|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ตลาดหุ้นไทยยังถูกปกคลุมด้วยภาวะเศรษฐกิจโลกหดตัว-การเมืองในประเทศ กดดัชนีตลาดหุ้นติดลบกว่า 6 จุด ด้าน บล.เอเซีย พลัส พันธงปัญหาวิกฤตการเงินสหรัฐฯ จะคลี่คลายในอีก 4-5 เดือน ส่งสัญญาณตลาดหุ้นไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้วที่ 384 จุด และเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังปี 52 พร้อมคาดการณ์ปีหน้าบริษัทจดทะเบียนกำไรติดลบ 4% จากแรงฉุดของกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี เดินเรือ แนะลงทุนหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง-วัสดุก่อสร้าง ค้าปลีก
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (12 พ.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย ที่ถูกปกคลุมด้วยปัจจัยลบเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเองยังได้รับปัจจัยลบจากสถานการณ์ทางการเมือง ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแรงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นของประเทศเพื่อนบ้าน
โดยดัชนีตลาดหุ้นแกว่งตัวในแดนลบ มีระดับสูงสุดที่ 443.28 จุด และต่ำสุด 432.88 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 435.70 จุด ลดลงจากวันก่อน 6.61 จุด คิดเป็น 1.49% มูลค่าการซื้อขายรวม 9,389.60 ล้านบาท ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 701.73 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 438.47 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,140.20 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย บมจ. บ้านปู (BANPU) ราคาปิดที่ 196 บาท ลดลงจากวันก่อน 10 บาท คิดเป็น 4.85% มูลค่าการซื้อขายรวม 1,307.86 ล้านบาท บมจ.ปตท. (PTT) ปิดที่ 167 บาท ลดลง 4 บาท หรือ 2.34% มูลค่าการซื้อขาย 1,001.73 ล้านบาท และบมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปิดที่ 95.50 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ 0.52% มูลค่าการซื้อขาย 892.86 ล้านบาท
นางภรณี ทองเย็น ผู้ช่วยกรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง “โอกาสของผู้กล้า ...” ที่จัดโดยสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ร่วมกับบล. เอเชีย พลัส จำกัด ว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2552 เนื่องจากประเมินทุกวิกฤตทางการเงินจะทำให้เศรษฐกิจและตลาดหุ้นประสบปัญหาเป็นเวลา 2 ปี ขณะที่ปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) เกิดขึ้นมาถึงปัจจุบันใช้เวลา 1 ปี 4 เดือนแล้ว
จากวิกฤตสถาบันการเงินที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกมีการปรับตัวลดลง ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง 60% จากดัชนีที่กว่า 800 จุด ตลาดหุ้นเอเชียมีการปรับตัวลดลง 60% เช่นกัน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการปรับตัวลดลง 40% ดังนั้นจึงคาดว่าปัญหาดังกล่าวจะใช้เวลาอีกประมาณ 4-5 เดือน
“แม้ว่าขณะนี้จะมีปัญหาต่างๆ ทยอยออกมาเพิ่มอีก แต่นักลงทุนได้รับทราบข่าวร้ายไปแล้ว เมื่อมีข่าวร้ายออกมาอีกนักลงทุนจะไม่มีความตื่นตระหนกมากนัก แต่จะต้องติดตามปัญหาจะลุกลามไปยังภาคธุรกิจว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ และส่งออก”
ทั้งนี้ จากสถิติวิกฤตการเงินโลกย้อยหลัง 40 ปี จะใช้เวลาในการคลี่คลาย 1-2 ปี ซึ่งขณะนี้จากปัญหาซับไพรม์ ต.ค.ปี 50 ถึงปัจจุบันใช้เวลารับรู้แล้ว 1 ปี 4 เดือน ซึ่งปัญหานี้ยังอยู่อีกและเศรษฐกิจอีก 4-5 เดือนหลังจากนั้นจะเริ่มคลี่คลาย จึงเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนที่จะเข้ามาลงทุน
พร้อมกันนี้ บริษัทประเมินกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2552 จะติดลบ 4% โดยหุ้นกลุ่มที่มีกำไรลดลงนั้น คือหุ้นกลุ่มเดินเรือ โดยคาดว่า บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA มีกำไรสุทธิลดลงเหลือ 3.5 พันล้าน จากปีนี้ที่มี 7.6 พันล้านบาท และบริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน)หรือ PSL กำไรสุทธิลดลงเหลือประมาณ 3 พันล้านบาท จาก 4 พันล้านบาท และหุ้นกลุ่มพลังงาน จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงเหลือ 60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หุ้นกลุ่มปิโตรเคมีจากคำสั่งซื้อสินค้าที่ลดลง จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์จากที่จะต้องมีการตั้งสำรองที่สูงจากภาคธุรกิจที่มีการชะลอตัว
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจในการลงทุนในปีหน้า คือหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง จากได้รับปัจจัยบวกจากการก่อสร้างรถไฟฟ้าสีแดง สีม่วง หุ้นกลุ่มโรงพยาบาล แต่ควรเป็นโรงพยาบาลที่เน้นรักษาประชาชนภายในประเทศ เช่น โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ และโรงพยาบาลกรุงเทพ และหุ้นกลุ่มค้าปลีก จากประชาชนจะต้องมีการใช้จ่ายสินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวันแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวก็ตามและธุรกิจดังกล่าวจะมีการขยายสาขาเพิ่มขึ้น จากมีกฎหมายรองรับ
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยได้มีการผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วที่ระดับ 384 จุด ค่า P/E อยู่ที่ 6 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และมองว่าจากนี้แรงขายของนักลงทุนต่างชาติจะชะลอตัวจากที่ผ่านมาได้มีการขายหุ้นออกไปแล้วเป็นจำนวนมาก ประมาณ 1.9 แสนล้านบาท และอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ และยุโรป เริ่มกลับเข้าสู่ระดับปกติจึงไม่ได้เป็นแรงกดดันให้นักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นออกไปเพื่อรักษาสภาพคล่อง
“ประเมินว่าปีนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะสามารถยืนอยู่ที่ระดับ 500 จุดได้ หลังจากที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงถึงจุดต่ำสุดมาแล้ว ดังนั้นทิศทางจึงน่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น และเป็นโอกาสเข้าไปลงทุนของนักลงทุน” นายเทิดศักดิ์ กล่าว
จับตาตัวเลขศก.ประเทศมหาอำนาจ
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (12พ.ย.) ยังสั่นไหวตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว จากภาคอุตสาหกรรมของที่เริ่มมีปริมาณการผลิตและยอดขายลดลง ขณะที่ภาคการส่งออกของไทยเริ่มชะลอตัว รวมถึงตลาดหุ้นได้ดีดขึ้นมากว่า 100 จุด ในช่วงผ่านมาส่งผลให้มีแรงเทขายออกมาจนปิดตลาด
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าเคลื่อนไหว ตามทิศทางตลาดและข่าวคราวในต่างประเทศเป็นหลัก โดยควรจับตาการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศใหญ่ แนะนักลงทุนควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุน เนื่องจากราคาหุ้นมีความผันผวน ซึ่งให้พิจารณาจากความเข้มแข็งทางการเงิน ชื่อเสียง ผลประกอบการ และความสามารถผู้บริหาร ของบริษัทจดทะเบียนนั้นๆ โดยมีแนวรับอยู่ที่ 430 จุด
“ผมมองว่าหุ้นที่น่าลงทุนในระยะยาวจะเป็นหุ้นกลุ่มผลิตไฟฟ้า EGCO, RATCH แม้จะมีอัตราการใช้ไฟฟ้าลดลง แต่ทั้งสองบริษัทมีสัญญาในการผลิตไฟฟ้าระยะยาวกับรัฐบาล และมองว่ายังเป็นธุรกิจที่มีผลกำไร” นายสมบัติ กล่าว
ขณะที่นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ อ่อนตัวลง ด้วยปริมาณการซื้อขายเบาบาง เนื่องจากไม่มีปัจจัยใดมาหนุนตลาด รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับลงกว่า 3 เหรียญสหรัฐ ขณะที่แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้จะยังคงผันผวน ตามดัชนีตลาดหุ้นในต่างประเทศ และให้จับตาผลประกอบการของกลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ที่เริ่มทยอยประกาศออกมาว่าจะเป็นไปในทิศทางใด แนะนักลงทุนควรชะลอการลงทุนออกไปก่อน เพื่อรอดูสถานการณ์ และคาดการณ์แนวรับอยู่ที่ 425 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 450 จุด
|
|
|
|
|