจะอยู่ที่ระดับจุดต่ำสุด 2-3 ไตรมาส และกลับมาเข้าสู่ภาวะปกติ 1 ปี แต่จากปัญหาในปีนี้มีความรุนแรงมากนั้นคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะอยู่จุดต่ำสุด 8 ไตรมาสและจะค่อยปรับตัวสู่ภาวะปกติปี 2553
สำหรับปัจจัยลบที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ ซึ่งนักลงทุนจะต้องติดตาม 3 ปัจจัย คือ ปัจจัยที่ 1 ราคาสินทรัพย์ของสหรัฐและยุโรป ว่าจะมีการหยุดตกต่ำเมื่อไร เพราะ อสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐยังคงปรับลดลงต่ำเนื่อง และภาคธุรกิจโรงแรม และบริษัทธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าขายที่ราคาต่ำ ซึ่งจะส่งผลกระทบกับธนาคารพาณิชย์ จากที่เป็นผู้ปล่อยกู้ และจากการที่ราคาหุ้นของซิตี้แบงก์มีการปรับตัวลดลงต่อเนื่องทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เกตแคป)เหลือ 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่มีทุนถึง 1.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมาร์เกตแคปต่ำว่าทุนถึง 2 เท่า ซึ่งแสดงว่าสินทรัพย์ของสหรัฐจะปรับตัวลดลงอีก จากมาร์เกตแคปที่ปรับตัวลดลงไปรอ
ปัจจัยที่ 2 เศรษฐกิจจีนจะมีการเติบโตได้ถึง 8.5% หรือไม่ เพราะ การที่นักวิเคราะห์ประเมินเศรษฐกิจโลกปีหน้าจะโต 2% นั้นเศรษฐกิจจีนต้องมีการโตที่ระดับ 8.5% แต่จากการที่ประเทศจีนมีการสั่งซื้อสินค้าที่ลดลงจำนวนมากนั้น จึงทำให้เริ่มไม่แน่ใจว่าเศรษฐกิจจีนจะโตถึงระดับดังกล่าวได้ และปัจจัยที่3ในเรื่องการเมืองภายในประเทศเพราะขณะนี้มีข่าวออกมาต่อเนื่อง มีการขว้างระเบิดใส่กลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มพันธมิตรฯจะมีการนัดชุมนุมครั้งใหญ่วันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ และการที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะกลับเมืองไทยวันที่ 15 ธันวาคมนี้ ทำให้ประเมินสถานการณ์ดังกล่าวยากว่าจะเป็นทิศทางใด
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจโลก ปีหน้าเศรษฐกิจทั้งโลกจะโตไม่เกิน 2 %แต่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 2.5-3% ซึ่งถือว่ามีการเติบโตที่ดี บจ.มีกำไรดีอยู่แม้จะปรับตัวลดลง 5% จากปีนี้ที่มีกำไรรวม 5 แสนล้านบาท
“ส่วนตัวมองว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะไปรอดจากที่มีการเติบโตที่ดีอยู่ บจ.ก็ยังมีกำไร แต่หุ้นอาจมีการปรับตัวลดลงมาก ”นายสมบัติกล่าว
|
|
|
|
|