โทมัส มิดต์เล่ย์ (THOMAS MIDGLEY) แห่งบริษัท เยเนอราล มอเตอร์ (G.M.)
เมื่อปี 1924 ได้ค้นพบสาร CHLOROFLUOROCARBONS (CFCs) มีคุณสมบัติทางเคมีในการเป็นตัวทำละลาย
อีก 5 ปีต่อมา นักวิทยาศาสตร์ของบริษัทเคมีภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ของโลก ดูปองต์
ได้พัฒนาสาร CFCs และพบว่า CFCs มีคุณสมบัติทางเคมีในฐานะเป็นสารที่สามารถนำความเย็นได้
(CFC12)
การค้นพบสาร CFC-12 ของบริษัท ดูปองต์ ที่ผู้ใช้รู้จักกันในนามสารฟรีออน
(FREONZ) นับว่าเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมทำความเย็นครั้งแรกในโลก
แอร์คอนดิชั่นที่ใช้ในบ้านเรือน รถยนต์ ตู้เย็น และห้องเย็นที่ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของมนุษย์
ก็ล้วนถูกเชื่อมโยงเข้ากับสาร CFC-12 ที่นำความเย็นมาให้ โดยผ่านอุปกรณ์เครื่องใช้
"มันเป็นเรื่องที่โกลาหลน่าดูถ้าหากว่าไม่มีการใช้ CFC-12 ในโลกอาหารสด
หรือแช่แข็งทุกประเภทที่มนุษย์ต้องใช้บริโภคประจำวัน จะไม่สามารถถนอมคุณสมบัติดั้งเดิมไว้ได้
คงต้องเน่าเสีย มนุษย์ที่อยู่ในแถบเมืองร้อนจะอาศัยอะไรมาทดแทนหรือบรรเทาความร้อน"
ผู้บริหารฝ่ายขาย CFCs ของบริษัทผู้ผลิตรายหนึ่งในกรุงเทพฯ ปรารภกับ "ผู้จัดการ"
สาร CFCs มีคุณสมบัติดีกว่าแอมโมเนีย ตรงที่ไม่เป็นพิษต่อร่างกายมนุษย์ไม่กัดกร่อนอุปกรณ์เครื่องใช้
ไม่ติดไฟ แต่จุดอ่อนคือ มีส่วนประกอบของโมเลกุลคอลไรด์ที่ระเหยลอยขึ้นไปในชั้นบรรยากาศแล้วทำลายโอโซน
โดยแอร์ และสเปรย์ มีศักยภาพทำลายโอโซนสูงที่สุด
บริษัท ดูปองต์ ผู้ผลิตสาร CFCs รายใหญ่สุดของโลก ได้ลงทุนทำวิจัยและพัฒนาสารเคมีทดแทน
CFCs ถึงปีละ 40 ล้านเหรียญ มาตั้งแต่ปี 2517
"สิ่งที่สำคัญของสารที่จะมาทดแทน CFCs ต้องมีคุณสมบัติไม่เป็นพิษต่อมนุษย์
ไม่กัดกร่อนอุปกรณ์เครื่องใช้ ไม่ติดไฟ ไม่ทำลายชั้นโอโซน และที่สำคัญ ๆ
มาก ๆ คือ มีผลต่อการลงทุนเพื่อปรับขบวนการผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเย็นให้น้อยที่สุด"
เชิดเกียรติ มนต์เสรีนุสรณ์ผู้บริหารฝ่ายขายของบริษัท ดูปองต์ กรุงเทพ เล่าถึงเจตนารมณ์ของดูปองต์ให้ฟัง
สารทดแทน CFCs (เฉพาะ CFC-11, CFC-12 และ CFC-113) เวลานี้ดูปองต์ได้คิดค้นวิจัยและพัฒนาขึ้นมาได้แล้ว
เป็น HFC-134A ที่จะมาแทน CFC-12 ซึ่ง HFC-134A มีคุณสมบัติไม่ทำลายชั้นโอโซน
และไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ ไม่กัดกร่อนอุปกรณ์ ไม่ติดไฟ จะติดอยู่เพียงประการเดียวที่ยังไม่มีข้อสรุปก็คือ
จะมีผลต่อการลงทุนปรับขบวนการผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ในอุตสาหกรรมทำความเย็นมากน้อยแค่ไหน
เพราะสาร HFC-134 A มีส่วนผสมของไนโตรเจนเพิ่มขึ้น ทำให้แรงอัด (PRESURE)
ของสาร HFC-134 A มีเพิ่มขึ้น
บริษัท ดูปองต์ ได้ลงทุนไป 30 ล้านเหรียญ เพื่อสร้าง PILOT PLANT ในการผลิตสาร
HFCs เพื่อมาแทน CFCs จะเริ่มผลิตได้ในปี 2533 และคงใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปีในการนำออกมาใช้ในเชิงพาณิชย์
ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น (2538) อุตสาหกรรมทำความเย็น ก็ถึงยุคการเปลี่ยนโฉมเทคโนโลยีการผลิตใหม่เป็นครั้งแรกในรอบกว่า
50 ปี