Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน20 พฤศจิกายน 2551
KBANKหั่นเป้าสินเชื่อตามจีดีพี บัณฑูรชี้ต้มยำกุ้งช่วยไทยรอดวิกฤตโลก             
 


   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารกสิกรไทย

   
search resources

ธนาคารกสิกรไทย, บมจ.
บัณฑูร ล่ำซำ
Economics
Banking and Finance




"บัณฑูร ล่ำซำ" ชี้วิกฤตการเงินโลกครั้งนี้ในระดับสากลถือว่ารุนแรงมากกว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง แต่ไทยมีประสบการณ์ทำให้ไม่ถึงขั้นล้ม แต่แค่เซ ระบุส่งออกยังไปได้โดยเฉพาะภาคการส่งออกอาหาร ส่วนปัญหาด้านการเมืองในที่สุดแล้วจะมีทางออกได้เอง ด้านแบงก์ลดเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อลงเหลือ 6-7% จากเดิม 10-16% ตามภาวะเศรษฐกิจที่จะชะลอตัวลง ล่าสุดประกาศนำเครือธนาคารกสิกรไทยสู่ยุคใหม่อีกครั้ง มุ่งเป็นธนาคารที่พร้อมสรรพสำหรับให้คำปรึกษา พัฒนาหลากบริการ

นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือKBANK เปิดเผยว่า วิกฤตโลกที่เกิดขึ้นในตอนนี้มีความรุนแรงมากกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งและเท่าที่ได้พบกับนักลงทุนในต่างประเทศนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ในอารมณ์ค่อนข้างหดหู่ เนื่องจากตื่นเช้ามาทุกอย่างเป็นศูนย์ ซึ่งวิกฤตที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ต่างจากตอนที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย คือตายเร็วกว่า ปลดคนงานก็เร็ว ซึ่งปีนี้ต้องถือว่าเป็นคริสต์มาสของความโศกเศร้าของซีกโลกตะวันตก และคิดว่าปัญหาจะยังไม่จบ

"ผลกระทบต่อประเทศไทยถ้าจะบอกว่าไม่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะการค้าขายมันเกี่ยวโยงกันหมด คนที่เคยซื้อของกันก็หมดกำลังซื้อ แต่ถึงขึ้นล้มระเนระนาดถึงไม่ถึง แต่อาจจะเซไปบ้าง โดยสังเกตุได้ว่าในขณะนี้ไทยไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่มีฟองสบู่เหมือนตอนที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง รวมถึงไทยได้นำบทเรียนในช่วงนั้นมาใช้และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็มีการกำกับที่เข้ม"

นายบัณฑูรกล่าวถึงสถาบันการเงินว่าที่ผ่านมาไม่ได้มีการปล่อยกู้สินเชื่อเพื่อการเก็งกำไร จึงไม่เป็นปัญหารุนแรง ขณะที่ภาคการส่งออกคงได้รับผลกระทบบ้างในส่วนของสินค้าที่เกินกว่าความจำเป็นส่วนสินค้าพวกอาหารที่ราคาไม่แพง เช่น ปลากระป๋อง นั้นนอกจากการส่งออกจะไม่ถดถอยแล้วน่าจะมีการส่งออกได้มากขึ้นด้วย และที่ผ่านมาทางผู้ประกอบการได้เห็นแนวโน้มดังกล่าวมานานแล้วและได้มีการปรับตัวไปบ้างแล้ว ด้วยการหาตลาดใหม่ ๆ และมีการปรับเรื่องของต้นทุนซึ่งจะทำให้สามารถอยู่รอดได้

ส่วนที่หลายฝ่ายมองว่าในปีหน้าจะคนตกงานเป็นจำนวนมากอาจเป็นหลักล้านคนนั้น มองว่า ปัญหาเรื่องการตกงานเป็นเรื่องใหญ่ แต่ส่วนของสังคมไทยไม่น่าจะมีความรุนแรงมากถึงขนาดนั้น เพราะการจะตกงานคงต้องเป็นส่วนของบริษัทที่เจ๊ง ซึ่งตอนนี้ธุรกิจไทยก็ยังประคับประคองกันไปได้ และในส่วนของสถาบันการเงินไทยเองน่าจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากยังต้องมีการพัฒนาธุรกิจต่อไปอีก

"การที่ราคาหุ้นตกก็เป็นเรื่องปกติที่พอภาวะไม่ดีก็จะมีการขายออกไป ส่วนเงินระยะยาวนั้นจะมีออกไปหรือไม่นั้นมองว่าไม่น่าจะมี เช่น ตอนนี้เงินลงทุนของญี่ปุ่นยังไม่หนีเลย เขายังคงใช้ไทยเป็นยุทธศาสตร์ในการลงทุนด้านการผลิตรถยนต์ แต่ที่ชะงักไปบ้างคงเป็นเรื่องของการท่องเที่ยว แต่ในความเป็นจริงคนยังอยากลงทุนและอยากมาเที่ยวไทย แต่เพียงรอจังหวะ"นายบัณฑูรกล่าว

นอกจากนี้ ปัญหาเรื่องการเมืองที่ไม่มีความชัดเจนในปัจจุบัน เชื่อว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทย เนื่องจากทำให้นักลงทุนหลายประเทศมีการชะลอการเข้ามาลงทุนในไทยเพราะภาพปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้เผยแพร่ไปทั่วโลกประกอบกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลก็ไม่สามารถดำเนินไปตามปกติได้ เพราะรัฐบาลไม่สามารถใช้ทำเนียบรัฐบาลเป็นที่ประชุมได้ แต่สิ่งที่ปรากฏคือมีการชุมนุมของกลุ่มคน จึงทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องไปใช้สนามบินดอนเมืองเป็นที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแทน แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าประเทศไทยคงจะสามารถหาทางออกให้กับปัญหาทางการเมืองได้ เพราะในที่สุดแล้วไม่ว่าจะเกิดเหตุการณือย่างไรขึ้นมาประเทศไทยก็สามารถหาทางออกและแก้ปัญหาได้ในที่สุด

สำหรับเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อของธนาคารในปี 2552 นั้น ธนาคารได้ปรับลดการเติบโต ลงเหลือ 6-7% ซึ่งเป็นการปรับลดลงจาก 2 เดือนก่อน ที่ประมาณการว่าในปี 2552 การขยายตัวสินเชื่อของธนาคารจะเติบโต 10-16% ซึ่งการปรับลดประมาณการดังกล่าวเป็นไปตามสมมติฐานการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จากเดิมที่คาดว่าจีดีพีปีหน้าจะโต 4-5% แต่ปัจจุบันคาดว่าจีดีพีปีหน้าจะโตได้อย่างมากที่ 3% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทำให้การส่งออกขยายตัวได้น้อยลง รวมถึงตัวแปรของการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกหลายตัวยังมีความคลุมเครือด้วย ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ปีหน้าคงมีการปรับตัวขึ้นบ้างตามวัฎจักร แต่คงไม่เป็นตัวเลขที่ใหญ่เท่ากับตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง

ล่าสุดประกาศนำเครือธนาคารกสิกรไทยสู่ยุคใหม่อีกครั้ง มุ่งเป็นธนาคารที่พร้อมสรรพสำหรับให้คำปรึกษา พัฒนาหลากบริการ K-Weplan, Advice Ready Branch, K SME Care Knowledge Center, K Business Clinic มั่นใจเป็นแห่งแรกที่พร้อมให้คำปรึกษาเรื่องการเงินแก่ลูกค้าทุกกลุ่ม โดยมีเป้าหมายให้ทุกบริการเป็นบริการที่ให้คำปรึกษา (Advice Ready) ที่มีความหมายและมีคุณภาพสูงสุด ซึ่งลูกค้าไม่สามารถหาได้จากสถาบันการเงินอื่น โดยช่องทางการให้บริการของธนาคารจะมุ่งพัฒนาไปสู่การเป็นศูนย์กลางการเป็นที่ปรึกษาด้านการเงิน ธุรกิจและเศรษฐกิจแก่ลูกค้าทุกกลุ่มอย่างมืออาชีพ   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us