Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน10 พฤศจิกายน 2551
กบข.ฝีแตก มูลค่าทรัพย์วูบ 4 เดือนหายวับ 7.4 หมื่นล้าน             
 


   
search resources

กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ - กบข
Investment




ผลพวงจากวิกฤตเศรษฐกิจ ตลาดการเงิน-หุ้นโลกถล่มทลาย กบข.อาการน่าเป็นห่วง มูลค่าทรัพย์สินลดวูบ 4 เดือนหายวับไปกับตา 74,000ล้าน! ผลตอบแทนเป็นลบนับแต่ก่อตั้งมา 11 ปี สะท้อนวิสัยทัศน์ผู้นำ ‘เสี่ยงสูง ผลตอบแทนสูง’ เน้นนโยบายลงทุนขนเงินออกไปเล่นหุ้น-ตราสารต่างประเทศตามก้นฝรั่ง

จากปัญหาวิกฤตการเงินโลกซึ่งส่งผลกระทบให้เกิดความผันผวนในตลาดทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างรุนแรงมาต่อเนื่อง ปรากฏว่า นักลงทุน กองทุนทั่วโลกต่างเผชิญกับภาวะขาดทุนอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่เว้นนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ที่สุดของไทย เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือ กบข.

จากการสำรวจของ “ผู้จัดการรายวัน” พบว่า สิ้นสุดไตรมาสที่ 2 ปี 2551 มาถึงล่าสุดปัจจุบัน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกบข.หายไปถึง 74,056.83 ล้านบาท

ทั้งนี้ กบข.เคยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 376,286.32 ล้านบาท (30 มิถุนายน 2551) เพียงแค่ 4เดือนเท่านั้น มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกบข.กลับลดลงมาเหลือแค่ 302,229.49 ล้านบาท (27 ตุลาคม 2551) หรือคิดเป็นมูลค่าที่หายไป 19.68%

กบข.ได้อธิบายถึงตัวเลขมูลค่าทรัพย์สินที่ขึ้นลงอย่างมีนัยสำคัญนี้ว่า เป็นการวัดค่าความสามารถในการหาผลตอบแทนแก่สมาชิกซึ่งบางครั้งลดลงต่ำว่าเป็นเพราะ กบข.จัดพอร์ตการลงทุนที่ให้ความสำคัญกับการบันทึกบัญชีตามมาตรฐานสากล ยึดหลักการบันทึกค่าสินทรัพย์ตามราคาตลาด (Mark to Market) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การลงทุนในแต่ละช่วง ตามสภาพแท้จริงของตลาดในสิ้นวันที่กำหนด

อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวจากบริษัทจัดการกองทุนรวม เปิดเผยว่า แม้ กบข.จะอธิบายดังกล่าวแต่ก็คงไม่คาดว่า ความผันผวนของวิกฤติการเงินจะทำให้ กบข.จนลงในพริบตา 7 หมื่นกว่าล้านบาท ที่น่าสนใจกว่านี้คือ จะอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นว่าอย่างไร

เขาระบุว่า จากพอร์ตการลงทุนของ กบข.ที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยประมาณ 12% ในช่วงต้นปีนี้ ก่อนจะลดสัดส่วนมาถือเงินสดเพิ่มเป็น 8% ในขณะที่การลงทุนในหุ้นต่างประเทศอยู่ที่ 10% ก่อนจะลดมาอยู่ที่ 8% เช่นกัน ทั้งนี้ หากดูจากพอร์ตการลงทุนดังกล่าวแล้ว เงินลงทุนของ กบข.น่าจะขาดทุนจากการลงทุนในหุ้นไปแล้วประมาณ 8-10% เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นทั่วโลก รวมถึงหุ้นไทยปรับลดลงไปแล้วกว่า 50% ซึ่งแน่นอนว่าพอร์ตการลงทุนของกบข. คงได้รับผลกระทบเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากสินทรัพย์ทั้งหมดของ กบข.ประมาณ 3.7 แสนล้านบาทในช่วงต้นปี ก่อนจะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 3 แสนล้านบาทต้นๆ ในปัจจุบันนั้น คิดเป็นจำนวนเงินที่หายไปกว่า 7 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของสินทรัพย์ทั้งหมด แต่จากพอร์ตการลงทุนข้างต้น พบตัวเลขการขาดทุนรวมกันเพียง 10% เท่านั้น ดังนั้น จึงไม่ทราบว่าอีก 10% ที่หายไปนั้นเกิดจากอะไร

พิษโกอินเตอร์ตามก้นฝรั่ง

ย้อนหลังไปก่อนหน้านี้ มูลค่าทรัพย์สินของกบข.หากจะมีเคลื่อนไหวขึ้นลงบ้างก็ไม่มีส่วนต่างมากนักแกว่งตัวไม่มาก ถือว่าเป็นกองทุนที่มีฐานะการเงินมั่นคงมีเสถียรภาพไม่วูบวาบ

ขณะที่ผลตอบแทนก็เป็นบวกมาตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อ 11 ปีก่อน (ปี 2539) ยกเว้น ผลการดำเนินงานล่าสุด (ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2551) อัตราผลตอบแทนการลงทุนย้อนหลัง 12 เดือน (กรกฎาคม 2550-มิถุยายน 2551) ติดลบร้อยละ 0.70

กบข.ขาดทุนเป็นครั้งแรก!

หากคิดรวมมูลค่าทรัพย์สินที่หายไป 7 หมื่นกว่าล้านบาทในอีก 4 เดือนต่อมาดังกล่าว กบข.ก็ไม่น่าจะรอดพ้นจากการขาดทุนที่จะเพิ่มขึ้นไปอีก

แหล่งข่าวกล่าวว่า จริงอยู่ภาวะขาดทุนที่เกิดขึ้นกับกบข.เป็นไปตามภาวะตลาดโลก แต่ คำถามคือ หาก กบข.ยังเน้นกลยุทธ์เน้นการลงทุนเหมือนๆ ที่ผ่านมา กล่าวคือ เน้นการลงทุนที่ไม่เสี่ยงสูง ปักหลักลงทุนอยู่ในประเทศ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่น่าจะขาดทุนเป็นจำนวนมหาศาลดังที่ปรากฏตามมูลค่าทรัพย์สินที่ลดลงฮวบฮาบ

กบข.ภายใต้การกำกับดูแลของนายวิสิฐ ตันติสุนทร เป็นเลขาธิการคณะกรรมการ ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับการขนเงินออกไปลงทุนในต่างประเทศ

นายวิสิฐ เชื่อว่า กลยุทธ์การลงทุนของ กบข. หากจะให้ดีต้องออกไปลงทุนในต่างประเทศ มากๆ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ในการกระจายความเสี่ยงที่กองทุนบำเหน็จบำนาญในระดับสากลทำกัน และการที่จะเป็นกองทุนบำเหน็จบำนาญในระดับสากลนั้นจะมองเพียงการลงทุนในประเทศอย่างเดียวไม่ได้

“วิสัยทัศน์ของ กบข.วางตัวเองไว้ว่า ต้องเป็นกองทุนบำเหน็จบำนาญในระดับสากล ที่มองภาพการลงทุนในประเทศเช่นเดียวกับที่ต่างประเทศมองเข้ามา” เลขาธิการ กบข.เคยพูดถึงวิสัยทัศน์ตนเองเมื่อต้นปีที่ผ่านมา แม้ว่า ปัญหาสินเชื่อด้อยคุณภาพในสหรัฐฯ (Sub-Prime) ยังคุกรุ่น ประกอบกับราคาน้ำมันในตลาดโลกผันผวน เศรษฐกิจต่างประเทศเริ่มมีส่งสัญญานร้ายก็ตาม

กบข.เริ่มทำตามเจตนารมณ์ของนายวิสิฐ โดยต้นปี 2551 ได้เข้าหารือกับนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น เพื่อขอเพิ่มเพดานวงเงินในการออกไปลงทุนต่างประเทศ จากเดิม 15% เป็น 25% ซึ่งก็สำเร็จในที่สุดในเวลาต่อมา

ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ครม.ได้อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่...) พ.ศ.....ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยมีสาระสำคัญเพิ่มวงเงินลงทุนในหุ้น หุ้นกู้แปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญและใบสำคัญแสดงสิทธิ์ที่จะซื้อหุ้นจากเดิม 30% เป็น 35% ของเงินกองทุน และเพิ่มวงเงินลงทุนในต่างประเทศจากเดิม 15% ป็น 25% ของเงินกองทุน โดยการกำหนดสัดส่วนในการนำเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ไปลงทุนหาผลประโยชน์ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2546 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2550 ไม่สอดคล้องกับภาวะปัจจุบันที่ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ว่ากันว่า ในการเจรจาขอให้คลังอนุญาตเพิ่มสัดส่วนไปลงทุนต่างประเทศครั้งนั้น นายวิสิษฐ์ต้องการขอให้ได้มามากถึง 30 % ด้วยซ้ำเพราะมั่นใจในการลงทุน

อย่างไรก็ตาม จังหวะการโกอินเตอร์ของกบข.ดูเหมือนจะไม่เอื้ออำนวย โดยที่ไม่มีใครคาดคิด ระยะกว่าปีที่ผ่านมานี้ ตลาดการเงินโลกผันผวนเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่อย่างเลแมนบราเดอร์ล้มละลาย และ อีกหลายรายต้องควบรวมกิจการ ตลาดหุ้นร่วงกราวมองไม่เห็นก้นเหว กองทุนต่างๆ เทขายทรัพย์สินที่ถือครองอยู่เพื่อถือเงินสดคล้ายๆกัน จนสภาพวิกฤติลุกลามไปทั่วโลก

เปิดพอร์ตดูลงทุนนอกเน้นเสี่ยงสูง

จากการติดตามความเคลื่อนไหวของดัชนี Eurekahedge Hedge Fund Index ซึ่งเป็นดัชนีบ่งชี้กิจกรรมการลงทุนของกองทุนเฮจด์ฟันด์ทั่วโลก พบว่า ขาดทุนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน จากการสำรวจผลการดำเนินงานของกองทุนรวมที่ออกไปลงทุนในประเทศ หรือ FIF ของไทย พบว่า หลายกองทุนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า โดยรายงานจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (สมาคม บลจ.) ระบุว่า กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารทุน ให้ผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี ถึง 30 กันยายน 2551 เฉลี่ยทั้งอุตสาหกรรมติดลบ คือ -28.32% ในขณะที่กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารหนี้ ให้ผลตอบแทน -0.49%

นักวิเคราะห์การลงทุนต่างสงสัยว่า บนความสูญเสียกว่า 7 หมื่นล้านของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกบข. จะแบ่งเป็นการขาดทุนในต่างประเทศมากน้อยเพียงใด

จากการรวมรวมข้อมูล “ผู้จัดการรายวัน” พบว่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2551 ที่กบข. มีสินทรัพย์สุทธิทั้งสิ้น 376,286.32 ล้านบาทนั้น หากคิดตามสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศของ กบข.เต็มเพดานที่คลังอนุญาต ที่ 25% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมดแล้วจะคิดเป็นเงินลงทุนรวมประมาณ 80,000 ล้านบาท!!

สัดส่วนดังกล่าวนี้เพิ่มขึ้นจาก 50,000 ล้านบาทจากเพดานเดิมที่สามารถลงทุนได้ 15%ของกองทุนในช่วงก่อนหน้านี้

นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการ กบข. กล่าวว่า การลงทุนในหุ้นต่างประเทศล่าสุดได้ลดสัดส่วนลงเหลือ 7-8% จากต้นปีซึ่งอยู่ที่ระดับ 9% ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวคิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 30,000 ล้านบาท จากสัดส่วนการลงทุนต่างประเทศทั้งหมด 16-17% หรือประมาณ 63,000 ล้านบาท ที่รายงานล่าสุดในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งนอกจากการลงทุนในหุ้นแล้ว กบข.เอง ยังมีการลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกด้วย โดยในส่วนนี้ ได้ทำการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินไว้ทั้งหมด

เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการออกไปลงทุนต่างประเทศของ กบข.ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปตราสารทุนซึ่งขณะนี้ถือว่า เสี่ยงสูงมากถึง 8.36% ของสัดส่วนการลงทุนทั้งหมด ขณะที่ตราสารหนี้ต่างประเทศที่นายวิสิฐบอกว่ามีความเสี่ยงต่ำนั่นกลับอยู่ที่ 4.08% ที่เหลือเป็นเงินลงทุนที่อยู่ในรูป อสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนทางเลือก (ดูตารางสัดส่วนการลงทุนของ กบข. ณ สิ้นไตรมาส 2/2551 ประกอบ)

หลังจากวิกฤตการเงินโลกลุกลามยืดเยื้อ ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศไม่แน่นอน นายวิสิฐ กล่าวว่า กบข.ต้องปรับกลยุทธ์ลงทุนรับมือโดยจะ เน้นหุ้นพื้นฐานแกร่ง-มีปันผล พร้อมถือเงินสดมากขึ้นลดความเสี่ยงการลงทุน

“ในขณะนี้ว่า กบข.ให้ความสำคัญกับความระมัดระวังในการลงทุนเป็นอย่างมาก โดยขณะนี้หันมาถือเงินสดมากขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงการลงทุน และรอจังหวะการลงทุนในช่วงที่เหมาะสม เพื่อหาโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีในการลงทุน”

สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นของ กบข.อยู่ที่ร้อยละ 12 ของมูลค่าสินทรัพย์ แต่ปัจจุบันเริ่มลดลง โดยหันมาถือเงินสดมากขึ้นร้อยละ 1.2 และเพิ่มน้ำหนักลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงการลงทุน

เขายังยอมรับว่า ผลตอบแทนของกองทุนในปีนี้คงจะไม่เป็นบวก เมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งมีผลตอบแทนเป็นบวก 9% แต่แม้ในปีนี้จะลดลง หรือเป็นลบก็สามารถนำผลตอบแทนในอดีตมาชดเชยได้ และคาดว่าแนวโน้มในช่วง 2 ปีข้างหน้า กบข.คาดว่ามูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจะอยู่ที่ประมาณ 4 แสนล้านบาท   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us