|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เกมชิงตลาดวิสกี้ระดับพรีเมียม เพอร์นอต ริคาร์ด เปิดศึกระลอกใหม่ เดินเกมเชิงรุก ชูชีวาส รีกัล ครบเซกเมนต์ ด้วยกลยุทธ์การตลาดสร้างประสบการณ์เข้าถึงลูกค้าใหม่ และรักษาฐานกลุ่มเดิมของแบรนด์ชีวาส ช่วงชิงแชร์เจ้าตลาด จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดกลางคืน
หลังจาก Re-Positioning ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ชีวาสให้มีความทันสมัยและดูเด็กลง นับตั้งแต่นั้นมาการทำตลาดของ ชีวาส ที่อยู่ภายใต้สโลแกนใหม่ This is the Chivas Life ก็ได้เปลี่ยนรูปแบบแพลตฟอร์มของมิวสิกมาร์เกตติ้งไปในแนวทางใหม่ โดยเน้นการจัดกิจกรรมการจัดปาร์ตี้ และมิวสิก มาร์เก็ตติ้ง เพื่อสร้างประสบการณ์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่มีอายุระหว่าง 25-35 ปี ให้มี Brand Awareness กับแบรนด์ชีวาสโดยตรง
การปรับเกมลงมาสร้างแบรนด์กับฐานลูกค้าที่มีอายุน้อยลง ส่งผลให้แนวทางการสื่อสารของแบรนด์ "ชีวาส " ในปัจจุบันที่ค่อนข้างจะเทรนดี้เด็กลงกว่าเดิม โดยเฉพาะการทำกิจกรรมมิวสิกแพลตฟอร์มในพื้นที่กรุงเทพฯ จะค่อนข้างเห็นชัดว่าเน้นการตลาดเพื่อสื่อสารกับลูกค้ากลุ่มใหม่เป็นหลัก
ทว่าเป้าหมายเพื่อขยายฐานกลุ่มลูกค้าใหม่นั้นทำให้เกิดช่องว่างในตลาด เพราะขาดการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้าเดิมของ ชีวาส รวมถึงการเสียเปรียบแบรนด์ดังของคู่แข่งในตระกูลจอห์นนี่ วอล์กเกอร์คือ แบล็ค เลเบิ้ล,กรีน เลเบิ้ล ,โกลด์ เลเบิ้ล,บลู เลเบิ้ล และสวิง ซึ่งเป็นสินค้าที่ฟูลพอร์ตเข้าถึงกลุ่มลูกค้าหลายระดับ
อย่างไรก็ตามเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เพอร์นอต ก็ได้อุดช่องว่างนี้ ด้วยการนำเข้าตระกูล ชีวาส ให้มีครบเซกเมนต์คือ ชีวาส 12 ปี เซกเมนต์พรีเมียม ชีวาส 18 ปี เซกเมนต์ซูเปอร์พรีเมียม และชีวาส 25 ปี ที่นำเข้ามาทำตลาดปีที่ผ่านมานั้น อยู่ในเซกเมนต์อัลตร้าพรีเมียมหลังเตรียมความพร้อมทางด้านผลิตภัณฑ์ที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทุกระดับแล้ว ในปีนี้ชีวาส ได้ปรับกลยุทธ์การทำตลาดแนวใหม่ให้กับแบรนด์ ชีวาส ทั้งตระกูล
ปัจจุบันเริ่มทำตลาดแบบครบตระกูล โดยการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเดิมของ ชีวาส ที่มีอายุตั้งแต่ 39 ปีขึ้นไป ซึ่งมีความชื่นชอบในแบรนด์ชีวาสมานานแล้ว จะมีการทำตลาดแนวใหม่ที่เน้นสร้างประสบการณ์ สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ลูกค้าเป้าหมายกลุ่มนี้ ผ่านกิจกรรม "ชีวาส วิสกี้ ดินเนอร์" ซึ่งเป็นวิสกี้ดินเนอร์เต็มรูปแบบ ที่เชิญลูกค้ามาทานข้าวสังสรรค์ และให้ความรู้เรื่องสินค้า และเป็นตัวเชื่อมไปสู่การจัดอีเวนต์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไลฟ์สไตล์เป็นผู้ใหญ่และต้องการจุดเด่นเพิ่มเติมในด้านรสชาติให้สอดคล้องกับความต้องการ
นับว่า "ชีวาส วิสกี้ ดินเนอร์" เป็นกิจกรรมที่มีความแตกต่างจากรูปแบบเดิมๆ ที่เป็นการดื่มสังสรรค์ขณะฟังเพลงเต้นรำ และเปิดโอกาสให้ได้ทดลอง ชีวาส ทุกตระกูล ชีวาส รีกัล 12 ปี โกลด์ซิกเนเจอร์ 18 ปี และวิสกี้ระดับตำนานอย่าง ชีวาส รีกัล 25 ปี นับว่าเป็นส่วนหนึ่งและสีสันของการทำแบรนด์ชีวาส
นอกจากการตลาดสร้างประสบการณ์ผ่านแคมเปญ "ชีวาส วิสกี้ ดินเนอร์" แนวการตลาดที่อยู่บนแพลตฟอร์มของมิวสิก มาร์เกตติ้งเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ทำมาอย่างต่อเนื่องนั้น ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายของแบรนด์ที่มีทั้ง 2 วัย ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าใหม่ หรือกลุ่มเดิมที่มีแบรนด์ลอยัลตี้กับสินค้า
ที่สำคัญการตลาดในยุคที่แบ่งกลุ่มผู้บริโภคตามไลฟ์สไตล์นั้น สิ่งสำคัญที่จะทำให้ ชีวาส กลับมาผงาดได้ นั่นคือ การใช้ความต่อเนื่องในการทำตลาดด้วยมิวสิกแพลตฟอร์มเข้ามาเป็นกลยุทธ์หลักในการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมาย ที่อยู่ภายใต้แคมเปญ"ชีวาส มิวสิก เทอร์มินอล" จัดขึ้นในทุก 2 เดือน โดยมีจุดเริ่มต้นเมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา เป็นแคมเปญที่มีการจัดต่อเนื่อง และเปลี่ยนไปในสถานที่ต่างๆ ให้ครอบคลุมเอาต์เลตที่เป็นเอ็กซ์คลูซีฟแชนแนลให้ทั่วกรุงเทพฯ โดยแนวเพลงของ ชีวาสเทอมินอล ที่จัดขึ้นมาแต่ละครั้งจะมีความแตกต่างและมีหลากหลาย แต่เป้าหมายที่ต้องการจะสื่อสารไปถึงนั้นยังคงเป็นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเดียวกัน
ออย อิทธิกุล ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ ชีวาส รีกัล กล่าวกับ "ผู้จัดการรายสัปดาห์" ว่า ปีนี้ในฐานะที่ ชีวาส มีครบทุกตระกูล ทำให้มีการทำตลาด ชีวาส ที่เป็นคอร์ปอเรตแบรนด์ ในแง่ของการสื่อสารการทำตลาดแบบครบทั้งตระกูลนั้น จะส่งผลตั้งแต่ตัวเล็กถึงตัวใหญ่ และส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์
แบรนด์ลอยัลตี้ของลูกค้าชีวาสกลุ่มเดิมที่เป็นพันธุ์แท้จะมีความชื่นชมในตัว Product เป็นอันดับแรกที่เป็นจุดครองใจ และเป็นกลุ่มที่มีความพิเศษกับรสชาติ ส่วนลูกค้ากลุ่มใหม่ หลังจากที่ช่องทางการขายกลางคืนคลอบคลุมมากขึ้น รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่มีความสม่ำเสมอต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดขายในตลาดกลางคืนเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบางร้านมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็นหลักพันขวดต่อเดือน
"ยอดขายที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลที่ได้รับจากการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ทันสมัยและดูเด็กลง เปลี่ยนภาพลักษณ์ของชีวาสที่ไม่ได้คิดว่าแอบขโมยเหล้าจากระเช้าพ่อมาเปิดกินกัน โดยสัดส่วนยอดขาย ชีวาส แต่ละช่องทาง ในปีที่ผ่านมาโตมากในตลาดกลางวัน ซึ่งเป็นผลที่ได้รับจากกลยุทธ์ราคา 799 บาท ส่วนในปีนี้มีการเติบโตทั้ง 2 ตลาด"
ส่วนยอดขายในตลาดกลางคืน เป็นผลจากกิจกรรม"ชีวาส มิวสิก เทอร์มินอล" ที่ผ่านมาทั้ง 7 ครั้ง และเป็นการตลาดแนวใหม่ที่มีวางแผนการสื่อสารการตลาดที่ลงตัว เริ่มจากผ่านตลาดเว็บไซต์ และงานปาร์ตี้ ที่มีความสอดคล้องกัน โดยจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นมา 7-8 คน ได้มาจากฐานข้อมูลในการจัดปาร์ตี้
จากเดิมกลยุทธ์ออนไลน์ที่สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายเป็น One Way Communication ที่มีเป้าหมายเพื่อประชาสัมพันธ์งานปาร์ตี้เท่านั้น แต่ปัจจุบันการสื่อสารการตลาดของแบรนด์ ชีวาส ปรับมาสู่การสื่อสารที่อยู่ในรูปแบบ Two Way Communication กับ ออนไลน์ คอมมูนิตี้เข้ามา
นับจากนี้ไปการสื่อสารการตลาดของ ชีวาส จะใช้การสื่อสารการตลาดผ่านสื่อนี้เป็นจุดเชื่อมต่อเข้าถึงลูกค้าโดยตรง โดยมีการลงทะเบียนลงข้อมูลพื้นฐาน ผ่านกิจกรรม ชีวาส เทอร์มินอล และครั้งที่ 7 ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการเชื่อมโยงระบบการรับสมัครคนมาเข้างานปาร์ตี้ให้เข้ากับ ออนไลน์ คอมมูนิตี้ ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างอะไรให้เป็นที่ยุ่งยากกับชีวิต แต่เริ่มจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว โดยใช้การเชื่อมต่อผ่าน ไฮไฟว์ เฟซบุ๊ก และมัลติพลาย ซึ่งจะเป็นแกนหลักในการสื่อสาร เพียงแต่จะต้องเข้าไปอัปเดตทุกๆวัน และเชื่อมต่อให้เข้ามาอยู่ในคอมมูนิตี้ของเรา เมื่อได้รับการตอบรับเป็นเพื่อน จะทำให้การเข้าถึงมีศักยภาพยิ่งขึ้น
หากมองแนวเพลงแดนซ์ที่อยู่ในงานปาร์ตี้ของ ชีวาส ซึ่งเป็นแบรนด์ที่อยู่ในตลาดมานาน อาจมีคำถามที่ว่า ชีวาส เปลี่ยนเกมเพื่อไม่ให้ชนกับคู่แข่ง แบล็ค เลเบิ้ล โดยหันมาจับกลุ่มเป้าหมายที่มีอายุน้อยกว่า ทว่าการเข้าถึงที่มีการสื่อสารผ่านทั้ง ดีเจ และเพลงไทย ที่ผสมผสานทุกวัย จะมีความหลากหลาย ทำให้คนที่เข้ามาร่วมงานนั้นค่อนข้างกว้างมาก เพราะมีตั้งแต่อายุ 25 ไปจนถึง 35 ปี
แม้มีความหลากหลายของดนตรี แต่ไลฟ์สไตล์ไม่ได้ทำให้ความแตกต่างด้านอายุเป็นอุปสรรคในการทำตลาด แต่ละแคมเปญเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายต่างกันอย่างชัดเจน แคมเปญสื่อสารในออฟพรีมิส ซึ่งจะไม่ดูเด็กและไลฟ์สไตล์เพื่อสื่อกับกลุ่มเดิม อีกทั้งมีโปรแกรมลอยัลตี้ สื่อสารกับลูกค้ากลุ่มเดิม มีการอัปเกรด เพื่อสร้างความมั่นใจอย่างต่อเนื่อง เป็นแคมเปญที่ทำหน้าที่ควบคู่กันไป
ไม่ว่าจะเป็นเพลงประเภทไหนก็ตาม แต่ก็สื่อสารไปถึงด้วยเมสเซจเดียวกัน นั่นคือเรื่องของการเข้าถึงไลฟ์สไตล์ ลูกค้ากลุ่มใหม่ที่อายุระหว่าง 25-39 ปี ซึ่งจะส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย และกลุ่มนี้จะมีไลฟ์สไตล์ที่สอดคล้องกับบุคลิกของแบรนด์ชีวาส โดยดนตรีจะเป็น 1 ปัจจัยที่อยู่ในชีวิต และแนวทางการตลาดแบรนด์ชีวาสที่ผ่านมานั้นใช้ดนตรีสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายนี้อย่างต่อเนื่อง
"หากย้อนกลับไป 2-3 ปี นับว่าชีวาสเป็นผู้บุกเบิกในการใช้ดนตรีแพลตฟอร์มมาสื่อสารกับผู้บริโภค และจากการที่ต้องการจะฉีกตัวเองเพื่อเป็นผู้นำเทรนด์ ซึ่งทำให้แนวทางในระยะหลังจะเน้นไปที่ อิเล็กโทรนิก มิวสิกดีเจ หลังจากนั้นค่ายอื่นก็จัดตามแบบกันมา ทว่าหากใช้ดีเจ ก็อาจดูแคบไป และไม่เข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่เที่ยวและฟังเพลงแมส ดังนั้นจึงมีการปรับแนวดนตรีให้แมสขึ้นและเขยิบเข้าไปใกล้ลูกค้ากลุ่มที่เป็นแมส ครั้งที่ 6 จะเป็นแนวที่หลากหลายแต่ไม่ทิ้งความเป็นสากลและทิ้งความเป็นผู้นำกระแส โดยนำดีเจอันดับหนึ่งของโลก และศิลปินไทยมาแสดงในสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน แนวเพลงครั้งที่ 7 เป็นแดนซ์ที่เป็นดีเจอยู่เช่นเดิม แต่สิ่งที่ต้องการจะเน้นคือ ความใหม่ของคอนเซ็ปต์ที่ยังไม่เคยมีมาก่อน"
กิจกรรมการตลาดมิวสิกแพลตฟอร์ม "ชีวาส เทอร์มินอล"มีการวัดผลโดยการสื่อสารกับผู้บริโภคผ่านเวบไซต์ จากเดิมมีฐานข้อมูลสมาชิกประมาณ 8 พันคน หลังจัดงานครั้งที่ 1-6 ทำให้ฐานสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 พันคน และเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในกรุงเทพฯชื่นชอบในแบรนด์และหันมาทดลองสินค้าเพิ่มมากขึ้น และเป็นปัจจัยที่มีส่วนในการช่วยผลักดันยอดขาย เพราะที่ผ่านมาไม่มีกิจกรรมการตลาดออกมาขับเคลื่อนตลาด แต่ที่ชัดเจนคือให้ยอดขายในช่องทางขาย ออนพรีมิส ที่เป็นเอ็กซ์คลูซีฟแชนแนลมีการเติบโตที่ดีขึ้น ในแง่ของร้านเป็นที่รู้จักและคนยอมรับในสินค้า
แม้ว่าความแตกต่างของมิวสิกแพลตฟอร์ม ที่เคยทำให้ ชีวาส ครองความเป็นผู้นำในอดีต ทว่าสำหรับสถานการณ์ในปัจจุบันนั้น แทบไม่มีความแตกต่าง เพราะเป็นกลยุทธ์ที่บรรดาค่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกค่ายนำมาใช้เพื่อสื่อสารแบรนด์ไปถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ผ่านตลาดกลางคืน หรือช่องทางออนพรีมิส (ผับ บาร์ สถานบันเทิงยามค่ำคืน) ซึ่งเป็นการพลิกกลยุทธ์มารับมือกับสภาพตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีข้อจำกัดในการทำตลาดมากขึ้น ทำให้ช่องทางการขาย ณ จุดขาย ที่ขายผ่านสถานบันเทิงยามค่ำคืนมีความสำคัญมากสำหรับการแข่งขัน
เมื่อความสำคัญของช่องทางการขายผ่านสถานบันเทิงยามค่ำคืน ไม่ได้เป็นเพียงแค่จุดจำหน่าย ทว่าช่องทางการขายนี้เปรียบเสมือน "สื่อ"ตัวหนึ่งที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรงกับปรากฏการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้เกิดสงครามสร้างประสบการณ์ผ่านมิวสิก มาร์เกตติ้งในช่องทางออนพรีมิส ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญที่จะสื่อสารกับผู้บริโภคได้ทวีความรุนแรงขึ้น เพราะทำให้การแข่งขันในตลาดกลางคืนของกลุ่มเหล้าพรีเมียมมีคู่แข่งมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งที่มาจากตลาด สก็อตช์ วิสกี้ หรือกระแสวัฒนธรรมดื่มค็อกเทล ที่มีเข้ามาช่วงชิงตลาดตามโอกาส ส่งผลทำให้แบรนด์ชีวาส ซึ่งอยู่ในตลาดมานานนั้น ต้องปรับแนวทางการตลาดให้ทันเกม และสามารถทวงแชมป์คืนจาก จอห์นนี่ วอล์คเกอร์ ให้ได้เร็วที่สุด
หากเปรียบมวยในด้านการเข้าถึงของชีวาส กับคู่แข่งอาจจะดูเป็นรอง ปัจจุบันช่องทางการทำขายของ ชีวาส จะแบ่งเป็นออนพรีมิส 60% และออฟพรีมิส 40% ซึ่งเป็นมาตรฐานของกลุ่มเหล้าพรีเมียมทุกๆแบรนด์ ที่ส่วนใหญ่จะมีพฤติกรรมการเปิดขวดนอกบ้าน ที่สะท้อนถึงความมีรสนิยม
ทว่าการทำตลาด ชีวาส ที่ค่อนข้างวางตลาดมานานและมีกลุ่มลูกค้ากว้างเกือบทุกวัย ดังนั้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของชีวาสจะไม่เน้นเฉพาะ ผับ บาร์ แต่จะรวมไปถึงร้านอาหาร สถานบันเทิงที่มีหลากหลายแคทิกอรี่ โดยแต่ละปีจะมีการขยายจำนวนร้านที่ตรงกับลูกค้ากลุ่มใหม่ด้วยเช่นกัน
ส่วนการแบรนดิ้งเพื่อภาพลักษณ์ตราสินค้าที่เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับวิสกี้ระดับพรีเมียม ซึ่งเป็นจุดการทำตลาดที่ ชีวาส ขาดความต่อเนื่องไป เพราะที่ผ่านมาการสื่อสารการตลาดของแบรนด์ชีวาส จะเน้นการจัดกิจกรรมการตลาดในช่องทางกลางคืนเพื่อเข้าถึงผู้บริโภค
นั่นเพราะอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงที่ "ชีวาส" เคยเป็นของซีแกรมและเปลี่ยนมือมาเป็นของ เพอร์นอต ทำให้การวางทิศทางนโยบายจากบริษัทแม่ในต่างประเทศไม่ได้เน้นเรื่องการสื่อสารผ่านสื่อโฆษณาเป็นกลยุทธ์หลัก
ดังนั้นเพื่อรับมือกับสภาพการแข่งขันในยุคใหม่ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนั้น ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ ชีวาส รีกัล กล่าวว่า การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นนี้ ก็อาจจะทำให้นโยบายการตลาดของ ชีวาส เปลี่ยนไปได้ในอนาคต
กรณีเช่นการรับมือสำหรับความรุนแรงในการแข่งขันที่ได้พลิกภาพตลาดเหล้าพรีเมียมที่เคยแข่งขันกันในด้านภาพลักษณ์มาเล่นสงครามราคาในปีที่ผ่านมา และนั่นก็เป็นความพยายามของ ชีวาส เพื่อที่จะทวงตำแหน่งคืนจาก แบล็ค เลเบิ้ล ที่กลยุทธ์ราคานั้น นับว่าเป็นแคมเปญที่แรง ความสำเร็จดังกล่าวช่วยผลัดดันให้ยอดขาย ชีวาส เติบโตเพิ่มขึ้น 40% โดยในรอบบัญชีจากเดือนมิถุนายน 2550 ถึงมิถุนายน 2551 มีส่วนแบ่งตลาดก้าวกระโดดขึ้นจาก 25% เป็น 35% อย่างไรก็ตาม สภาพตลาดที่คอนข้างจะไม่แน่นอนนี้ ตั้งเป้าจะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของ ชีวาส จากปัจจุบัน 28% เป็น 30%
"สำหรับสภาวะที่ตลาดเหล้าพรีเมียมมีการเติบโตลดลงเพราะสภาพเศรษฐกิจ และได้รับผลกระทบจากการเมืองนั้น การทำสงครามราคาในตลาดพรีเมียม เป็นสัจธรรมที่อาจจะต้องใช้บ้าง"
รวมไปถึงความพยายามเพื่อกระตุ้นยอดขายของชีวาส 12 ปี ในเซกเมนต์พรีเมียม เป็นสินค้าหลักในการทำตลาด โดยกลยุทธ์ไซชิ่ง จากเดิมมีเพียงขนาด 70 มล. ที่มีสัดส่วนการขาย 90 % อยู่ในตลาดมานาน แต่เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกและโอกาสทางตลาด เพิ่มเป็นขนาด 50 มล. สำหรับขนาดทดลองในราคา 609 บาท ที่เริ่มทดลองวางตลาดผ่านช่องทางจากคอนวีเนียนสโตร์ และขยายไปทั่วประเทศ และขนาด 1 ลิตร เป็นขนาดที่คุ้มค่าเป็น 3 ทางเลือกให้กับผู้บริโภค
"กลยุทธ์ไซซิ่ง ถือว่าเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค แต่ก็เป็นไปได้ที่จะทำให้ลูกค้าเซกเมนต์สวิตช์มาหาแบรนด์ชีวาส ด้วยจุดเด่นทางด้านราคา หลังวางตลาดยอดขายของทุกไซส์มีการเติบโตที่ดี แต่ช่วงโค้งสุดท้ายในฤดูกาลขายปลายปีนี้จะเป็นอีกกลยุทธ์ในการผลักดันยอดขายให้ชีวาส"
นอกจากนั้นสโลแกนที่ออกมาเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาคือ "ชีวาส ไลฟ์" การใช้ชีวิตได้อย่างครบเครื่องแบบเต็มที่ และรู้จักแบ่งปันความสุขให้เพื่อนๆด้วย อย่างไรก็ตามเมื่อสภาพตลาดที่เปลี่ยนไปนี้ บริษัทได้วางนโยบายว่าจะเปลี่ยนแปลง สโลแกน เพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัย โดยระหว่างนี้อยู่ในช่วงการรับข้อมูลใหม่ๆ มาศึกษา
|
|
|
|
|