Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กันยายน 2532








 
นิตยสารผู้จัดการ กันยายน 2532
วอลเตอร์ ไมเยอร์ กับเวลาที่เหลืออยู่             
โดย ดนุช ตันเทอดทิตย์
 


   
search resources

เบอร์ลี่ ยุคเกอร์, บมจ.
เฟิร์สท์ แปซิฟิค กรุ๊ป
วอลเตอร์ เลโอ ไมเยอร์
อดุล อมตวิวัฒน์




บารมีของวอลเตอร์ ไมเยอร์ในเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ยังดำรงอยู่ เมื่อภาพการแต่งตั้งกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ปรากฏขึ้น ซึ่งเป็น ดร.อดุลย์ อมติวิวัฒน์ ในขณะที่เฟิร์ส แปซิฟิค ผู้ถือหุ้นนายใหญ่ยังไม่มีปฏิกิริยาออกมา เป็นสิ่งที่น่าสงสัยว่า สัญญาสุภาพบุรุษที่เฟิร์ส แปซิฟิคให้ไว้กับไมเยอร์ในการที่จะไม่เข้าไปก้าวก่ายการบริหารในเบอร์ลี่ ยุคเกอร์นั้นศักดิ์สิทธิ์เหนือผลประโยชน์จริงหรือ

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมาได้มีการประชุมของคณะกรรมการบริษัทเบอร์ลี่ยุคเกอร์ ซึ่งผลของการประชุมในวันนั้นคือการประกาศแต่งตั้งดร.อดุลย์ อมตวิวัฒน์เข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่สืบต่อจากเอ็ดการ์ โรเด็ลซึ่งจะเกษียณอายุในปลายปีนี้

การแต่งตั้งครั้งนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการสร้างประวัติศาสตร์การเป็นคนไทยคนแรกที่เข้ารับตำแหน่งนี้ของบริษัทยักษ์ใหญ่อายุกว่า 100 ปีแห่งนี้ของดร.อดุลย์เท่านั้น หากแต่ยังเป็นการสะท้อนถึงความคืบหน้าของสถานการณ์ของการบริหารของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ที่มีกลุ่มเฟิร์ส แปซิฟิคเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดด้วย

สถานการณ์ของกลุ่มเฟิร์ส แปซิฟิคในเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ในวันนี้ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ถือหุ้นของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ในนามของบริษัทฮอลแลนด์ แปซิฟิค บี วีในจำนวนหุ้นมากที่สุดคือ 2,651,860 หุ้นจากทั้งหมด 7 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 37.88% อีกต่อไปแล้ว

แต่แท้ที่จริงกลุ่มเฟิร์ส แปซิฟิคยังเป็นผู้ถือหุ้นของเบอร์ลี่อีก 13% ในชื่อของบริษัทมัลติเพอร์โพสต์ซึ่งมีหุ้นอยู่มากเป็นอันดับ 2 นั่นคือผู้ที่ถือหุ้นของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์มากเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2 คือบริษัทในกลุ่มของเฟิร์ส แปซิฟิค อินเตอร์เนชั่นแนล โดยรวมทั้งสิ้นแล้วมีหุ้นอยู่ในสัดส่วนถึง 50.88%

บริษัท มัลติเพอร์ไพสต์ เทรดดิ้งเป็นบริษัทที่มีจำนวนหุ้นอยู่ทั้งหมด 1,000 หุ้นในจำนวนนี้เป็นหุ้นของกลุ่มบริษัทเฟิร์ส แปซิฟิคอินเตอร์เนชั่นแนลจำนวน 490 หุ้นที่เหลืออีก 510 หุ้นเป็นหุ้นที่ถือไว้ในนามของบริษัท บีเคเอส (ประเทศไทย) จำกัด และทนายความอีก 5 คน จากบริษัท เบเกอร์ แมคเคนซี่ อย่างเช่นอีกอัศวานันท์

"บริษัท บีเคเอส เป็นบริษัทในโฮลดิ้งคอมพานีของบริษัทเบเกอร์ แมคเคนซี่นั้นแหละ และบริษัทบีเคเอสเอง ก็เป็นบริษัทที่ถือหุ้นในฐานะ PROXY ของกลุ่มบริษัทเฟิร์สแปซิฟิค เพื่อจะทำให้บริษัทนี้มีสัญชาติไทย" แหล่งข่าวในวงการธุรกิจรายหนึ่งกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ถึงกลไกการถือหุ้นทางอ้อมของ เฟิร์ส แปซิฟิคเพื่อการเป็นผู้ที่ถือเสียงข้างมากในเบอร์ลี่ ยุคเกอร์

และแล้ว เรื่องราวก็เข้ารอยเดิมของทุก ๆ บริษัทที่เรียกได้ว่า "เป็นเรื่องธรรมดา" ในเมื่อผู้ถือหุ้นต้องการที่จะมีหุ้นเพิ่มมากขึ้น และเมื่อมีมากขึ้นก็ย่อมต้องการมีสิทธิ์มีเสียงในบริษัทมากขึ้นแล้วก็ก้าวย่างเลยไปถึงการต้องการมีส่วนร่วมในการบริหารมากขึ้น นั่นคือการเข้าไปเป็นผู้บริหารเสียเองหรือไม่ก็ส่งคนของตน เข้าไปนั่งเก้าอี้ผู้จัดการใหญ่

"เรื่องธรรมดา" อย่างนี้ไม่ต้องบอกเพราะเฟิร์ส แปซิฟิคนั้นรู้ยิ่งกว่ารู้ประสบการณ์ทางด้านนี้ของยักษ์ใหญ่จากฮ่องกง ที่มีขาใหญ่อย่าง ลิม ซู เหลียงมหาเศรษฐีโลก คอยให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังนั้นมีมากยิ่งกว่ามาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นองค์กรที่มีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาและค่อนข้างที่จะกล้ารุก กล้าเสี่ยงของเฟิร์ส แปซิฟิคที่เรียกได้ว่าเป็นองค์กรที่ AGGRESSIVE ด้วยแล้ว แต่กลับต้องมาเจอกับผู้บริหารสไตล์เบอร์ลี่ฯที่ค่อนข้างที่จะคอนเซอร์เวทีฟจึงทำให้ความคิดเกี่ยวกับการเข้าเป็นผู้บริหารเสียเองมีมากยิ่งขึ้น

"เฟิร์ส แปซิฟิคเขาก็อยากที่จะให้เบอร์ลี่ฯเป็นกลุ่มที่มีลักษณะไดนามิคส์เหมือนกันเขาเข้ามาลงทุนในเบอร์ลี่ฯ เขาก็ต้องการที่จะให้เบอร์ลี่ฯทำกำไรทำประโยชน์ให้กับเขาเท่าที่ควร ซึ่งเป็นธรรมชาติของนักลงทุนทั่วไป" แหล่งข่าวในวงการการเงินการลงทุนกล่าวกับ "ผู้จัดการ"

ทางวอลเตอร์ ไมเยอร์ ประธานกรรมการบริษัทเบอร์ลี่ยุคเกอร์ ก็ยอมรับว่ามีความพยายามที่จะผลักดันโครงการบางโครงการโดยทางเฟิร์ส แปซิฟิค แต่ไม่เป็นผล

"ทางเฟิร์ส แปซิฟิค เขาก็พยายามที่จะมีข้อเสนอให้ทางเบอร์ลี่ฯ AGGRESSIVE มากกว่านี้ มีกำไรมากกว่านี้เขาเสนอโครงการบางโครงการมาที่เราไม่ค่อยจะรู้จักเท่าไหร่ เราก็ต้องอาศัยเวลาในการศึกษา แต่มันก็เป็นความก้าวหน้า ที่มีเขาเข้ามาเป็นกรรมการของเรา เขาช่วยเรามาก แต่เราก็ต้องดูด้วยว่าเป็นโครงการที่มีความเสี่ยงมากหรือเปล่า" วอลเตอร์ ไมเยอร์กล่าว

"ถ้าจะว่าเราคอนเซอร์เวทีฟ ผมว่ามันไม่ค่อยจะถูกนักอัตราการเติบโตของกิจการของเรามีอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะทางด้านการลงทุน ทางด้านสินค้าอุปโภคบริโภคนั้น เราจะไปโถมแข่งกับลีเวอร์กับพีแอน์จีไม่ได้ เราอาจจะแข่งกับเขาได้ในระยะสั้นแต่ระยะยาว มันไม่ใช่ เราเป็นบริษัทที่เกิดขึ้นที่นี่เราไม่ได้มีบริษัทแม่จากที่อื่นเราไม่มีสายป่านยาวเท่าเขา ที่จริงเราก็อยากที่จะไปเร็ว ๆ แต่ก็ต้องเป็นไปตามกำลังของเรา" ดร.อดุลย์ อมติวิวัฒน์ ว่าที่ผู้จัดการใหญ่ของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ต่อความเห็นที่ว่าเบอร์ลี่ฯคอนเซอร์เวทีฟเกินไป

แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นยักษ์คอนเซอร์เวทีฟในสายตาของคนภายนอกอย่างไร เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ก็ยังคงเป็นป้อมปราการที่วางรากฐานมากกว่า 100 ปี ซึ่งย่อมมีฐานที่กว้างมากทั้งในด้านของข่ายกิจการทางด้านเทรดดิ้งและ MANUFACTURING พร้อมทั้งช่องทางการจัดจำหน่ายอยู่กว่า 18,000 แห่ง และบริษัทในเครืออีกราว 20 บริษัท เท่านี้เบอร์ลี่ฯก็น่าจะเป็นฐานกำลังที่ดี หากมีเฟิร์สแปซิฟิค ต้องการที่จะบรรลุยุทธศาสตร์ของธุรกิจตามที่มานูเอลฟังกิลินัน MANAGING DIRECTOR ของ FIRST PACIFIC INTER NATIONAL ได้เคยกล่าไว้ในรายงานแก่ผู้ถือหุ้นเมื่อปีที่แล้วว่า "เป้าหมายยุทธศาสตร์ธุรกิจของกลุ่มบริษัทเฟิร์ส แปซิฟิคอยู่ที่ภูมิภาคย่านเอเชีย - แปซิฟิค ไม่ใช่อเมริกาและยุโรป"

นอกจากนี้ในรายงานการวิจัยของ เฟิร์ส แปซิฟิค ที่ฮ่องกงที่ตีพิมพ์เมื่อเดือนมกราคมปีนี้ ได้ระบุไว้ว่า "ประเทศไทยมีศักยภาพการลงทุนที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเซียนนี้"

เฟิร์ส แปซิฟิคนั้นมีเป้าหมายที่แน่ชัด มีทิศทางที่ชัดเจนการพยายามที่จะมีส่วนในการบริหารให้มากขึ้นจนถึงขั้นเป็นผู้บริหารเสียเอง และจากเหตุผลที่กล่าวมาก็น่าที่จะสมเหตุสมผลเพียงพอซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดา

แต่ว่าเรื่องธรรมดาของเฟิร์ส แปซิฟิคเข้าไปเกี่ยวข้องกับการสูญเสียอำนาจของททางฝ่ายผู้ที่มีอำนาจบริหารเก่าอย่างวอลเตอร์ไมเยอร์เข้า เรื่องธรรมดาอีกเรื่องก็เลยเกิดขึ้นคือเรื่องของการปกป้องผลประโยชน์ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากในเมื่อเรื่องธรรมดาสองเรื่องที่มีความขัดแย้งแต่มาเกิดขึ้นในที่ที่เดียวกันคือที่บริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์แห่งนี้

"วอลเตอร์ ไมเยอร์เขาฉลาด และเขารู้ยิ่งกว่ารู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น และเขาก็เตรียมการป้องกันมานานร่วม 2 ปี" แหล่งข่าวในวงการบริหารกล่าวกับ "ผู้จัดการ" จากข้อสังเกตที่มีการแตกหุ้นของเบอร์ลี่ฯจาก 7 ล้านหุ้นเป็น 70 ล้านหุ้น ในเดือนตุลาคมปี 2530 เพื่อกระจายหุ้นมากยิ่งขึ้น ทำให้หุ้นจะไปกระจุกกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น กาเรทคโอเวอร์จึงค่อนข้างที่จะลำบาก นอกจากนี้เกี่ยวกับการแต่งตั้งครั้งนี้ ข้อสังเกตว่าวอลเตอร์ไมเยอร์ได้เตรียมการมา 2 ปีแล้วเช่นกัน ตั้งแต่เมื่อมีการโยกย้ายตำแหน่งของ ดร.อดุลย์ อมตวิวัฒน์, ประเสริฐ เมฆวัฒนา และโฟลเกอร์ ฟิชเชอร์ จากตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายมาเป็นที่ปรึกษาเมื่อ 2 ปีก่อนและมาดำรงตำแหน่งรองผู้จัดการทั้ง 3 คนในปีที่แล้วจนกระทั่งเลือกผู้ที่จะมาเป็นผู้จัดการใหญ่จากตำแหน่งรองผู้จัดการ ซึ่งจะเหลือเพียงขั้นตอนของการให้ผู้ที่จะมาเป็นผู้จัดการใหญ่มีตำแหน่งเป็นกรรมการเท่านั้น

"การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตำแหน่งทั้ง 3 คนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้มันมีเซ้นส์บางอย่างที่บอกเราได้" แหล่งข่าวกล่าว

กรรมการของบริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์จะมีเทอมของการดำรงตำแหน่งอยู่ 3 ปีสำหรับเอ็ดการ์ โรเด็ลนั้นเขาเคยอยู่ในตำแหน่งกรรมการจนครบเทอมมาแล้ว แต่มติของเขาเคยอยู่ในตำแหน่งกรรมการจนครบเทอมมาแล้ว แต่มติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นให้เขาอยู่ในตำแหน่งต่ออีก 1 เทอม ซึ่งเขาอยู่ในตำแหน่งได้อีกเพียงปีเดียวก็ต้องเกษียณอายุตามกฎขอ้บังคับของบริษัทการ ต้องออกก่อนครบวาระนี้ เป็นจังหวะที่คณะกรรมการสามารถที่จะแต่งตั้งผู้ที่จะมาทำหน้าที่แทนโรเด็ลต่ออีก 2 ปีตามเวลาที่เหลือของโรเด็ลโดยจะมีการรายงานให้ผู้ถือหุ้นรับทราบและเป็นการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในปลายปีนี้ ซึ่งในกลุ่มของคณะกรรมการนั้นวอลเตอร์ไมเยอร์เป็นประธานและยังสามารถประสานประโยชน์ของกรรมการอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นการเสนอชื่อดร.อดุลย์ เข้ารับการแต่งตั้งเป็นกรรมการในปลายปีนี้จึงไม่น่าที่จะเป็นปัญหา

แต่โดยตำแหน่งของเอ็ดการ์ โรเด็ลนั้นนอกจากตำแหน่งกรรมการบริษัทแล้วเขายังมีตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ที่จะต้องว่างลงในปลายปีนี้ด้วย

ทางด้านเฟิร์ส แปซิฟิคเองก็ย่อมรู้ดีว่าโรเด็ลจะมีอายุการทำงานอยู่เพียงปีนี้ปีเดียวในปลายปีก็ต้องมีการประกาศแต่งตั้งผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนี้ใหม่ การติดต่อหาคนที่จะมารับตำแหน่งนี้ของทางเฟิร์ส แปซิฟิคเองก็เริ่มขึ้นในต้นปีนี้โดยการติดต่อให้บริษัท HEAD HUNTER อย่างบอยเดน แอสโซซิเอทเป็นคนจัดการและวีรชัย วรรณึกกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารศรีนครก็อยู่ในข่ายนั้นด้วย

"สไตล์การทำงานของวีรชัยอาจจะเป็นที่ชื่นชอบจากทางฝ่ายเฟิร์ส แปซิฟิคก็ได้เพราะวีรชัยมักจะถูกดึงตัวไปบริหารในองค์กรที่ค่อนข้างที่จะคอนเซอร์เวทีฟ มีเทคนิคการบริหารใหม่ ๆ มีนโยบายขยายฐาน ขยายงานให้กว้างขึ้น ซึ่งเป็นสไตล์ใกล้เคียงกับทางฝ่ายเฟิร์ส แปซิฟิค" แหล่งข่าวกล่าวถึงความพยายามของเฟิร์ส แปซิฟิค ที่จะหา ตัวแทนของตนเอง ในตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ โดยอาจตั้งใจว่ากว่าจะถึงสิ้นปีที่จะมีการเลือกสรรตนเองก็น่าจะพอที่จะหาแนวร่วมสนับสนุนวีรชัยในกลุ่มกรรมการได้แม้ว่าในขณะนี้จะมีอยู่เพียง 5 คนจาก 15 คนเท่านั้น

แต่เงื่อนไขการเลือกสรรคนที่จะมาดำรงตำแหน่งนี้กลับมีขั้นตอนเพิ่มขึ้นมา โดยการตั้งกรรมการเลือกสรรขึ้นมาก่อนประกอบด้วยปิติ สิทธิอำนวย ผู้แทนของธนาคารกรุงเทพซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ประมาณ 4%, เอ็ดเวิร์ด เอ. ทอร์ทอริซี่ กรรมการจากทางฝ่ายของเฟิร์ส แปซิฟิคเองและวอเตอร์ ไมเยอร์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริษัท ทั้ง 3 คนตั้งเป็น SUB-COMMITTEE ในการที่จะเลือกสรรคนที่เหมาะสมเพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการทั้ง 15 คนในวันที่ 19 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยมีบริษัทบอนเด้นฯเป็นผู้ที่ช่วยเลือกหาคนจากภายนอกบริษัทมาเสนอต่อ SUB-COMMITTEE ด้วยอีกทางหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าชื่อของวีรชัยวรรณึกกุลคนที่เฟิร์ส แปซิฟิคเสนอย่อมที่จะเป็นชื่อหนึ่งที่ถูกเสนอในการประชุมของ SUB-COMMITTEE เพื่อการเลือกสรรแต่ไม่ได้รับการเสนอชื่อต่อคณะกรรมการใหญ่ในส่วนนี้

"ในการพิจารณาเกี่ยวกับผู้จัดการใหญ่คนใหม่นี้เราพิจารณาทางเลือกหลายคน มีทั้งคนที่มีความสามารถจากนอกเบอร์ลี่ฯและเราก็พิจารณาถึงคนภายในของเราเองด้วย เมื่อดูแล้วทาง SUB-COMMITTEE ก็เลือก ดร.อดุลย์คนภายในบริษัทเราที่เราเชื่อมั่นในความสามารถ เพื่อเสนอต่อคณะกรรมการเพียงคนเดียว ซึ่งจากการประชุมคณะกรรมการในวันที่ 19 กรกฎาคมก้เห็นด้วยกับการที่จะมาสืบตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ในปลายปีนี้ของดร.อดุลย์" วอลเตอร์ ไมเยอร์ประธานกรรมการบริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์วัย 74 ปี กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ถึงการเลือกสรรผู้จัการใหญ่คนใหม่

แต่ในบางความคิดกลับเห็นว่านี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราได้เห็นความเจนชัดทางการบริหารของวอลเตอร์ไมเยอร์ผู้ที่ใช้ชีวิตเกือบครึ่งชีวิตในการทำงานให้กับเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ "วอลเตอร์ ไมเยอร์ได้ใช้ช่วงเวลานี้ที่ถึงแม้ว่าเฟิร์ส แปซิฟิคจะสามารถือครองหุ้นได้มากกว่ามาก แต่จำนวนกรรมการที่มีอำนาจในการเลือกสรรและแต่งตั้งผู้จัดการใหญ่นั้นยังมีเพียง 5 คนจาก 15 คนเท่านั้น และการเพิ่มขั้นตอนการมี SUB-COMMITTEE ที่มีคนคุ้นเคยกับไมเยอร์อยางปิติอยู่ด้วยแล้วก็เป็นเสียง 2 ใน 3 ของ SUB-COMMITTEE ที่มีคนคุ้นเคยกับไมเยอร์อย่างปิติอยู่ด้ยแล้วก็เป็นเสียง 2 ใน 3 ของ SUB-COMMITTEE ซึ่งย่อมเป็นการปิดประตูแพ้ในเรื่องการเสนอคนของตนขึ้นเป็นผู้จัดการใหญ่" แหล่งข่าวในวงการบิหารรายหนึ่งกล่าวกับ "ผู้จัดการ"

หลังจากที่มีการแต่งตั้งในการประชุมคณะกรรมการในวันที่ 19 กรกฎาคม ข่าวการประกาศแต่งตั้งก็ได้ถูกประกาศออกไปหลายคนเห็นว่า เป็นประกาศที่ค่อนข้างจะเร็วไปสักหน่อยเพราะยังมีเวลาอีกเกือบครึ่งปีกว่าที่จะถึงเวลาเกษียณอายุของเอ็ดการ์ โรเด็ลผู้จัดการใหญ่คนปัจจุบัน

"การประกาศเสียแต่ตอนนี้อาจเป็นการประกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ไม่ว่าช่องทางใดช่องทางหนึ่งหรืออย่างน้อยก็เป็นยันต์กันโผพลิกได้บ้าง" แหล่งข่าวกล่าว

ซึ่งแตกต่างจากความเห็นของ ดร.อดุลย์ อมตวิวัฒน์ ว่าที่ตำแหน่งผู้จัดการใหญ่ ที่ทำงานให้กับเบอร์ลี่ฯมาร่วม 10 ปี

"เวลาที่เขาใช้ในการเลือกและแต่งตั้งกรรมการผู้จัดการคราวนี้ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เรียกว่าเร็วเกิน เพราะปกติแล้วเราก็จะมีการแต่งตั้งก่อนล่วงหน้า 1 ปี เพื่อที่จะได้ให้คนใหม่ที่จะมาทำหน้าที่นั้นได้โอกาสศึกษางานก่อนที่จะมาทำงานจริงและที่จริงแล้วการประกาสแต่งตั้งครั้งนี้ของเราเป็นเพียงการภายในเท่านั้น เราต้องการที่จะบอกกับพนักงานภายในบริษัทได้รู้ว่าเรากำลังจะทำอะไรหลังจากที่โรเด็ล ออกไปแล้ว เราประกาศก็ใช้เพียงกระดาษแผ่นเดียวเท่านั้น ไม่ได้มีการแถลงข่าว จนกระทั่งมีการทำกันเป็นข่าวเราก็เลยต้องประกาศออกมาเพื่อต้องการให้สื่อมวลชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง และสำหรับในปลายปีนี้ในการประชุมผู้ถือหุ้นมันเป็นเพียงการแจ้งให้ทราบเท่านั้นไม่มีการลงคะแนนเสียง" ดร.อดุลย์กล่าว

แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงการประกาศให้ผู้ถือหุ้นรับทราบเท่านั้นก็ตาม แต่การทำนห้าที่ในการเป็นผู้ประสานประโยชน์ในการแต่งตั้งครั้งนี้ของวอลเตอร์ ไมเยอร์ เพื่อสร้างการยอมรับการรับตำแหน่งสำคัญนี้ของ ดร.อดุลย์ ด้วยการขอความเห็นจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายอื่นนอกเหนือจากกรรมการใน SUB-COMMITTEE ด้วยกันแล้ว เช่นกลุ่มโอสถานุเคราะห์ที่มีหุ้นของเบอร์ลี่ฯอยู่ถึง 12% โดยผ่านทางสุรินทร์ โอสถานุเคราะห์

"เรามีการพูดคุยกับผู้ถือหุ้นหลายฝ่าย คุณสุรินทร์ โอสถานุเคราะห์ เราก็ได้ขำคำแนะนำ และเขาก็เห็นด้วยสำหรับ ดร.อดุลย์ ทางเราที่เป็น SUB-COMMITTEE ก็เสนอต่อคณะกรรมการ และได้มีการประกาศเพื่อที่จะลดข่าวลือที่เกิดขึ้น เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้รับข่าวสารข้อมูลที่ถูกต้องจากเรา ซึ่งหลายฝ่ายก็ยอมรับ ดร.อดุลย์ ทางเฟิร์ส แปซิฟิคก็เห็นด้วย เราคุยกันแล้วไม่มีปัญหาอะไร" วอลเตอร์ ไมเยอร์ กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ถึงสิ่งที่เป็นข้อตกลงยอมรับของผู้ถือหุ้นรายใหญ่

หากเราจะพิจารณา เกี่ยวกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน เบอร์ลี ยุคเกอร์ อย่างเช่น ปิติ สิทธิอำนวย ผู้เป็นตัวแทนของธนาคารกรุงเทพ และสุรินทร์ โอสถานุเคราะห์ ที่เหมือนกับตัวแทนของกลุ่มโอสถานุเคราะห์ที่มีบทบาทในการเลือกสรรผู้จัดการใหญ่ครั้งนี้แล้วเราจะเห็นว่า ทั้ง 2 ส่วนนี้มีลักษณะของการเป็นนักลงทุนเป็น INVESTOR ที่ต้องการเงินปันผลจากหุ้นส่วนที่เขาได้ซื้อไว้ ซึ่งเขาย่อมไม่ต้องการความเสี่ยงโดยไม่จำเป็นในการเปลี่ยนกลุ่มผู้บริหารเป็นกลุ่มของเฟิร์ส แปซิฟิค ตราบใดที่กลุ่มผู้บริหารของวอลเตอร์ ไมเยอร์ ผลของการตกลงจึงออกมาในการให้การสนับสนุน ดร.อดุลย์ และได้รับการยอมรับจากคณะกรรมการของบริษัท ไม่ว่าทางกลุ่มเฟิร์ส แปซิฟิค จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม

การแต่งตั้ง ดร.อดุลย์ อย่างเป็นทางการกำลังจะมีขึ้นในปลายปีนี้ อำนาจการบิหารบริษัทเก่าแก่ที่วอลเตอร์ไมเยอร์ได้ลงแรงพลิกฟื้นธุรกิจตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ทำไมตำแหน่งสำคัญตำแหน่งนี้จึงต้องเป็นของ ดร.อดุลย์ ทำไมไม่เป็นของรองผู้จัดการคนอื่นที่เหลืออีก 3 คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเสริฐ เมฆวัฒนา ที่ทำงานในเบอร์ลี่ฯมานานกว่า ดร.อดุลย์ หรือทำไมไมเยอร์ ถึงไม่เลือกที่จะมอบตำแหน่งนี้ให้กับ ดร.นิติ ไมเยอร์ ลูกชายของตน

"วอลเตอร์ ไมเยอร์ คงอยากเสนอ ดร.นิติเหมือนกัน แต่คงยังไม่ถึงเวลา ถ้าลองพิจารณาดูแล้วมันจะน่าเกลียดเกินไป อายุดร.นิติยังน้อย ประสบการณ์ยังไม่พอ แต่เชื่อได้ว่าหากวอลเตอร์ไมเยอร์ยังสมารถประสานกลุ่มบริหารได้ดีอยู่ละก็ ดร.นิติได้ขึ้นแน่ รอเวลาอีกหน่อยเท่านั้น ดร.อดุลย์อาจเป็นส่วนที่ซื้อเวลาหรือเป็นทางผ่านให้กับวอลเตอร์ ไมเยอร์ที่จะเสนอ ดร.นิติต่อไปในอนาคตก็ได้ ซึ่งบริษัทอื่น ๆ กว่า 60% ก็ทำอย่างนี้ ให้คนอื่นขัดตาทัพไว้ก่อนแล้วกระซิบข้างหูว่า 2 ปีนะ แล้วก็เอาลูกหลานของตนเองขึ้น" แหล่งข่าวกล่าว

แต่ใคจะเข้าใจการแต่งตั้งครั้งนี้ได้เท่ากับวอลเตอร์ ไมเยอร์กรรมการเองเห็นด้วยกับการที่ต้องการอยากจะให้ตำแหน่งผู้จัดการใหญ่นี้เป็นของคนไทยเสียที เพราะในประวัติศาสตร์ตลอด 107 ปี ไม่เคยมีเลย ทางเลือกก็เหลือ นิติ, ประเสริฐ แล้วก็ อดุลย์ เพราะฟิชเชอร์เป็นเยอรมัน นิตินั้นอายุยังน้อย เขาต้องเรียนรู้อีกมาก ประเสริฐอายุ 41 ปี อดุยล์อายุ 51 ปี ถึงแม้ว่าประเสริฐจะทำงานให้กับเบอร์ลี่ฯมานานกว่า ดร.อดุลย์ แต่เราต้องมองความเหมาะสมสำหรับในอนาคตที่เรากำลังจะก้าวไปสู่ทางด้านอุตสาหกรม ดร.อดุลย์เขามีประสบการณ์ทางด้านนี้มามาก การศึกษาเขาก็จบทางด้านวิศวกรเคมีมา เราก็เลือก ดร.อดุลย์ ซึ่งเราก็ได้เปรียบเทียบกับคนภายนอกที่ถูกเสนอชื่อเพื่อการพิจารณาแล้ว เราเห็นว่าการที่เป็นคนภายในบริษัทก็เป็นผลดีทางด้านกำลังใจของคนทำงาน และไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งกับพนักงานด้วย เพราะอดุลย์เองเป็นผู้ที่เป็นที่ยอมรับมากในบริษัท" วอลเตอร์ ไมเยอร์ กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ถึงเหตุผลการเลือก ดร.อดุลย์สำหรับตำแหน่งนี้

"สำหรับนิติแล้ว ผมบอกเขาตั้งแต่เขาจะเข้ามาทำงานในเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ แล้วว่าผมจะไม่ช่วยเหลืออะไร ผมบอกลูกชายว่าถ้าต้องการเป็นท้อปออฟเดอะท้อป ต้องพิสูจน์ตัวเอง ให้คนในบริษัทยอมรับด้วยตัวของเขาเอง ผมไม่ใช่คนที่จะมายกย่องลูกของตัวเองขึ้นเหนือคนอื่น ทั้ง ๆ ที่ความสามารถยังไม่ถึง "วอลเตอร์ ไมเยอร์ กล่าวถึงความเห็นที่มีต่ออนาคตทางการบริหารของ ดร.นิติ ไมเยอร์ ลูกชายของเขา

และในที่สุดชื่อของ ดร.อดุลย์ก็ได้เป็นชื่อเดียวที่จะขึ้นแท่นรอเวลาปลายปีที่จะได้รับเหรียญตราแต่งตั้งอย่างเป็นทางการที่หลายคนอาจเห็นว่าเป็นการขัดขวางทางเดินของเฟิร์ส แปซิฟิคอยู่มากในการส่งคนขึ้นตำแหน่งทางการบริหารนี้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม การขึ้นมารั้งตำแหน่งของ ดร.อดุลย์ครั้งนี้อาจเป็นอีหนทางหนึ่งในกาลดช่องว่างของสไตล์การบริหารของฝ่ายเฟิร์ส แปซฟิคกับของกลุ่มไมเยอร์ให้ลดลง จะเห็นได้ว่าการออกมายอมรับถึงความคอนเซอร์เวทีฟทาการบริหารของตนเองของไมเยอร์เอง และการเลือกสรรที่มีความพยายามที่จะหาคนรุ่นใหม่ที่มีความกระตือรือร้น มีความคิดก้าวหน้า มีความ AGGRESSIVE มากขึ้น ซึ่งถ้ามองในสายตาของนักลงทุนอย่างเฟิร์ส แปซิฟิค แล้วก็น่าที่จะพอใจในระดับหนึ่งถึงความเปลี่ยนแปลงที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

"ผมยอมรับว่าที่ผ่านมาเราค่อนข้างที่จะคอนเซอร์เวทีฟนิดหน่อย แต่ในปีนห้าและต่อไเราจะก้าวหน้าเร็วกว่าเดิม เราพยายามที่จะหาคนรุ่นใหม่ ๆ ที่จะมาทำหน้าที่ในการบริหารงานพยายามที่จะให้ค่อนข้างแอกเกรสสีฟมากขึ้น" วอลเตอร์ ไมเยอร์กล่าวกับ "ผู้จัดการ"

คนรุ่นใหม่ที่จะทำหน้าที่ลดช่องว่างทางการบริหารในครั้งนี้ก็คือ ดร.อดุลย์ อดีตกรรมการผู้จัดการบริษัท รูเบีย ที่เป็นอุตสาหกรรมหัวใจทางด้านการผลิตสินค้าของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ อย่างได้ผลดีความรู้ระดับปริญญาโทและเอกทางด้านวิศวกรรมเคมี จากมหาวิทยาลับลอนดอน ร่วมกันทำงานในเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ มานาน 11 ปีตั้งแต่ปี 2519 เป็นอีกคนหนึ่งที่วอลเตอร์ ไมเยอร์ให้ความไว้วางใจที่จะนำความแข็งแกร่งทางภาคอุตสาหกรรมมาสู่เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ซึ่ง ดร.อดุลย์ก็ได้เป็นตัวหลักในการพัฒนาโครงการทาด้านอุตสาหกรรมต่าง ๆ หลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการสร้างโรงงานใหม่ของบริษัทไทยกลาส ซึ่งเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ถือหุ้นอยู่ 42% เพื่อพัฒนาให้เป็นโรางงานผลิตแก้วที่ทันสมัยที่สุดในโลกด้วยเงินลงทุน 800 กว่าล้านบาทที่อำเภอบางพลี สมุทรปราการหรือโครงการสร้างตึกสำนักงานรวมของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ บนเนื้อที่ 7 ไร่กว่า เพื่อการประสานงานที่ดีขึ้นของกลุ่มธุรกิจของเบอร์ลี่ยุคเกอร์ และโครงการที่ทำร่วมกับบริษัทเป๊ปซี่โค ในการผลิตอาหารท่านเล่น ในชื่อบริษัท สนามสแน็ค ที่กำลังจะสร้างโรงงานเป็นของตนเองแทนการเช่าที่ซอยเทพารักษ์ ทั้งสามโครงการเป็นโครงการระยะสั้นที่รุกคืบไปสู่การเป็นผู้ผลิต และผู้จัดจำหน่ายอย่างครบวงจร ซึ่งได้เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว และจะเสร็จสิ้นทั้ง 3 โครงการภายใน 2 ปี

นอกจากนี้ยังมีอีก 3-4 โครงการที่อยู่ในขั้นการตกลงไม่ว่าจะเป็นการสร้าง DISTRIBUTION CENTER ที่ซอยวัดกิ่งแก้ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประสานงานของกระบวนการจัดจำหน่าย, โครงการรุกคืบไปในตลาดไดเร็กต์เซลล์, โครงการติดต่อซัพพลายเออร์จากต่างประเทศมาร่วมลงทุนในไทย โดยเฉพาะทางด้านอาหารซึ่งทั้งหมดเป็นโครงการที่จะสามารถลงมือเริ่มโครงการได้ใน่ช่วง 3-4 ปีข้างหน้า

ประวัติศาสตร์การบริหาราของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์อาจจะเปลี่ยนไปเมื่อถึงยุคที่มี ดร.อดุลย์เป็นผู้จัดการใหญ่ ซึ่งทางฝ่ายเฟิรส์แปซิฟิคก็น่าที่จะหวังไว้เช่นนั้น เพราะสิ่งที่เขาต้องการก็คือการมีเงินปันผลที่ดี มีความก้าวหน้าของกิจการที่เขาลงทุน มีสไตล์การบริหารที่สามารถนำองค์กรไปในทิศทางที่ถูกต้อง เพราะคราบใดที่ทางเฟิร์ส แปซิฟิคยังเห็นว่าการลงทุนในเบอร์ลี่ ยุคเกอร์แห่งนี้ยังคุ้มค่า ยังมีกำไร การเข้าไปก้าวก่ายทางด้านการบริหารที่อาจจะนำมาสู่การปะทะและทำให้เกิดความขัดแย้งในองค์กร ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นในสายตาของนักลงทุนระดับโลกอย่างเฟิร์ส แปซิฟิค

อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะรู้ได้อย่างแน่ชัด หากแต่ว่าพิจารณาสถานการณ์ในขณะนี้ของเบอร์ลี้ ยุคเกอร์ นั้นมีผู้ถือหุ้นเกิน 50% เป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มของเฟิร์ส แปซิฟิค อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งในปีนี้จำนวนกรรมการของกลุ่มนี้อาจจะมีเพียง 5 คน แต่เชื่อได้ว่าในปีต่อ ๆ ไปหากมีกรรมการของกลุ่มอื่นครบวาระ และต้องมีการเลือกผู้ที่จะมาเป็นกรรมการบริษัททดแทน เชื่อได้เลยว่าจะต้องเป็นคนของกลุ่มเฟิร์ส แปซิฟิค อย่างไม่ต้องเดา ผู้บริหารระดับผู้จัดการใหญ่ในปีนี้ยังเป็นผู้ที่วอลเตอร์ ไมเยอร์มีส่วนอยู่มากในการเลือกสรรแต่งตั้ง แต่เมื่อ ดร.อดุลย์ ทำงานในหน้าที่จนครบกำหนดเทอมการเป็นกรรมการอีก 2 ปีข้างหน้า ใครจะรับรองว่า ดร.อดุลย์จะได้รับการแต่งตั้งกลับเข้าอีกในตำแหน่งเดิม

แต่อาจจะด้วยโครงการหลายโครงการของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นหลังจากที่เป็นเพียงแผนการในกระดาษมานาน จึงน่าจะมีส่วนที่ทำให้เฟิร์ส แปซิฟิคยังคงให้ความไว้วางใจต่อการทำงานของทีมงานที่มีอยู่และไม่ได้แสดงความพยายามที่จะมีส่วนในการบริหารอย่างโจ่งแจ้งนัก เพราะอย่างน้อยในขณะนี้ก็สามารถือครองหุ้นส่วนมากอยู่แล้วการที่อยุ่เบื้องหลังคอยผลักดันระดับนโยบายหรือเป้ากำไรให้เป็นการทำงานร่วมกับผู้บริหารกลุ่มใหม่ หากสามารถผลักดันการบริหารไปในทิศทางที่ต้องการได้มีผลกำไรเป็นที่พอใจ เฟิร์ส แปซิฟิคก็น่าที่จะแฮปปี้กับการเป็นผู้คุมทางด้านนโยบายเพียงอย่างเดียว คอยรับผลประโยชน์จากการดำเนินงานของผู้บริหาร ซึ่ง ดร.อดุลย์และทีมงานย่อมต้องรู้และเข้าใจว่าเฟิร์ส แปซิฟิคเองมีความต้องการอย่างไร

"ผมและผู้บริหารทุกคนเป็นมืออาชีพ เราบริหารเพื่อผู้ถือหุ้นของเรา" ดร.อดุลย์ กล่าวกับ "ผู้จัดการ"

แต่สิ่งที่จะต้องพิจารณาก็คือวิธีการทำธุรกิจของผู้บริหารในเฟิร์ส แปซิฟิคที่มักจะมีการขยายกิจการที่ตนเองสามารถถือครองหุ้นส่วนใหญ่ได้เมื่อเวลาที่สมควรมาถึง นั้นคือเมื่อมีผู้เสอนราคาที่เฟิร์ส แปซิฟิคเห็นว่าสามารถทำกำไรให้กับกลุ่มธุรกิจได้มาก

วิธีการเช่นนี้อาจจะถูกนำมาใช้กับบริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ก้ได้หากถึงเวลาที่เหมาะสม

ที่เฟิร์ส แปซิฟิคทำอยู่ในขณะนี้ก็คือการบำรุงเลี้ยงให้เบอร์ลี่ยุคเกอร์โตพอที่จะขายได้เท่านั้น ซึ่งเฉพาะสินทรัพย์ บริษัทในเครือก็น่าที่จะขายได้มหาศาล รอเพียงเวลาเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะมีบางความคิดว่าเฟิร์ส แปซิฟิคคงไม่ขายเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ แม้ว่าจะมีโอกาส เพราะเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ นั้นเป็นฐานทางด้านอุตสาหกรรมที่เฟิร์ส แปซิฟิคต้องการเพื่อเป็นฐานในหนทางการเข้าสู่ธุรกิจในย่านเอเชียแปซิฟิคตามเป้าที่ได้วางไว้ แต่ทั้งสองทางเลือกล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น

และยิ่งถ้าพิจารณาถึงมุมมองของนักลงทุนระหว่างประเทศอย่างเฟิร์ส แปซิฟิค อินเตอร์เนชั่นแนลแล้วจะเห็นว่าเขามีมุมมองที่กว้างกว่า เขาย่อมไม่ยอมให้ภาพของความขัดแย้งของเบอร์ลี่ยุคเกอร์ปรากฎออกมาอย่างชัดเจนกับกลุ่มผู้ถือหุ้นอย่างเด็ดขาดราคาของหุ้นเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ในตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นสิ่งที่เฟิร์สแปซิฟิคคำนึงถึงอยู่เสมอมา สิ่งที่อาจมีผลกระทบจนก่อให้เกิดความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น จึงน่าที่จะเป็นสิ่งที่เฟิร์ส แปซิฟิคหลีกเลี่ยง

ดังนั้นถึงแม้ว่าหุ้นที่มีอยู่ในครอบครองจะมีมากเกินกว่าครึ่งแต่สิ่งที่เฟิร์ส แปซิฟิคเลือกที่จะปฏิบัติก็คือความพยายามที่จะให้การเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารเป็นไปอย่างที่ไม่โฉ่งฉ่าง หรือพยายามที่จะเข้าไปด้วยวิธีการที่นุ่มนวลที่สุดเพื่อป้องกันความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในองค์กร

แต่ความที่เป็นนักลงทุนย่อมไม่ยอมที่จะสูญเสียประโยชน์โดยไม่จำเป็น ถ้าการบริหารเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ในยุคของ ดร.อดุลย์ ไม่สามารถสนองต่อเป้าประสงค์ของกลุ่มเฟิร์ส แปซิฟิคได้แล้วสิ่งที่จะเกิดมันก็ต้องเกิด เพราะการบริหารกิจการเองย่อมที่จะควบคุมให้เป็นไปในทิศทางและสู่เป้าหมายที่ตรงกับความต้องการได้ง่ายกว่า

ถึงแม้ว่าทางวอลเตอร์ ไมเยอร์ เองจะเคยมีการตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร (WRITTEN AGREENENT) กับทางเฟิร์ส แปซิฟิคอินเตอร์เนชั่นแนล ถึงการที่จะไม่เข้ามาก้าวก่ายทางด้านการบริหารของเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ก็ตาม แต่ใครจะยอมให้เบอร์ลี่ ยุคเกอร์มีการบริหารงานที่ตนเองไม่เห็นด้วย ในขณะที่เฟิร์ส แปซิฟิคมีฐานะที่สำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามจำนวนหุ้นที่มีอยู่ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม เมื่อลงทุนไปมาก เฟิร์ส แปซิฟิคก็ต้องการผลตอบแทนมากเป็นธรรมดา การยึดอำนาจบริหารอย่างฉันมิตรคงได้เห็นอีกไม่นาน

เชื่อเถอะว่า ใต้ฟ้านี้ไม่มีอะไรแน่นอน….หรือว่าคุณจะเชื่อใน WRITTEN AGREEMENT

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us