10 โมงเช้าวันที่ 17 สิงหาคม ที่ห้องชาร์ลอตชั้น 35 โรงแรมลอตเต้กลางกรุงโซล
ซึ่งคณะของรมว.กร ทัพพะรังสีและเจ้าหน้าที่สำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
ร่วมด้วยภาคเอกชนที่เดินทางไปชักชวนนักลงทุนเกาหลีใต้มาลงทุนในไทยพักอยู่
มีการแจ้งล่วงหน้ากะทันหันว่าจะมีการแถลงข่าวเซ็นสัญญาร่วมทุนระหว่างเอเชียไฟเบอร์
จำกัดผู้ผลิตสิ่งทอไนล่อนรายใหญ่ที่สุดของไทยกับบริษัทตงยางไนล่อน จำกัด
ของเกาหลีใต้ซึ่งเป็นผู้ผลิตไนล่อนรายใหญ่สุดของเกาหลีใต้เพื่อลงทุนผลิต
NYLON TYRECORD มูลค่าขั้นต้น 50 ล้านเหรียญสหรัฐ
งานครั้งนี้กร ทัพพะรังสี รมว.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีจะเป็นสักขีพยานด้วยพร้อมกับสถาพร
กวิตานนท์ รองเลขาธิการสำนักงานส่งเสริมการลงทุน
ก่อนการแถลงข่าวครึ่งชั่วโมง โอฬาร วีรวรรณ ผู้จัดการใหญ่ของเอเชียไฟเบอร์ก็หอบเอกสารแถลงข่าวมาแจก
พร้อมด้วยรายละเอยดและปูมหลังของตงยางไนล่อนซึ่งเป็นผู้ร่วมลงทุนในครั้งนี้ว่าเป็นใครมาจากไหน
"ที่จริงเราตกลงกันไว้ตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้วว่าจะลงทุนร่วมกัน มาครั้งนี้ก็เผิญรัฐมนตรีท่านมาพอดีในช่วงเวลาเหมาะสมชักชวนคนที่นี่ไปลงทุน
ก็เลยถือโอกาสเชิญท่านมาเป็นเกียรติก็เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน (MUTUAL INTEREST)"
โอฬารกล่าวกับ "ผู้จัดการ" แต่ไม่ยอมหใรายละเอียดมากกว่านี้
เบื้องหลังที่ "ผู้จัดการ" สืบเสาะมาได้ก็คือโครงการผลิต NYLON
TYRE-CORD ของบริษัทร่วมทุนครั้งนี้ยังมีปัญหาอยู่พอสมควรเนื่องจากการผลิตเป็น
IMPORT SUBSTITUTION โดยมีลูกค้าได้แก่บริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์ในประเทศอย่างกู๊ดเยียร์
บริดสโตนและยางสยามเป็นลูกค้าหลักเพราะแต่เดิมมานั้นเป็นสินค้าที่ต้องนำเข้ามาทั้งหมด
โดยที่ตงยางไนล่อนเองก็เป็นซัพพลายเออร์ให้บางส่วนอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ตงยางไนล่อนเองนั้นถึงแม้ว่าจะมีสัมพันธ์ในแง่ที่ว่าเป็นซัพพลายเออร์ให้กับกู๊ดเยียร์และบริดจสโตนในสหรัฐฯและญี่ปุ่นมาแล้วหลายปี
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโรงงานผลิตในไทยจำเป็นจะต้องซื้อสินค้าตัวนี้จากโรงงานที่ตั้งขึ้นมาใหม่เสมอไป
ปัญหาใหญ่ของบริษัทร่วมทุนก็คือจะทำอย่างไร ให้โครงการที่กำลังอยู่ในระหว่างขอรับกาส่งเสริมจากบีโอไออยู่ประสบความสำเร็จในการอนุมัติสิทธิพิเศษ
อาทิเรื่องเซอร์ชาร์จนำเข้าวัตถุดิบหรือการปกป้องจากคู่แข่ง เป็นต้น
โอฬารเองยอมรับว่าโครงการนี้จะมีการส่งออกบ้างไม่มากนักในกรณีที่มีผู้สนใจแต่ตลาดหลักก็ยังเป็นตลาดในประเทศ
สิ่งที่น่าคิดก็คือ โครงการร่วมทุนนี้ ถึงจะมีการเซ็นสัญญาโดยมีการ ทัพพะรัสีและสถาพร
กวิตานนท์เป็น สักขีพยาน แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะผ่านการอนุมัติจากบีโอไอหรือไม่
สถาพรเองก็กล่าวว่าบีโอไอเองไม่ได้มีคอมมิตเมนต์อะไรกับทางกลุ่มผู้เซ็นสัญยาอยากเซ็นไปไม่มีปัญหาเป็นคนละเรื่องกันกับการอนุมัติส่งสริมฯ
แต่ก็อย่างว่า ถ้าหากไม่มีการเซ็นสัญญาร่วมทุนระหว่างเอเชียไฟเบอร์กับตงยางไนล่อนคราวนี้งานชักชวนส่งเสริมการลงทุนที่กรนำทีมไปก็คงจะแห้งแล้งสิ้นดี
และหาอะไรมาโชว์ในจอทีวี.เมืองไทยยากเหมือนกัน..
ถึงตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าถ้าสมมุติบีโอไอเกิดใจแข็งไม่ยอมให้การส่งเสริมแล้ว
โอฬาร์จะยังพูดคำว่า "MUTUAL INTEREST" ออกหรือเปล่า
อย่างไรก็ตามหลังจากเซ็นสัญญาเสร็จสรรพตามพิธีการมีการแลกเปลี่ยนเอกสารกันระหว่างวิทย์
ศิริเกียรติสูงรองประธานเอเชียไฟเบอร์จำกัดกับมร.KNONG JEONG KONG ผู้จัดการใหญ่ของตงยางไนล่อนต่อหน้ากรกับสถาพรแล้ว
"ผู้จัดการ" เข้าไปถามคำถามกับโอฬารอีกครั้งว่า "อย่างนี้หุ้นเอเชียไฟเบอร์ก็ขึ้นแย่ละซีครับ"
"ไม่รู้ซี" โอฬารพูดพร้อมกับหัวเราะหึ ๆ
งานนี้คนในวงการอุตสาหกรรมด้วยกันต่างแอบยกนิ้วให้กับโอฬารกันพร้อมเพรียงว่าหัวไวดีแท้
"รู้ยังงี้ ผมเอามั่งดีกว่า ตกลงร่วมทุนไว้แต่ยังไม่เซ็นสัญญาแล้วก็ไปขอ
บีโอไอทิ้งไว้ รอโอกาสดีก็จับมานั่งทำอย่างนี้ นักการเมืองได้หน้าเราก็ได้สิทธิ
ไม่มีใครเสีย"