Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน21 พฤศจิกายน 2551
หุ้นเอเชียกอดคอดิ่งเหว             
 


   
search resources

Stock Exchange




ตลาดหุ้นทั่วเอเชียกอดคอกันร่วง หลังดัชนีดาวโจนส์รูดต่ำกว่า 8 พันจุด ต่ำสุดในรอบกว่า 5 ปี โดยตลาดหุ้นไทยปิดที่ 393.85 จุด ลดลง 14.66 จุด นักลงทุนต่างชาติยังทิ้งหุ้นอีก 1.8 พันล้านบาท ด้านบล.กสิกรไทย คาดการณ์ปี 52 เหตุการณ์เลวร้ายสุดจีดีพีโตได้แค่ 2% ฉุดกำไรบจ.หาย 50% โบรกเกอร์ สั่งจับตาเศรษฐกิจโลก-การเมืองอย่างใกล้ชิดก่อนตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้น

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (20 พ.ย.) ค่อนข้างเงียบเหงา ท่ามกลางปัจจัยลบเรื่องของความกังวลภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่งผลให้นักลงทุนรอดูท่าทีที่ชัดเจนรวมถึงผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยทางการเมืองที่เริ่มส่งสัญญาณจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

โดยดัชนีตลาดหุ้นไทย ปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับ 400 จุดตั้งแต่เปิดการซื้อขายช่วงเช้า มีระดับราคาสูงสุดที่ 399.98 จุด หลังจากนั้นได้มีแรงเทขายหุ้นขนาดใหญ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงค่อนข้างแรงจนแตะระดับต่ำสุดที่ 390.17 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 393.85 จุด ลดลงจากวันก่อน 14.66 จุด หรือคิดเป็น 3.59% มูลค่าการซื้อขายรวม 8,901.93 ล้านบาท

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 1,824.13 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 131.83 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,955.95 ล้านบาท

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิดที่ 142 บาท ลดลงจากวันก่อน 8 บาท หรือคิดเป็น 5.33% มูลค่าการซื้อขายรวม 1,376.49 ล้านบาท บมจ.บ้านปู (BANPU) ปิดที่ 167 บาท ลดลง 8 บาท หรือ 4.57% มูลค่าการซื้อขาย 727.28 ล้านบาท และบมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปิดที่ 84.50 บาท ลดลง 2.50 บาท หรือ 2.87% มูลค่าการซื้อขายรวม 712.27 ล้านบาท

การปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหุ้นไทยครั้งนี้ สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน อาทิ ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดที่ 12,298.56 จุด ลดลง 517.24 จุด หรือ 4.04% ดัชนีนิกเออิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 7,703.04 จุด ลดลง 570.18 จุด หรือ 6.89%

นายรพี สุจริตกุล ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย กล่าวในงานสัมมนา “เศรษฐกิจ การเงิน การลงทุนไทย สู้ต่ออย่างไรให้พ้นวิกฤต” ว่า บริษัทประเมินตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2552 ในกรณีที่เลวร้ายสุดจะสามารถขยายตัวได้ 2% ซึ่งจะส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนลดลงจากปีนี้ประมาณ 50% และดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ระดับ 530 จุด

“ปัจจุบันดัชนีตลาดหุ้นอยู่ที่ 400 จุด แสดงให้เห็นว่านักลงทุนเกิดความกังวลมากเกินกว่าปัจจัยพื้นฐาน แต่ในปีหน้าจะเป็นไปตามสมมติฐานในกรณีที่เลวร้ายสุดหรือไม่นั้น คงจะต้องติดตามดัชนีๆ ต่อไปว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะเสียหายและสร้างผลกระทบลุกลามมายังเศรษฐกิจไทยมากน้อยเพียงใด”

สำหรับการลงทุนเพื่อรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ นักลงทุนต้องหันกลับมาพิจารณาพอร์ตตัวเองว่า ถือครองหุ้นที่จะมีผลประกอบการติดลบหรือไม่ หากประเมินแล้วว่าเป็นหุ้นที่ไม่สามารถเอาตัวรอดจากภาวะเศรษฐกิจได้แนะให้ย้ายกลุ่มหุ้นที่ลงทุน

อย่างไรก็ตาม หากเป็นผู้ลงทุนระยะยาวในระยะ 12 เดือนข้างหน้านี้ ถือเป็นช่วงเหมาะสมเข้ามาทยอยลงทุนในกลุ่มหุ้นที่มีความปลอดภัย ในสัดส่วน 30-40% ของพอร์ต เช่นกลุ่มพลังงาน เพราะมีความเป็นไปได้สูงมากที่ราคาน้ำมันในช่วง9-12 เดือนข้างหน้าจะปรับขึ้นมาได้อีก ขณะที่นักลงทุนเก็งกำไรคงมีโอกาสทำได้ยาก จึงแนะนำให้ไปขายล่วงหน้า (ชอร์ต) ในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(ฟิวเจอร์ส) แทน

นางวรวรรณ ธาราภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุนรวม กล่าวว่า ในภาวะที่ภาพรวมผลประกอบการบจ.ไม่ดี นักลงทุนควรมีหลักเกณฑ์การลงทุนโดยให้เลือกลงทุนในบริษัทที่ยังมีโอกาสจ่ายเงินปันผลในอนาคตที่ยังดีอยู่ เพื่อชดเชยในภาวะที่ยังไม่ได้รับผลตอบแทนจากราคาหุ้น โดยเลือกลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สื่อสาร ไฟฟ้า น้ำ ทางด่วน หรือรถไฟฟ้า รวมไปถึงกลุ่มหุ้นที่รับรู้ข่าวร้ายไปอย่างมากเช่นกลุ่มพลังงาน

นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลงตามตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวลดลง จากนักลงทุนยังกังวลกับปัญหาเศรษฐกิจที่มีภาวะชะลอตัว โดยเฉพาะจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่หดตัว ยิ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจรวม ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับหนี้เสียของเศรษฐกิจโลกที่ปัจจุบันเริ่มมีมากขึ้น และเริ่มจะขยายวงกว้างอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันสถานการณ์ทางการเมืองได้ส่งสัญญาณความรุนแรงมากยิ่งขึ้น หลังจากเกิดเหตุการณ์ระเบิดในการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และการนัดรวมตัวของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)

สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีโอกาสปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากไม่มีปัจจัยบวกมาสนับสนุนของนักลงทุน โดยปัจจัยที่ต้องติดตามคือสถานการณ์การเมืองและปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะมีมาตรการใดออกมาในระยะนี้เพื่อยับยั้งวิกฤตเศรษฐกิจจะลุกลามรุนแรงอีกหรือไม่ โดยกลยุทธ์การลงทุน แนะนำชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์ ประเมินแนวรับที่ 383-380 จุด และแนวต้านที่ 400-410 จุด

นายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับตัวลงตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกที่รับแรงกดดันจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับลงต่ำกว่า 8,000 จุด ซึ่งต่ำสุดในรอบกว่า 5 ปี และเป็นสัญญาณเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นวอลล์สตรีท เนื่องจากนักลงทุนมีความกังวลจากข้อมูลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย และทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น จากภาคการเงินสู่ภาคการผลิตที่แท้จริงและภาคการจ้างงานที่อ่อนแอลงจากการปลดคนงานของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หลายแห่ง

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นวันนี้ ดัชนีมีโอกาสรีบาวน์ทางเทคนิค ภายหลังจากปรับลงแรงในวันนี้ แต่มองว่าการปรับขึ้นครั้งนี้จะเป็นการขึ้นเพื่อลง เพราะในภาพระยะกลางยังมองไม่เห็นปัจจัยบวกที่จะเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการเมืองในประเทศ ถือเป็นตัวแปรที่ถ่วงบรรยากาศการลงทุนอย่างมาก โดยกลยุทธ์การลงทุน แนะนำหาจังหวะขาย ประเมินแนวรับ 380 จุด แนวต้าน 410 จุด   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us