|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
โอกาสทองอสังหาฯรายใหญ่ "แลนด์ฯ-พฤกษา-ทีซีซีฯ"ไล่ชอปโครงการที่ขาดสภาพคล่อง "ธีระชน"ให้จับตาตั้งแต่วันนี้ต่อเนื่องถึงปี 52 แบงก์เข้มปล่อยสินเชื่อ คุมตัวเลขเอ็นพีเอโผล่อีก กระทบตลาดคอนโดฯ ขู่หากยอดขายพรีเซลไม่เกิน 50% อย่าหวังได้เงินพัฒนาโครงการต่อ คาดปีหน้าคอนโดฯแข่งขันรุนแรง กลุ่มนักเก็งกำไรทยอยดัมป์ขายห้องชุด หวังแปลงเป็นเงินสด ระบุพิษไอเอ็นจีกระทบออกหุ้นกู้ 520 ล้านบาท ลูกโซ่กระทบแผนบริหารสภาพคล่องหุ้นของบริษัทฯ เล็งเจรจาแบงก์กรุงไทยค้ำประกันแทนแบงก์ทหารไทย เผยแผนลงทุนปีหน้า ดึงระบบพรีแฟบสร้างโครงการแนวราบ
ท่ามกลางวิกฤตการเงินโลกที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อสถาบันการเงินในแต่ละประเทศ ที่ได้เพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ โดยจะสกรีนธุรกิจและลูกค้าที่ยังคงมีศักยภาพและฐานะการเงินที่ดี ซึ่งสภาพตลาดสินเชื่อในประเทศไทย ก็มีสัญญาณอย่างชัดเจนที่ธนาคารพาณิชย์จะระวังปล่อยสินเชื่อ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จัดอยู่ในข่ายที่ได้รับผลกระทบ และคาดว่าแนวโน้มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อจะต่อเนื่องไปถึงปี 2552 โดยมีการตั้งเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อ เช่น โครงการคอนโดฯหากต้องการวงเงินพัฒนาโครงการ จะต้องมียอดขายพรีเซล 50% ขึ้นไป เป็นต้น
จากเกณฑ์การพิจารณาปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น เพื่อป้องปัญหาการเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ( NPL) ในอนาคตนั้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการคอนโดฯที่มีปัญหาด้านสภาพคล่องทางการเงิน และมียอดขายโครงการไม่ถึง50% ประสบปัญหาในการก่อสร้างโครงการจนทำให้ต้องมีการคืนเงินลูกค้า และบางส่วนมีการนำโครงการเร่ขายให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีสถานะการเงินที่แข็งแกร่ง เพื่อแก้ปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงิน
ผู้สื่อข่าวรายงาน ก่อนหน้านี้ มีบริษัทอสังหาฯขนาดใหญ่ ที่ไล่ชอปโครงการที่ถูกนำเสนอเข้ามาเช่น ที่ดินในการพัฒนาโครงการทำเลสาทร ทำเลเส้นรามคำแหง ซึ่งพบว่า จะมีบริษัทขนาดใหญ่ อย่างเช่น บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮาส์ฯ หรือแม้แต่ธุรกิจในกลุ่มทีซีซี แลนด์ฯ อย่างบริษัท ยูนิเวนเจอร์ฯ ที่มีศักยภาพทางการเงินสูง กระแสเงินสดหมุนเวียนค่อนข้างมาก ได้อาศัยโอกาสในการเข้าซื้อโครงการหรือซื้อที่ดินรอการพัฒนาจากผู้ประกอบการหลายแห่งมาพัฒนาโครงการ ส่งผลบวกต่อการเพิ่มฐานลูกค้า เพิ่มยอดขายได้เร็วขึ้น
นอกจากนี้ สภาพดังกล่าวยังไปเกิดกับธุรกิจรับสร้างบ้าน ซึ่งก่อนหน้านี้ บริษัท ปทุมดีไซน์ จำกัด หรือพีดี เฮ้าส์ ได้เซ็นสัญญากับบริษัท วิริยะรัตน์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว “อภิญญา ไพรเวซี่” โดย พีดี เฮ้าส์ จะรับจ้างบริหารงานขายและรับสร้างบ้านให้แก่ลูกค้าของโครงการ ถือเป็นการเปิดตลาดใหม่
พิษ ING กระทบออกหุ้นกู้ลามซื้อคืนหุ้น
นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน)หรือ PF กล่าวยอมรับว่า ปัญหาการเข้มงวดปล่อยสินเชื่อ จะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นในปีหน้า ซึ่งในส่วนของผู้ประกอบการที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์เอง แม้ว่าจะมีเครื่องมือทางการเงินที่จะเข้ามาช่วยระดมทุนเพื่อเสริมสภาพคล่อง เช่น การออกหุ้นกู้ แต่ภาวะตลาดในปัจจุบันที่ยังไม่สนับสนุนต่อการออกหุ้นกู้ ก็ต้องหาวิธีการใหม่ในการบริหารสภาพคล่องให้เหมาะสม ซึ่งในส่วนของบริษัทฯ หลังจากมีแผนจะนำกระแสเงินประมาณ 200-300 ล้านบาท ซื้อคืนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อแก้ปัญหามูลค่าหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี และเพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนนั้น ล่าสุดคณะกรรมการบริหารบริษัทฯ ได้ยกเลิกแผนการซื้อคืนหุ้น เพื่อสำรองเงินสดสำหรับลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ในปีหน้า
“เดิมทีมีแผนจะซื้อหุ้นคืนในช่วงไตรมาส4 แต่เนื่องจากปัญหาการปล่อยกู้ของสถาบันการเงิน ประกอบกับแผนการออกหุ้นกู้วงเงิน 520 ล้านบาท ต้องชะลอออกไปในปี 52 จากแผนเดิมจะระดมทุนไตรมาส 4 ของปีนี้ เนื่องจากไอเอ็นจี กรุ๊ป บริษัทแม่ที่ถือหุ้นในธนาคารทหารไทย ไม่มีนโยบายในการค้ำประกัน ทำให้บริษัทฯต้องยกเลิกแผนออกหุ้นกู้ โดยทางบริษัทฯกำลังเจรจาธนาคารกรุงไทยเข้ามาค้ำประกันหุ้นกู้ ”
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯในปี 52 นั้น นายธีระชน กล่าวด้วยความกังวลว่า การแข่งขันจะทวีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากในปีหน้าจะมีโครงการคอนโดฯก่อสร้างแล้วเสร็จเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก และจะมีกลุ่มผู้ซื้อเพื่อการลงทุนและเก็งกำไรจะระบายห้องชุดออกสู่ตลาด ทำให้โครงการที่เปิดตัวใหม่มีข้อเสียเปรียบกับโครงการคู่แข่ง ที่ได้เปรียบในเรื่องการก่อสร้าง ผสมกับความเชื่อมั่นของลูกค้าในตลาดที่ค่อนข้างต่ำ จากการเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อโครงการของธนาคารพาณิชย์ อาจจะส่งผลให้โครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายได้รับผลกระทบ ดังนั้น โครงการที่จะสามารถแข่งขันในตลาดได้ ต้องมีจุดขาย มีจุดแข็งทางด้านทำเล ซึ่งในส่วนของบริษัทฯมั่นใจว่า มีจุดแข็งทั้งในด้านราคาขายที่เข้าถึงลูกค้า ทำเล และจุดขายด้านสิ่งแวดล้อมจะทำให้สามารถแข่งขันกับในตลาดได้
ปรับแผนเปิดโครงการใหม่
นายธีระชนกล่าวว่า สำหรับไตรมาสที่4 ของปีนี้ บริษัทได้เปิดตัวโครงการคอนโดฯใหม่เพิ่มอีก 3 ทำเล คือ โครงการเมโท พาร์ค สาทร เฟส 3/2 จำนวน112 ยูนิต โครงการเมโทสกาย รัชดา อาคารสูง 8 ชั้น 3 อาคาร จำนวน386 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 1.7ล้านบาท มูลค่ารวม 1,100 ล้านบาท และเมโทสกาย สุขุมวิท 103/4 โดยเฟสแรกมีพื้นที่5ไร่ จากพื้นที่ทั้งหมด 10 ไร่เศษ โดยพัฒนาเป็นโครงการอาคารชุดสูง 18ชั้น จำนวน588ยูนิต ราคาเริ่มต้น1.6ล้านบาท มูลค่าโครงการรวม1,400 ล้านบาท
" แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาและต่อเนื่องจากนี้ จะเห็นสภาพของผู้ประกอบการพัฒนาโครงการหลายราย ทยอยคืนเงินลูกค้าและขายต่อโครงการ เพราะประสบปัญหาการขาดสภาพคล่อง เนื่องจากลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อ แต่ในส่วนของบริษัทฯมองเห็นช่องทางตลาดที่เปิดกว้าง เพราะทุกโครงการของบริษัทฯมีจุดแข็งที่สามารถแข่งขันได้ จึงตัดสินใจเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่ม3 โครงการรวด นอกจากนี้ การเปิด3โครงการใหม่ดังกล่าวนั้น แม้ว่าจะสวนกระแสตลาด แต่เนื่องจากภาวะตลาดที่ค่อนข้างซบเซา ทำให้บริษัทต้องปรับแผนการเลื่อการเปิดตัวโครงการทั้ง3โครงการมาเปิดขายในปีนี้ เพื่อรักษาเป้ายอดขายที่วางไว้ 9,000ล้านบาทให้ได้ตามเป้า"
โดยในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายไตรมาสละ 2,000 ล้านบาท แต่ในไตรมาสสุดท้ายนั้น ภาวะตลาดไม่ดี ดังนั้น บริษัทต้องปรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่เพื่อสร้างยอดขายให้ได้ 3,000ล้านบาท เพื่อให้มียอดขายตามเป้าดังกล่าว นอกจากนี้ มีแผนจะเปิดตัวโครงการบ้านแพง ซึ่งเป็นเฟสต่อเนื่องอีก3เฟส มูลค่ารวม 800ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการมาสเตอร์พีชรามอินทรา โครงการมาสเตอร์พีชรัตนาธิเบศร์ โครงการมาสเตอร์พีชพัฒนาการ
ลดเพดานหันจับตลาดบ้านต่ำ 4 ล้าน
สำหรับแผนธุรกิจในปี 52 นายธีระชน กล่าวว่า ยังคงต้องลงทุนโครงการใหม่ ส่วนใหญ่จะเป็นการขยายเฟสต่อเนื่องในโครงการเดิม ที่เน้นการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และโครงการทาวน์เฮาส์ ระดับราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาท เพื่อรองรับกำลังซื้อของลูกค้าที่ลดลง และปรับการตลาดให้เข้ากับความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ ที่อัตราเติบโตของตลาดสินเชื่อจะเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะขยายตัวลดลงในปีหน้า โดยทางบริษัทฯจะเพิ่มรอบการหมุนของกระแสเงิน การขาย การลดต้นทุน โดยนำเทคโนโลยีการก่อสร้างสำเร็จรูปเข้ามาใช้ในการก่อสร้างทั้งหมด 100% เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคเริ่มรับได้กับระบบการก่อสร้างสำเร็จรูปมากขึ้น
|
|
|
|
|