ชั่วเวลาเพียง 2 ปีหลังจากอำลาชีวิตตำรวจ ทักษิณ ชินวัตรสามารถก้าวทะยานมาเป็นผู้นำทางด้านธุรกิจเทคโนโลยีการสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว
สินค้าของเขาหลายตัวคือภาพพจน์ของการแสวงหาและเริ่มต้นรูปแบบการสื่อสารใหม่
ๆ ในเมืองไทย แม้ห้วงเวลานี้โดยแท้จริงคือระยะผ่านแห่งการสะสมบารมีและสายสัมพันธ์
แต่ถ้าเขาผ่านขวากหนามช่วงนี้ไปได้ เขาอาจไปเร็วกว่าที่ทุกคนคาดคิด…..จับตาเขาไว้ให้ดี
"ผมเป็นคนราศีกันย์ ภาษาหมอดูเขาบอกว่าคนราศีนี้เป็นคนชอบทำการใหญ่"
ทักษิณ ชินวัตรกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ในงานเปิดตัว "เคเบิลทีวี"
อีกธุรกิจหนึ่งที่เขาเป็นเจ้าของ
ทักษิณ ชินวัตร อายุ 41 ปี เขาเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่เติบโต และถูกหล่อหลอมมาในโลกที่แวดล้อมไปด้วยคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีอันทันสมัย
เขาซึมซับถึงความเจริญก้าวหน้านั้นและตระหนักว่า โลกในอนาคตคือโลกของคอมพิวเตอร์และการสื่อสารที่รุดหน้าโดยเฉพาะกับประเทศไทยซึ่งล้าหลังและมีช่องว่างมากมายที่จะให้เขากระโดดลงมาเล่น
ธุรกิจที่ทักษิณสร้างขึ้นหรือมีบทบาทเข้าไป ล้วนเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการสื่อสารแทบทั้งสิ้น
ทั้งธุรกิจที่จำเป็นต้องใช้การประมูลเข้าไปเป็นใบเบิกทาง และธุรกิจที่ทักษิณได้รับสัมปทานแต่เพียงผู้เดียว
ธุรกิจที่ว่านี้ นอกเหนือจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายคอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็ม
ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของเขาแล้ว ก็เป็นธุรกิจอื่นที่น่าสนใจไม่น้อย เช่น "เคเบิลทีวี"
ที่ทักษิณพยายามผลักดันจนเปิดดำเนินการอย่างถูกกฎหมายเป็นคนแรก "บัสซาวน์"
วิทยุบนรถเมล์, "เอส.โอ.เอส." เครื่องสื่อสารขอความช่วยเหลือจากตำรวจ,
"ซิตี้คอลล์" วิทยุชาวบ้าน, "แพ็คลิ้ง" ของการสื่อสารแห่งประเทศไทย
และเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทักษิณก็เป็นตัวแทนของเอทีแอนด์ทีในการขอสัมปทานระบบ
"ดาต้าคิต" จากองค์การโทรศัพท์ฯ ทั้งนี้ยังไม่รวมการเข้าไปมีบทบาทใน
อ.ส.ม.ท. แบบหลังฉากอีกด้วย
ตระกูล "ชินวัตร" เป็นตระกูลเก่าแก่ของจังหวัดเชียงใหม่เป็นผู้บุกเบิกการค้าไหมอยางเป็นล่ำเป็นสัน
และเติบโตเป็นบริษัทชินวัตรไหมไทย ที่มีกิจการค้าไหมใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งขงประเทศ
นอกจากนั้น ชินวัตรยังเคยเป็นกัมปะโดให้กับธนาคารนครหลวงไทยในอดีต เป็นเจ้าของกิจการและธุรกิจมากมายในเชียงใหม่
เช่น กิจการโรงเรียน กิจการโรงภาพยนต์ รถเมล์ ห้างสรรพสินค้า และที่สำคัญตระกูลชินวัตรยังเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่รายหนึ่งโดยเฉพาะบริเวณบ้านสันกำแพง
คูชุ่นเส็ง เป็นต้นตระกูล "ชินวัตร" แต่ตระกูลนี้มาขยายตัวมากในรุ่นสองคือ
เชียง ชินวัตร และพอในรุ่นที่สาม ตระกูลชินวัตรก็ยิ่งขยายตัวแตกกระจายมากขึ้น
เพราะรุ่นลูกของเชียงมีด้วยกันหลายคน
พ่อเลี้ยงเลิศ ชินวัตรเป็น "ชินวัตร" อีกคนหนึ่งในรุ่นนี้ ซึ่งขยายบทบาทเข้าไปเล่นการเมืองด้วย
เพราะพ่อเลี้ยงเลิศเคยเป็นส.ส.เชียงใหม่ เป็นเจ้าของธุรกิจในเชียงใหม่หลายประเภท
เช่น บริษัทเฉลิมพลเดินรถ โรงภาพยนต์ชินทัศนีย์ โรงทอศรีวิศาล และเคยเป็นผู้จัดการธนาคารนครหลวงไทย
สาขาเชียงใหม่ พ่อเลี้ยงเลิศมีภรรยาชื่อยินดี และมีบุตรชายชื่อทักษิณ ชินวัตร
ทักษิณสำเร็จการศึกษาจากมงฟอร์ดวิทยาลัย สอบเข้านักเรียนเตรียมทหารรุ่น
10 แต่แทนที่เขาจะได้เป็นทหารเขากลับไปสอบเข้าเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น
26 และจบออกมรติดยศนายร้อย ในปี 2516 ด้วยคะแนนเป็นอันดับหนึ่งของรุ่น
ทักษิณออกมาเป็นผู้หมวดประจำกองกำลังการสนับสนุนทางอากาศ ตชด. อยู่ได้
6 เดือนก็ได้รับทุนจากกรมตำรวจในฐานะที่สอบได้ที่หนึ่งของรุ่น ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยอีสเทิร์น
เคนตั๊กกี๊สหรัฐอเมริกา ที่นั่น ทักษิณเรียนได้ "เอ" ทุกวิชา และได้รับปริญญาโท
M.S. (CRIMINAL JUSTICE) ในปี 2517 กลับมาติดยศ ร.ต.อ. เป็นอาจารย์สอนที่โรงเรียนนายร้อยสามพราน
หลังจากนั้นถูกดึงตัวไปช่วยราชการที่ทำเนียบรัฐบาลสมัย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ปราโมชเป็นนายกรัฐมนตรี
เป็นช่วงชีวิตหนึ่งที่ทำให้สัมผัสนักการเมืองมากมาย
ในเวลาเดียวนั้นเองทักษิณก็แต่งงานกับพจมาน ดามาพงศ์ลูกสาวของพลตำรวจโทเสมอ
ดามาพงศ์ ซึ่งต่อมาทั้งคู่ได้มีส่วนสำคัญในชีวิตของเขาเป็นอย่างมาก
ต่อมาทักษิณเดินทางไปศึกษาระดับปริญญาเอกที่แซมฮุสตันเสตท รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา
ได้รับ PH.D. (CRIMINAL JUSTICE) ในปี 2522
แต่ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งคือ เขาทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องคอมพิวเตอร์
ชีวิตหลังจากนั้น ทักษิณเข้ามาเกี่ยวข้องคอมพิวเตอร์อย่างชัดเจนในฐานะเป็นวิชาชีพ
เขากลับมาเมืองไทยนั่งตำแหน่งรองผู้กำกับการศูนย์ประมวลข่าวกลาง (ศูนย์คอมพิวเตอร์)
กรมตำรวจ จนเลื่อนยศเป็นพันตำรวจตรีในปี 2525 พอขึ้นปี 2527 เลื่อนยศเป็นพันตำรวจโท
กระทั่งได้เป็นรองผู้กำกับนโยบายและแผนกองบังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจนครบาลแต่พอมาปี
2530 เขาก็ลาออกจากชีวิตตำรวจ สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะธุรกิจของเขาขยายตัวมากเกินกว่าที่จะเป็นงานพิเศษนอกเวลาไปแล้ว
ทักษิณเป็นตำรวจที่อยู่ในแวดวงคอมพิวเตอร์ ทำให้รับทราบความเคลื่อนไหวในวงการธุรกิจคอมพิวเตอร์ตลอดเวลาทักษิณเริ่มทำธุรกิจคอมพิวเตอร์ในปี
2526 ก่อนลาออกจากตำรวจ 4 ปีโดยการประมูลงานราชการสำคัญ ๆ สินค้าของเขาคือไอบีเอ็ม
ว่ากันว่าในช่วงนั้นไอบีเอ็มกำลังประสบปัญหาที่วาไม่สามารถประมูลงานราชการได้เลย
เพราะ "เข้าไม่ถึง" ระบบราชการแต่ทักษิณล้มล้างความล้มเหลวอันนี้ให้ไอบีเอ็ม
และกลายเป็นตำรวจแทนจำหน่ายที่สำคัญในเวลาต่อมา
"ขายคอมพิวเตอร์มันไม่ต้องใช้เวลามาก ผมใช้ติดต่อโทรศัพท์เป็นหลัก
และภรรยาผมเป็นคนดำเนินการ อีกอยางผมเลือกประมูลไม่กี่รายการ ปีหนึ่ง 3-4
รายการเท่านั้น" ทักษิณกล่าว ซึ่งทุกวันนี้ทักษิณก็ยังร่วมประมูลในจำนวนครั้งเพียงเท่านี้
ในความเป็น "ชินวัตร" นั้นคือผู้ค้ากิจการผ้าไหมรายใหญ่ที่มีอายุยืนยาวกว่า
50 ปี แต่ทักษิณปฏิเสธที่จะทำธุรกิจนี้ ดูท่าทางเขาไม่ค่อยชอบธุรกิจนี้นัก
แม้ว่าญาติผู้ใหญ่และพี่น้องของเขาจะทำธุรกิจนี้เกือบทุกคน มีเขาเพียงคนเดียวที่ออกมาอยู่นอกวงเขากล่าวอย่างขำ
ๆ และสั่นศีรษะเล็กน้อย เมื่อรำลึกถึงความหลังว่าปู่บังคับให้พ่อของเขาลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาขายผ้าไหม
เท่าที่ "ผู้จัดการ" สำรวจ พบว่าทักษิณมีธุรกิจอยู่ในเครือข่าย
11 บริษัท บางบริษัทมีบทบาทแท้จริง บางบริษัทตั้งไว้เฉย ๆ หรือรอดำเนินธุรกิจในอนาคต
จำนวนบริษัทเท่านี้ ทักษิณก็ค่อนข้างจะไล่ไม่ถูกเหมือนกันเมื่อถูกตั้งคำถาม
แต่บริษัทหลักของเขาจริง ๆ คือ บริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์และชินวัตรเทเลคอมมิวนิเคชั่น
ส่วนบริษัทอื่น ๆ ก็เช่น บริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้งดำเนินธุรกิจเคเบิลทีวี,
บริษัทซิสเต็ม เน็ทเวอร์ทำบัสซาวน์ บริษัทแอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส ทำซิตี้คอลล์,
บริษัทเซฟตี้ออร์เอร์ ซิสเต็ม ทำเครื่องเอส.โอ.เอส. บริษัทดิจิตอล เพจจิ้ง
เซอร์วิสทำธุรกิจกับ ร.ส.พ.เป็นต้น นอกจากนั้นก็เป็นบริษัทที่ทักษิณกล่าวว่าเป็นธุรกิจเล็ก
ๆ นอกเส้นทางที่เขาตั้งใจไว้ คือบริษัทยูเนียน เรียลเอสเตท ให้ขสมก.เช่าที่ดินทำอู่จอดรถที่หลักสี่,
บริษัทพีทีคอร์เปอเรชั่น ให้การสื่อสารแห่งประเทศไทยเช่าที่ดิน, บริษัทวิดิโอลิงค์
ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับฝรั่งช่วงแรกก่อนมาเป็นเคเบิลทีวี และห้างหุ้นส่วนจำกัดไอซีเอสไอ
ซึ่งไม่ปรากฎชัดเจนว่าทำธุรกิจใด
ปัจจัยที่สามารถทำให้ทักษิณ ชินวัตรโดดเด่นและขยายตัวได้อย่างรวดเร็วนั้นมีด้วยกัน
3 ประการใหญ่ ๆ คือ หนึ่ง - ความเป็นผู้นำด้านการตลาด สอง - การได้รับสัมปทานเพียงเจ้าเดียว
สาม - สายสัมพันธ์
ในประการแรก เป็นความเฉลียวฉลาดของทักษิณที่รู้จักที่จะเลือกตัวสินค้ามาเสนอขาย
โดยเฉพาะสินค้าหรือบริหารซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการในสังคมที่กำลังพัฒนาไปสู่สังคมข่าวสารและข้อมูลมากเป็นลำดับ
ในความจริง ความเป็นผู้มาก่อนกาลของทักษิณเคยปรากฎนานแล้ว เมื่อเขากลับมาจากสหรัฐใหม่
ๆ เขาเตรียมทบโรงภาพยนต์ราชวัตรรามา ซึ่งเป็นมรดกที่เขาได้มาจากคุณพ่อเพื่อสร้างราชวัตรคอนโดมิเนียม
ในยุคต้น ๆ ที่คนยังไม่ค่อยรู้จักคอนโดมิเนียมด้วยซ้ำว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไร
แต่ประสบปัญหาทางราชการห้ามก่อสร้างเนื่องจากจะกลายเป็นตึกสูงใกล้พระราชฐาน
แพ็คลิ้งที่แปซิฟิก เทเลซิส เอ็นจิเนียริ่ง นำเข้าในช่วงต้น ๆ ที่เริ่มปรากฏในเมืองไทยก็ผ่านมาโดยการร่วมทุนกับทักษิณ
เพียงแต่ในช่วงหลัง ๆ ทักษิณเกิดแตกคอกับบริษัทดังกล่าว ด้วยเรื่องใดไม่ปรากฏแต่ทักษิณกล่าวเพียงว่า
ทนทำงานกับคนไทยในนั้นไม่ได้
เอทีแอนด์ทีนำเทคโนโลยีการสื่อสารใหม่ "ดาต้าคิต" มาเสนอขายองค์การโทรศัพท์ฯ
ทักษิณก็รับเป็นตัวแทนจำหน่ายในนามของชินวัตรเทเลคอมมูนิเคชั่นและเข้าไปเจรจากับทศท.จนสำเร็จเมื่อไม่นานมาน้
ดาต้าคิตเป็นระบบการสื่อสารพร้อมเสียงและข้อมูลในเวลาเดียวกัน สำหรับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ออนไลน์ถึงกัน
ซึ่งยังไม่มีใครทำในลักษณะนี้มาก่อนในไทย โดยทักษิณลงทุน 500 ล้านบาทเพื่อติดตั้งอุปกรณ์เชื่อมกับคู่สายของทศท.บริการด้านการตลาด
ประโยชน์ให้ทศท. 5 ปีแรก 10% ของรายได้ ปีที่ 6-7 เป็น 12% ปีที่ 8-10 เป็น
45% หลังจากนั้นจึงยกอุปกรณ์และสัมปทานคืนให้ทศท.
นั่นเป็นธุรกิจที่ทักษิณเป็นเพียงผู้แทนจำหน่าย แต่ธุรกิจที่ทักษิณพัฒนาขึ้นมาด้วยตัวเองที่น่าสนใจมี
4 ตัว ซึ่งในมุมมองนี้ "ผู้จัดการ" ให้ความสำคัญกับทักษิณในแง่ที่ว่า
แม้ทักษิณจะไม่ใช่เป็นผู้ประดิษฐ์สินค้าหรือบริการนี้ขึ้นมาเป็นคนแรกในโลก
แต่ทักษิณเป็นผู้ค้นพบช่องทาง โอกาส และพัฒนาสินค้าเหล่านั้นให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสังคมไทยคนแรก
และที่สำคัญมันเป็นที่ยอมรับและ "ขายได้"
"ผมเป็นคนชอบคิดในทางนี้ ผมเป็นคนชอบอย่างนี้ คืออะไรที่คนอื่นเขาทำกันแล้ว
ผมก็พยายามคิดอะไรที่คนอื่นเขายังไม่ทำ" ทักษิณเล่าให้ "ผู้จัดการ"
ฟังถึงลักษณะเด่นทางธุรกิจของเขา
สืบเนื่องมาจากแพ็คลิ้งและเพจจิ้งทำให้ทักษิณเริ่มตระหนักว่า "คลื่นความถี่วิทยุ"
นั้นมีความสำคัญในแง่ของธุรกิจอย่างไร ทักษิณจึงเริ่มมาใช้กับบัสซาวน์อีกครั้ง
บัสซาวน์เป็นธุรกิจที่มาจากการติดต่อของประมุท สูตะบุตรอดีตผู้อำนวยการ
อ.ส.ม.ท. ซึ่งได้รับการติดต่อจากขสมก.ให้ไปช่วยทำวิทยุบนรถเมล์ให้ ซึ่งเป็นช่วงที่สมัคร
สุนทรเวชเป็น รมต.คมนาคมอยู่พอดี ทักษิณจึงเข้าไปทำในปี 2530 หลังจากรอเรื่องอนุมัติอยู่นาน
เขาลงทุนไปประมาณ 20 ล้าน แต่ถูกยับยั้งจากบว.เพราะคลื่นที่ทักษิณใช้นั้นเป็นคลื่นเอสซีเอซึ่งเป็นระบบใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครใช้มาก่อน
และเป็นคลื่นแทรกที่ควบคุมไม่ได้อันจะมีผลต่อความมั่นคงของประเทศ
แต่ไม่นานบัสซาวน์ก็กลับมาได้อีกด้วยการอ้างสถิติความต้องการของประชาชนที่สำรวจโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ
ซึ่งพบว่าประชาชนต้องการให้ติดตั้งบัสซาวน์ในรถเมล์สูงถึง 90%
แม้จะมีเรื่องวุ่นวายในช่วงต้นในเรื่องผู้จัดทำรายการและผู้หาโฆษณา ทักษิณก็ฟันฝ่ามาได้จนถึงวันนี้
และกล่าวอย่างสบายอารมณ์ว่า "รายได้ดี ๆ " โดยตามเป้าหมาย ทักษิณมีสัญญาทั้งสิ้น
5 ปี ต้องจ่ายให้กับขสมก.เดือนละ 1 แสนบาท
เอส.โอ.เอส.เป็นธุรกิจเอกเทศของทักษิณเองที่ใช้ชื่อดำเนินการโดยบริษัทเซฟตี้
ออร์เดอร์ ซิสเต็ม เอส.โอ.เอส. เป็นเครื่องมือเรียกความช่วยเหลือจากตำรวจ
เป็นธุรกิจที่ต้องสร้างเครือข่ายกับกรมตำรวจอย่างแน่นหนาจึงจะสามารถดำเนินธุรกิจได้
ในช่วงแรกการตลาดของเอส.โอ.เอส.ไม่เฟื่องนัก จนได้บริษัทที.เอส.อีคอมมูนิเคชั่นของกำพล
วัชรพลมาช่วยการตลาดให้เอส.โอ.เอส จึงกลายเป็นอุปกรณ์ที่บูมมาก ๆ ตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมา
"ซิตี้คอลล์" หรือวิทยุชาวบ้านที่ทักษิณกล่าวว่า เขาศึกษาตัวอย่างมาจากญี่ปุ่น
และพบว่าประการแรก มันช่วยแก้ปัญหาวิทยุเถื่อนที่ประชาชนลอบใช้ ประการที่สอง
มันเป็นตัวสอดแทรกระหว่างแพ็คลิ้งกับโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งต่างมีข้อจำกัดในตัวมันเองขณะที่แพ็คลิ้งสามารถส่งเพียงสัญญาณ
แต่ไม่สามรถสนทนากันได้ และโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็กำลังประสบปัญหาช่องสัญญาณไม่ว่าง
ทักษิณจึงมาเสนอซิติ้คอลล์แก่การสื่อสารแห่งประเทศไทย
ทักษิณเสนอเรื่องนี้ไปในช่วงปลายรัฐบาลพลเอกเปรมซึ่งมีสุรพันธ์ ชินวัตร
อาของเขาเป็นรมช.คมนาคม จึงถูกโจมตีมากว่า ทักษิณใช้เส้นสายเพื่อผูกขาด และรัฐมนตรีพรรคชาติไทยเตรียม
"ทิ้งทวน" ก่อนลงจากตำแหน่ง ด้วยกระแสการเมืองเรื่องนี้จึงถูกพับไป
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์อย่างหนักหน่วง
"เคเบิลทีวี" เป็นธุรกิจอีกตัวหนึ่งที่อาจนับเป็นตำนานคลาสสิกของทักษิณก็ว่าได้
เพราะทักษิณต้องฟันฝ่าอุปสรรคหลายประการเป็นเวลาเกือบ 6 ปีกว่าเคเบิลทีวีจะเกิดขึ้นมาได้
แต่เดิมเรื่องนี้มาจากประมุท สูตะบุตร คนโตจากอ.ส.ม.ท.อีกเช่นกัน ประมุทไปชวนวิลเลียมมอนเซน
จากบริษัทเคลีย์วิว อินเตอร์เนชั่นแนลสหรัฐอเมริกามาลงทุนทำเคเบิลทีวีในเมืองไทยตั้งแต่ราวปี
2525 แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะมีเสียงคัดค้านเนื่องจากเป็นของใหม่ ทางคณะรัฐมนตรีขอให้พิจารณาโดยรอบคอบ
ต่อมาประมุทก็แนะนำให้มอนเซนรู้จักกับทักษิณ ชินวัตร ในปี 2528 โดยหวังว่าทักษิณจะสามารถช่วยเหลือโครงการนี้ผ่านออกมาได้
แม้ทางทักษิณจะสามารถขอคลื่นความถี่วิทยุมาได้แล้วก็ตาม เรื่องก็ถูกดองไว้อีกในสมัย
รมต.ชาญ มนูธรรม ทักษิณพยายามผลักดันหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ จนมีเสียงพูดกันว่าทักษิณเบื่อหน่ายเรื่องนี้มาก
และมีแนวโน้มอาจจะเลิก ขณะเดียวกันทาง อ.ม.ส.ท.ก็ได้รับการติดต่อให้รับโครงการนี้ต่อไป
แต่ก็ไม่สำเร็จอีก เรื่องนี้เงียบไปนานจนกระทั่ง เฉลิม อยู่บำรุง มาคุม อ.ส.ม.ท.
นั่นแหละเคเบิลทีวีจึงฟื้นขึ้นมาอีกอย่างรวดเร็ว โดยมีทักษิณเป็นผู้ได้รับสัมปทานไป
แต่เรื่องนี้คนที่แค้นมากที่สุดคือวิลเลียม มอนเซนเขาตำหนิทักษิณอย่างรุนแรงว่า
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมอย่างสาหัสสากรรจ์ เพราะเขาคิดว่าเขาควรมีส่วนร่วมลงทุนในโครงการนี้ต่อไปด้วย
ในฐานะผู้เริ่มต้นแต่แรก ไป ๆ มา ๆ ทักษิณได้ไปคนเดียว รวมทั้งอุปกรณ์เครื่องส่งที่มอนเซนอ้างว่ามีมูลค่า
5 ล้านบาท มอนเซนลงไป 2 ใน 3 ส่วน แต่ทักษิณกลับนำกลังตำรวจไปบุกออฟฟิศนำอุปกรณ์เหล่านั้นไปแถมยังฟ้องลูกน้องมอนเซนในข้อหายักยอกทรัพย์
ซึ่งทุกวันนี้ยังเป็นความกันอยู่
ขณะเดียวกันทักษิณโต้ว่า สาเหตุที่เขาไม่ยอมสังฆกรรมกับฝ่ายมอนเซนเป็นเพราะตกลงในเรื่องการลงทุนไม่ได้
ทักษิณรู้สึกว่ามอนเซนเอาเปรียบและไม่มีหลักประกันที่น่าเชื่อถือ
"ตอนแรกที่ร่วมงานกัน เราก็ยอมเขา ตอนหลัง คุยกันยากเราะนึกว่าเพราะนึกว่าเราไม่เป็น
เขาพยายามเรียกร้องในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ผมก็บอกผมทำเอง แต่ให้เขาป้อนอุปกรณ์และโปรแกรม
ก็ตกลงกันไม่ได้อีก เพราะเขาไม่มีหลักประกันอะไร ผมถามเขาว่า เขาเอาเงินจากที่ไหนมาลงทุน
เขาก็บอกว่ามาจาก PRIVATE INVESTOR ซึ่งในเมืองไทยเราเรียกว่า แลกเช็ค แล้วผมทำสัญญากับ
อ.ส.ม.ท. ค้ำประกันตั้งร้อยกว่าล้าน แล้วถ้าเขาหนี ผมไม่ตายหรอก อีกอย่างสัญญากับ
อ.ส.ม.ท.ก็ไม่ยอมให้ผมทำ SUBCONTRACT กับคนอื่นด้วย สรุปคือ หนึ่ง สัญญากับ
อ.ส.ม.ท.ห้าม SUBCONTRACT ทำเองทั้งหมด เขาให้ผมแค่ 1.5% เท่านั้น"
ทักษิณ โต้ตอบแบบร่ายยาว นอกจากนี้ แม้ทักษิณจะได้รับอนุญาติให้ดำเนินการได้
แต่ทางคุณหญิงสุพัตรามาศดิตถ์ รมต.สำนักนายกฯ ก็คัดค้านเรื่อยมา อีกทั้งคนในกระทรวงคมนาคมก็กล่าวว่า
เรื่องนี้มันผิดขั้นตอนกันไปหมด ตั้งแต่เมื่อมติครม.ที่ว่าให้เปิดเคเบิลทีวีเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว
โดยประสานกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย แต่เอาเข้าจริงคำว่า "นักท่องเที่ยว"
ก็ถูกตีความกว้างไปถึงตามบ้านเรือนทั่วไปอีกทั้ง ททท.ก็ไม่ได้มีแผนอะไรชัดเจน
เรื่องกฎกระทรวงก็ยังไม่ได้ออกมาควบคุมอย่างชัดเจน
"เรื่องส่งเสริมต้องการอะไรก็บอกมา เราจะให้ใช้เวลาโดยไม่คิดว่าตอบแทนแล้วเรื่องเคเบิลทีวีก็ไม่ต้องผ่านกบว.อนุมัติหรอก
เพราะเป็นไปตามมติครม. ปี 2529 และ 2532 และกฎกระทรวงที่จะออกมา 9 ฉบับนั้น
ผมก็ดำเนินการไปตามนั้นอยู่แล้ว แม้จะยังไม่ออกมาเป็นทางการก็ตาม ในกฎกระทรวงบอกว่า
ให้เซ็นเซอร์โดยกรมตำรวจ ก็มีแล้ว ให้มีผู้อำนวยการสถานีก็มีแล้ว คุหญิงสุพัตราไม่ได้ค้านว่าไม่ให้มีหรอก
แต่ท่านอยากให้กบว.ควบคุม แต่คำถามก็คือ สถานีนี้เป็นของเอกชนหรือไม่ ไม่
เป็นของรัฐบาลใช่ไหม ใช่ เป็นของ อ.ส.ม.ท. หรือไม่ใช่ และ อ.ส.ม.ท.มีสิทธิ์ทำธุรกิจไหม
มีและถามว่ามีการควบคุมโปรแกรมไหม ก็ควบคุม ควบคุมโดยอะไร ก็ควบคุมโดยกฎกระทรวงที่คุณหญิงเป็นคนร่างเองนั่นแหละ
ก็ไม่มีปัญหาอะไร ถามว่าจะเอาอะไรกันอีก" ทักษิณ กล่าวอย่างเบื่อหน่าย
ซึ่งผลการต่อสู้ของทักษิณก็คือ เคเบิลทีวีเริ่มดำเนินการเมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมาเฉพาะตามโปรแกรม
และตามบ้านก็เริ่มในเดือนตุลาคม
ข้อสังเกตประการหนึ่งก็คือ ธุรกิจใหม่ ๆ ที่ทักษิณสร้างขึ้นมา อาจจะเป็นธุรกิจที่บางคนคาดไม่ถึง
ทุกตัวจะมีลักษณะเหมือนกันคือ ใช้ "คลื่นความถี่วิทยุ" ซึ่งต้องขออนุมัติจากคณะกรรมการประสานงานการจัดและบริหารความถี่วิทยุแห่งชาติหรือกบว.
ซึ่งเป็นทรัพยากรที่ไม่มีใครคาดถึงว่าจะนำไปสู่ธุรกิจได้มากมายเท่าทักษิณได้ค้นพบ
ซึ่งข้อนี้เองที่เป็นคุณสมบัติที่ได้เปรียบของทักษิณที่สำคัญมาก ๆ
ทักษิณจะหัวเราะทุกครั้งที่มีคนพูดว่า เขาเป็น "เจ้าพ่อคลื่นวิทยุ"
"ก็พวกหนังสือพิมพ์นั่นแหละตั้งให้ผม" ทักษิณกล่าวแต่ดูเหมือนจะในยุคปัจจุบันก็ยังไม่ใครค้นพบทรัพยากร
และนำมาปรับใช้กับธุรกิจได้มากมายเช่นเขา
ปัจจัยประการที่สอง ของความสำเร็จของทักษิณคือ การได้รับสัมปททานแต่เพียงผู้เดียวในธุรกิจที่เขาลงไปทำเป็นส่วนใหญ่ซึ่งหลายคนสรุปง่าย
ๆ ว่า เขาพยายามใช้เส้นสายเข้าไป "ผูกขาด"
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทักษิณได้รับการโจมตีมากที่สุด แต่ก็เป็นลักษณะพิเศษอีกประการหนึ่งของธุรกิจของเขาเช่นกัน
โดยสังเกตได้เฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่เขาเป็นผู้บุกเบิก หรือแม้แต่ธุรกิจที่เขาเป็นนายหน้า
เช่น ดาต้าคิต ก็เป็นลักษณะสัมปทานเช่นกัน
กรณีบัสซาวน์เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคิดจะทำแข่งด้านหนึ่งอาจเป็นเพราะคิดว่ามันไม่คุ้มกับการลงทุน
หรือต้องใช้เวลานานมากในการคืนทุน กับโดยลักษณะการบริหารงานกิจการรถเมล์ก็เป็นลักษณะผูกขาดโดยขสมก.อยู่แล้ว
จึงไม่ต้องคิดเรื่องแบ่งโซนกันทำวิทยุบนรถเมล์ให้เปลืองสมอง
"บางทีก็ไม่ใช่เรื่องสัมปทานหรือผูกขาดโดยชัดเจนหรือเจตนา อย่างเช่น
เรื่องเอส.โอ.เอส ใครเขาจะกล้าสู้คุณทักษิณคนที่มาแข่งจะต้องฝ่าด้านอะไรบ้างก็คิดดู
อย่างแรกต้องขออนุมัติจากกบถ. (คณะกรรมการประสานงานการจัดและบริหารความถี่วิทยุ)
ขอคลื่นมาให้ได้เสียก่อน ต้องสร้างเครือข่ายการประสานงานกับตำรวจให้ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย
ๆ เลย แล้วยิ่งตอนนี้ เขาให้ไทยรัฐมาช่วยด้านการตลาด แค่นี้คุณก็จะเอาอะไรมาสู้"
แหล่งข่าวในวงการสื่อสารให้ความเห็น
กรณี "ซิตี้คอลล์" เป็นกรณีที่ทักษิณไม่พออกพอใจมากที่มีคนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเขาพยายามผูกขาดธุรกิจนี้เพียงคนเดียว
"อ้างเหตุผลไม่ให้ผมเข้ามาว่าเป็นเรื่องความมั่นคง แล้วที่เป็นทุกวันนี้คือคนมีความต้องการใช้วิทยุแบบนี้เยอะ
คนก็ต้องเอาวิทยุเถื่อนเข้ามา เก็บภาษีก็ไม่ได้ ใต้โต๊ะกันมั่ง ใช้ประโยชน์กันไม่ได้
เพราะคลื่นมันแทรกเข้าไปในคลื่นทหาร ตำรวจ ก็ดักฟังกัน แล้วแบบนี้ไม่เรียกความมั่นคงหรือ
พอผมพยายามทำให้มันถูกกฎหมาย ก็อ้างเรื่องความมั่นคง หากว่าผมเข้ามาคนเดียวตอนที่ผมคิด
ทำไมไม่รู้จักคิดกัน คุณคิดกันซิ คิดมาแล้วประกาศออกมาซิ แล้วผมจะเข้าประมูลด้วย
แล้วที่นี้พอผมคิดแล้ว ผมพาผู้ใหญ่ไปดูงานต่างประเทศ พอเห็นด้วยก็บอกว่าให้เอามาประมูล
แล้วอย่างนี้มันถูกที่ไหน" ทักษิณกล่าวอย่างแค้นเคือง
พอถึงเวลานี้ เรื่องแต่ครั้งก่อนสงบลง "ซิตี้คอลล์" ก็ได้รับการรื้อฟื้อขึ้นมาใหม่
โดยมีเสียงทักท้วงน้อยมาก และดูเหมือนว่าทักษิณจะมั่นใจว่า ในเร็ววันนี้จะผ่านการอนุมัติจากกระทรวงคมนาคมอย่างแน่นอน
"อะไรที่มันใหม่เกินไป ก็ต้องพยายามทำให้คน่เข้าใจ บางครั้งต้องมีคนมองทั้งแง่ลบและแง่บวก
มันต้องใช้เวลาสักพักถึงจะเข้าใจ" ทักษิณกล่าว ซึ่งนับเป็นจุดเด่นอีกประการหนึ่งของเขาคือใจเย็น
อดทน รอคอย และมองโลกในแง่ดี เพราะธุรกิจของเขาล้วนต้องอาศัยเวลาในการทำความเข้าใจกับผู้เกี่ยวข้องทั้งสิ้น
กรณีเคเบิลทีวี ก็ดูเหมือนว่า หลังจากที่ทักษิณต่อสู้มาหลายปี ท่ามกลางเสียงทักท้วงตลอดเวลา
แม้เวลานี้ก็ตาม ทักษิณก็เชื่อว่าจะไม่มีคู่แข่งโดยตรงในธุรกิจนี้ หรือมีบริษัทอื่นได้รับสัมปทานทำนองนี้อีก
ทักษิณให้เหตุผลในเชิงเทคนิคว่า กบถ. จัดสรรคลื่นมา 5 ความถี่ก็จริง เขาได้มาสามคลื่น
ซึ่งก็เพียงพอแล้ว เพราะอีก 2 คลื่นจะไม่มีการให้คนอื่นเพราะจะเป็นการแทรกคลื่นกันไปภายหลัง
เช่น เขาได้คลื่นหมายเลข 1, 3, 5 คลื่น และ 2 และ 4 ก็จะใช้ไม่ได้ เพราะต้องเว้นระยะเพื่อไม่ให้คลื่นรบกวนกัน
อีกประการหนึ่งทักษิณอ้างมติครม.ที่ให้อ.ส.ม.ท.เป็นผู้ดูแลกิจการเคเบิลทีวีซึ่งแน่นอน
และในแง่กฎหมายหรือพระราชบัญญัติการก่อตั้งรัฐวิสาหกิจก็ไม่เอื้ออำนวยให้รัฐวิสาหกิจแห่งอื่นทำธุรกิจประเภทนี้เพราะมี
อ.ส.ม.ท. คอยควบคุมดูแลอยู่แล้วดังนั้นโดยการตีความของทักษิณเอง ธุรกิจเคเบิลทีวีจึงควรดำเนินการโดยบริษัทของเขาเพียงผู้เดียวภายใต้การปกป้องคุ้มครองจาก
อ.ส.ม.ท.
ทักษิณกล่าวว่า ที่เขาเปิดตัวธุรกิจใหม่ ๆ มากมายในช่วงนี้ไม่ใช่เป็นการขยายตัว
แต่เป็นเพราะเป็นเรื่องที่ขอมานานแล้วแต่อนุมัติมาในช่วงนี้ในเวลาไล่เลี่ยกันพอดี
ซึ่งเขากล่าวว่า มาพร้อม ๆ กันแบบนี้เขาเหนื่อยมาก แต่สายตา "ผู้จัดการ"
แล้วเขาอาจจะเหนื่อยมากในการทำตลาดช่วง 5 ปีแรก แต่หลังจากนี้คือช่วงแห่งการเก็บเกี่ยวผลกำไรที่ยาวนานเป็นสิบยี่สิบปีทีเดียว
ปัจจัยประการที่สาม คือ สายสัมพันธ์ ทักษิณกล่าวว่าเขาเป็นคนมีเพื่อนมาก
"ในสังคมไทย การรู้จักกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่รู้จักกันต่างหากเป็นเรื่องผิดปกติ"
ทักษิณกล่าวเปรียบเทียบให้ "ผู้จัดการ" ฟัง
หน่วยงานที่เขาย่อมต้องมีสายสัมพันธ์ค่อนข้างดีคือ คณะกรรมการประสานงานการจัดและบริหารความถี่วิทยุแห่งชาติหรือ
กบถ. หน่วยงานนี้มีหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่วิทยุให้หน่วยงานรัฐและเอกชนไปใช้
เพราะคลื่นความถี่วิทยุก็เหมือนแนวถนนที่ต้องมีการวางแนว ปักกันเขตให้ชัดเจน
เพื่อมิให้มีการล้ำแดนหรือเกิดคลื่นแทรกกัน บทบาทในการจัดสรรคลื่นความถี่นี้ครอบคลุมคลื่นความถี่สถานีวิทยุ
สถานีโทรทัศน์ วิทยุสื่อสารตำรวจวิทยุมือถือที่ได้รับอนุญาต วิทยุสื่อสารของเอกชน
เช่น หนังสือพิมพ์ - ธุรกิจเอกชนใหญ่ ๆ รวมไปถึงแพ็คลิ้ง, เคเบิลทีวี, เอส.โอ.เอส.,
บัสซาวน์, ซิตี้คอลล์ เป็นต้น
กบถ.ประกอบด้วยคณะกรรมการ 12 คน ที่สำคัญคือรมต.คมนาคมเป็นประธาน รมช.คมนาคมเป็นรองประธาน
หลายปีมานี้ ส.ส.จากพรรคชาติไทยมาคุมกระทรวงนี้สม่ำเสมอ ช่วงหนึ่งสุรพันธ์
ชินวัตรเคยเป็นรมช.และดูแลกบถ.อยู่ ซึ่งมีเสียงค่อนแคะไปถึงทักษิณว่า "อาย่อมต้องช่วยหลาน"
"ความเป็นชินวัตรไม่ได้ช่วยอะไรผมเลย ตอนที่อาของผมเป็นรมช. งานของผมก็ติดขัดไปหมด
ผมกับอาไม่ได้มีธุรกิจเกี่ยวข้องกัน" ทักษิณมักย้ำคำนี้เสมอ
แต่เป็นที่รู้กันว่า เรื่องเคเบิลทีวีนั้น ที่เฉลิมให้บริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล
บรอดคาสติ้งของทักษิณเป็นผู้รับสัมปทานไปเพราะมักจะกล่าวอ้างเสมอว่า บริษัทนี้ได้เคยลงทุนไปมากแล้ว
และเป็นบริษัทเดียวที่มีคลื่นพร้อมสำหรับดำเนินการได้ทันที
ทั้งที่ในช่วงที่เฉลิมออกโรงมาหนุนทักษิณนั้น ก็ยังมีความสับสนอยู่ในกบถ.บางคน
เพราะในสมัยรัฐบาลเปรมที่ยับยั้งเคเบิลไปแล้ว ก็มีการตีความว่า คลื่นที่ขอไว้เพื่อการนี้น่าจะยับยั้งไปด้วยเรื่องต้องนับหนึ่งกันใหม่
เจ้าหน้าที่บางคนถึงกับกล่าวว่าทักษิณจะกล่าวอ้างเรื่องนี้อีกไม่ได้ แต่ก็ไม่มีการท้วงติงเป็นเรื่องเป็นราวจนมติครม.อนุมัติให้ดำเนินการได้
ซึ่งอ.ส.ม.ท.และทักษิณก็ถือมติครม.นี้เป็นบรรทัดฐานในการแก้ไขปัญหาทุกอย่างเสมอมาและคลื่นความถี่ที่กบถ.ชุดล่าสุดอนุมัติให้อ.ส.ม.ท.ใช้กับเคเบิลทีวี
3 คลื่น ก็เพิ่งอนุมัติอย่างแท้จริงสิ้นสงสัย 10 สิงหาคมที่ผ่านมานี้เอง
ธุรกิจอื่น ๆ ของทักษิณก็ใช้คลื่นความถี่วิทยุเป็นหลักเกือบทุกตัว กบถ.จึงเปรียบเสมือนแหล่งทรัพยากรที่มีค่าแต่ไม่ใครมองเห็น
มีก็เพียงทักษิณเท่านั้นที่จับทิศทางของมันได้ ดังนั้นทักษิณจึงต้องมีความใกล้ชิดกันกรรมการกบถ.เป็นธรรมดากรรมการคนหนึ่งของบกถ.คือ
ไกรสร พรสุธี อดีตผู้อำนวยการสำนักงานบริหารความถี่วิทยุ เขาอยู่ในตำแหน่งนี้มานานถึง
10 ปีรู้คุณค่าและประโยชน์ของคลื่นความถี่วิทยุนี้ดีต่อมาเขาถูกย้ายไปเป็นผู้ตรวจการประจำกระทรวง
แต่ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการ อ.ส.ม.ท. ชุดล่าสุด ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นแรงสนับสนุนจาก
ทักษิณ ชินวัตร
ประยูร จินดาประดิษฐ์ อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารทหารไทยเป็นอีกคนหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทักษิณอยู่มากประยูรสนิทกับตระกูล
"ชินวัตร" ตั้งแต่ตัวเองอยู่ฝ่ายตรวจสอบของธนาคารชาติ เพราะประยูรเดินทางไปตรวจสอบธนาคารนครหลวงไทย
สาขาเชียงใหม่ ซึ่งมีพอ่เลี้ยงเลิศ พ่อของทักษิณเป็นผู้จัดการ และต่อมาทักษิณก็มาเป็นลูกค้าของธนาคารทหารไทยช่วงที่ประยูรเป็นกรรมการผู้จัดการ
ด้วยความผูกพันนับถือเป็นพ่อทักษิณจึงเชิญประยูรมาเป็นประธานกรรมการบริษัทเซฟตี้
ออร์เดอร์ซิสเต็ม
ประยูรกล่าวถึงทักษิณอย่างชื่นชมมากว่า ทักษิณ เป็นคนหนุ่ม ที่ฉลาดมาก
และในสมองของทักษิณจะต้องคิดอะไรที่เป็นประโยชน์ตลอดเวลา
"คุณคอยดูเขาให้ดีเขาจะเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้นำธุรกิจด้านการสื่อสารในเมืองไทยในอีกไม่เกิน
5 ปีข้างหน้านี้" ประยูรกล่าวถึงทักษิณอย่างเชื่อมั่น แสดงถึงหลักประกันให้แก่ทักษิณอย่างเต็มที่
ในงานเปิดตัวเครื่องเอส.โอ.เอส.เมื่อไม่นานมานี้ มีพลตำรวจเอกเภา สารสิน
เป็นประธานและที่สำคัญกว่านั้นป๊ะกำพล วัชรพลเจ้าของไทยรัฐก็มาด้วยในฐานะประธานบริษัทที.เอส.อี.คอมมูนิเคชั่น
ซึ่งรับจัดจำหน่ายและทำการตลาดให้เอส.โอ.เอส.
บางกระแสกล่าวว่า การสร้างสายสัมพันธ์กับป๊ะกำพลนี้ผ่านทางประยูร จินดาประดิษฐ์
แต่ทักษิณกล่าวว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่เขารู้จักกับยุวดี บุญครอง
ซึ่งคุมโฆษณาไทยรัฐเมื่อทักษิณทำบัสซาวน์ บริษัทมีเดียออฟมีเดียของยุวดีก็เป็นโบรกเกอร์หาโฆษณาให้ในระยะแรก
แต่มาเลิกในภายหลังเพราะทักษิณต้องการจัดระบบการทำงานใหม่ในบัสซาวน์ เมื่อยุวดีมาอยู่ไทยรัฐแรงผลักดันที่จะดึงทักษิณเข้ามาร่วมธุรกิจจึงเกิดขึ้น
ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลกมากสำหรับไทยรัฐ ที่รับเป็นฝ่ายตลาดให้กับสินค้าที่ตนเองไม่คุ้นแบบนี้มาก่อน
การสร้างสายสัมพันธ์กับ "ไทยรัฐ" เป็นสิ่งที่ดีสำหรับอนาคต ใคร
ๆ ก็ย่อมรู้
ประมุท สูตะบุตรอดีตผู้อำนวยการ อ.ส.ม.ท. เป็นคนเก่งและเป็นคนที่รวดเร็วมากในการคิดวางแผนโครงการใหม่
ๆ เมื่อมาพบกับทักษิณจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมมาก ประมุทเป็นคนคอยเสนอโครงการใหม่
ๆ ที่น่าสนใจหลายอันให้ทักษิณ เช่น เคบิลทีวีและบัสซาวน์ ความสนิทสนมนี้
ทำให้ทักษิณเข้านอกออกใน อ.ส.ม.ท. ได้อย่างคุ้นเคย ทั้งในฐานะคนรู้จักผู้บริหารทุกระดับและคนค้าขายกับ
อ.ส.ม.ท. ความสนิทสนอมเลยผ่านมาจนถึงยุคเฉลิมเรืองอำนาจ ทักษิณเป็นตัวเก็งคนหนึ่งที่จะขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการ
อ.ส.ม.ท.คนใหม่ แต่ทักษิณปฏิเสธ โดยอ้างว่าเป็นผู้อำนวยการ อ.ส.ม.ท. สู้ทำการค้ากับ
อ.ส.ม.ท.ไม่ได้ และที่สำคัญตาม พ.ร.บ. ห้ามผู้มีธุรกิจคล้ายคลึงกับ อ.ส.ม.ท.มาเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร
อ.ส.ม.ท.
แต่ในช่วงที่ราชันย์ ฮูเซ็น เข้ามารับตำแหน่งใหม่ ๆ ถึงกับมีการนินทากันว่า
ผู้อำนวยการอ.ส.ม.ท.ตัวจริงคือทักษิณ จะติดต่อขอช่วงเวลา ขอรายการไม่ว่าโทรทัศน์หรือวิทยุให้ติดต่อได้ที่ทักษิณ
เฉลิม อยู่บำรุงเป็นอีกสายสัมพันธ์หนึ่งที่ทำให้ทักษิณสามารถเดินหน้าต่อไปได้ในเรื่องเคเบิลทีวี
เฉลิมหนุนแทบสุดตัวจนคิดว่าทักษิณเป็นคนของพรรคมวลชน แต่โดยแท้ที่จริงต้องตระหนักว่าทักษิณเป็นนักธุรกิจ
สิ่งสำคัญคือไม่ควรไปผูกติดกับนักการเมืองคนใดหรือพรรคใดมากเกินไปเป็นอันขาด
ดังนั้นในช่วงมื้อเที่ยงของบางวัน หลายคนอาจจะมีโอกาสได้พบทักษิณ ชินวัตรที่ห้องอาหาร
EMPRESS ในโรงแรมปริ๊นเซสกับปองพล อดิเรกสาร บางวันกับเฉลิม อยู่บำรุง นอกจกนี้ความสัมพันธ์แบบง่าย
ๆ ก็เริ่มต้นได้กับนักการเมืองคนอื่น ๆ ณ ห้องอาการแห่งนั้นได้เช่นกัน
ความที่เขาเป็นเขยตระกูล "ดามาพงศ์" ก็ถูกเพ่งมองอยู่ไม่น้อย
และเชื่อมโยงไปได้หลายระดับ ความสัมพันธ์นี้ไม่ชัดเจนนัก และไม่มีความจำเป็นที่
"ผู้จัดการ" จะต้องพิสูจน์ มีเพียงแค่ครั้งหนึ่งช่วงที่ทักษิณเซ็งสุดขีดกับเคเบิลทีวี
อยากจะขายให้กับอ.ส.ม.ท.ไปให้หมดเรื่องหมดราว จิรายุ อิศรางกูร รมต.สำนักนายกฯ
ขณะนั้นซึ่งต่อมาเป็นผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นคนติดต่อประสานงานไปทางบุญเสริม
วีสกุล รักษาการ ผอ.อ.ส.ม.ท.
ในท่ามกลางกระแสการเมือง ทักษิณถูกคัดค้านเรื่องเคเบิลทีวีอย่างหนักจากคุณหญิงสุภัตรา
มาศดิตถ์ รมต. ซึ่งดูแลกรมประชาสัมพันธ์ เมื่อถามว่าคุณหญิงคัดค้านเขาด้วยสาเหตุใด
ทักษิณจะทำหน้างอน ๆ แหงนหน้ามองฟ้าแล้วตอบห้วน ๆ ว่า "ไม่รู้"
"ไม่รู้เป็นอะไร การเมืองมายุ่งทุกครั้ง แต่ตอนนี้ผมไม่ห่วงผมไม่เล่นการเมือง
คือคนเราก่อนจะค้าน ต้องจิตให้ว่าง และพิจารณาเฉพาะเรื่องนั้นจริง ๆ อย่ามามองหน้าผม
แล้วพิจารณาว่าเรื่องนี้เหมาะสมไหม อย่ามองหน้าผมว่าผมเป็นใคร และข้างหลังมีใครบ้าง"
ทักษิณขอความเห็นใจ
หากใครได้มีโอกาสพบกับทักษิณ จะรู้ทันทีว่าทักษิณเป็นคนอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใส
เป็นกันเอง แต่งกายดีมาก ๆ สูบไปป์ในบางโอกาส
เขาย้ำหลายครั้งว่า เขาเป็นคนมีเพื่อนมาก ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ง่าย ๆ และเขายังกล่าวด้วยว่า
เขาเป็นคนเผชิญกับทุกสิ่งได้แบบ "ไม่มีปัญหา"
"ผู้จัดการ" ถามเขาว่า เท่าที่ทำโครงการมาทั้งหมด ชอบโครงการไหนมากที่สุด
เขาตรึกตรองอยู่นานมากก่อนกล่าวว่าเขาเป็นคนเบื่อง่าย แต่ถ้าตอนนี้ก็คงต้องเป็น
เคเบิลทีวี
ขณะนี้ทักษิณลงเงินไปแล้วไม่ต่ำกว่า 50 ล้านสำหรับโครงการเคเบิลทีวี และค่าโปรแกรมอีกเดือนละ
4-5 ล้าน มีบางคนกล่าวว่า เคเบิลทีวีจะจำกัดตลาดเพียงแต่ตลาดระดับสูงหรือผู้มีความรู้ภาษาอังกฤษเท่านั้น
และก็ไม่มีโฆษณา มีรายได้จากแค่ค่าบอกรับเป็นสมาชิก โดยสมาชิกประเภทโรงแรมเดือนละ
150 ต่อห้อง ส่วนสมาชิกตามบ้านเดือนละ 600 บาท
"อย่าประมาทโครงการนี้ มันก็คือสถานีโทรทัศน์แห่งใหม่นั่นแหละ อ.ส.ม.ท.
เคยประเมินว่าโครงการนี้จะคุ้มทุนในช่วงแค่ 3 ปี ต่อจากนั้นคือกำไร ในสหรัฐอเมริกา
ธุรกิจนี้คือเงินจำนวนมหาศาล…มหาศาลมาก" คนในวงการย้ำ
นอกจากนี้ต้องพิจารณาว่า ทักษิณได้สัมปทานโครงการนี้ถึง 20 ปี ความเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ประชาชนยอมรับในวงกว้างมากที่สุดย่อมเกิดขึ้นได้
นั่นหมายถึงรายได้อีกไม่รู้เท่าไร
"ความได้เปรียบของเคเบิลทีวีในอนาคตคือ ประชาชนจะไม่รู้สึกถูกยัดเยียดรายการทางทีวีเช่นเขารู้สึกทุกวันนี้
แต่เขาจะมีโอกาสเลือกรายการดีที่เขาอยากจะดูได้มากขึ้น พูดในแง่หนึ่งมันก็เป็นเสรีภาพในการรับรู้
แต่ทั้งนี้มันขึ้นกับว่าเคเบิลทีวีต้องมีรายการที่ดี ๆ ป้อนสม่ำเสมอ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากอะไร
ถ้ามีเงิน" คนในวงการทีวีให้ความเห็น
เรื่องเงินนั้นไม่ใช่ปัยหาสำหรับทักษิณอย่างแน่นอน มีบางคนกล่าวว่า ขณะนี้ทักษิณมีฐานะดีมาก
ๆ เฉพาะแค่เงินที่ได้จากการประมูลต่าง ๆ ผลตอบแทนจาการลงทุนในสัมปทานต่าง
ๆ ก็อาจมีตัวเลขนับพันล้านและรายได้ที่จะเข้ามาอีกในอนาคตก็คงไม่ใช่น้อย
"ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ แต่ผมคิดว่าปีหน้าจะพักผ่อนผมจะไม่ขยายตัวอีกแล้ว
ที่ขยายตัวตอนนี้ก็เป็นเรื่องเก่าที่ค้างมา" ทักษิณกล่าวกับ "ผู้จัดการ"
เรื่องนี้เป็นเรื่องอนาคต แต่ทักษิณซึ่งเป็นคนหนุ่ม คิดตรึกตรองตลอดเวลา
จะใช้เวลหมดไปกับการหยุดอยู่กับที่คงไม่ใช่เรื่องปกตินัก
แต่ถ้าถามเขาเรื่องการเมืองที่มักมายุ่งกับเขา ทักษิณตอบแบบนักการเมืองอาชีพว่า
"ตอนนี้ผมไม่เกี่ยวกับการเมือง ก็อย่าเอาผมไปเกี่ยว ผมยังไม่คิดเล่นการเมือง
แต่การเมืองเป็นหน้าที่ของทุกคนต้องคิด เรื่องพรรคาไทยหรือพรรคมวลชนนั้น
ผมไม่คิด ผมไม่มีพรรค ผมมีแต่พวก"
ข้อสังเกตประการหนึ่งคือ ธุรกิจของทักษิณเป็นธุรกิจที่ต้องอาศัยระบบสัมปทาน
ระบบนี้จะเฟื่องฟูช่วงหนึ่งและอาจมีความไม่แน่นอนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
เปลี่ยนนักการเมืองมากำกับดูแล ดังนั้นระบบสัมปทานนี้จะมั่นคนได้ก็ด้วยอำนาจทางการเมือง
ทักษิณอาจต้องเล่นการเมืองเต็มตัวเข้าสักวัน หรือไม่เช่นนั้นการเมืองก็เล่นเขา
เอาแค่ง่าย ๆ ถ้าวันข้างหน้า รมต.คมนาคมคนใหม่ขอให้กบถ.จัดสรรความถี่เพิ่มขึ้น
เพื่อรองรับสถานีเคเบิลทีวีทีจะเพิ่มขึ้นหรืออ.ส.ม.ท.เปลี่ยนนโยบายให้มีบริษัทที่สองมาทำธุรกิจเคเบิลทีวีก็อาจจะเป็นไปได้
ถ้ารัฐมนตรีคุม อ.ส.ม.ท. คนใหม่ไม่ใช่เฉลิมเพียงเท่านี้การแข่งขันที่ดุเดือดก็เริ่มขึ้นโดยมีทักษิณเป็นเป้า
คนใกล้ชิดทักษิณกล่าวอย่างเชื่อมั่นว่า ปีหน้าที่ทักษิณขอพักผ่อน ก็คือการกลับไปเชียงใหม่เพื่อปูคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
นอกจากนั้นก็ต้องยอมรับว่า ทักษิณเป็นคนหนุ่มที่มีอนาคตไกล มีความคิดสร้างสรรค์
การเข้าไปมีบทบาททางการเมืองของเขาอย่างเต็มตัว อาจหมายถึงการได้ใช้ความรู้ความสมารถในตัวเขาให้มีพลังเปล่งประกายอย่างเต็มที่ก็ได้
โครงการอีกหลายโครงการในความคิดของเขา จะได้มีโอกาสแสดงถึงศักยภาพและคุณประโยชน์ให้ประจักษืแก่ประชาชนอีกทางหนึ่ง
ดูเหมือนว่า ทุกสิ่งจะพร้อมสำหรับเขาหมดแล้ว ทั้เงินจากธุรกิจที่ปูทางไว้แต่บัดนี้
สายสัมพันธ์ที่เกาะเกี่ยวกระชับแน่นฐานทางการเมืองจากหลายพรรค และลีลาการพูดจาที่มีท่วงทำนองเหมือนนักการเมืองโดยเฉพาะการพูดแบบเฉลิม
อยู่บำรุงเข้าไปทุกที
ก็ไม่แน่นัก เลือกตั้งสมัยหน้าเราอาจมีรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมที่ชื่อ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ
ชินวัตรก็เป็นได้